กัณฑ์ที่ ๑๔๘       ๒๗ ธันวาคม ๒๕๔๕

ประเมินตน

วันนี้เป็นวันพระสุดท้ายของปี เวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว  ถ้านับมาจากต้นปีคือวันที่ ๑ มกราคม จนถึงวันนี้ ก็มีวันพระผ่านไป ๕๒ วันพระแล้ว เราได้ปฏิบัติกิจที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ มากน้อยเพียงไร  ได้มาวัดกันทุกๆวันพระตลอดเวลา ๑ ปีที่ผ่านมาหรือไม่  ถ้าจะวัดความเจริญหรือความเสื่อมของตัวเรา ก็ขอให้วัดที่ศาสนกิจที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดให้ปฏิบัติกัน เราได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนได้มากน้อยเพียงไร  นี่แหละคือความเจริญหรือความเสื่อมที่แท้จริง  อย่าไปดูเงินในบัญชี ว่าได้เพิ่มขึ้นมามากน้อยเพียงไร  หรือมีหนี้สินเพิ่มขึ้นมามากน้อยเพียงไร  เพราะไม่ใช่เรื่องเสื่อมเรื่องเจริญที่แท้จริง  แต่เป็นเรื่องปกติธรรมดา อยู่ในโลกนี้ย่อมมีการเจริญ มีการเสื่อมลาภเป็นธรรมดา ไม่ได้มีผลมากมายต่อชีวิตของเรา เท่ากับบุญกุศลหรือบาปกรรมที่เราได้กระทำกัน 

จึงขอให้ประเมินตนด้วยการตรวจสอบดูว่า  ในปีที่จะหมดไปนี้ เราได้เข้าวัดมาปฏิบัติธรรมกันได้มากน้อยเพียงไร  ถ้าได้ครบ ๕๒ วันพระ ก็ถือว่าได้รักษามาตรฐานขั้นต่ำ ที่พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้  แสดงว่าอย่างน้อยเราก็ไม่เสื่อม ไม่ขาดทุน ได้รักษาคุณงามความดี  เหตุปัจจัย ที่จะส่งเสริมให้เรามีความสุข ความเจริญ   แต่ถ้ามาไม่ครบทั้ง ๕๒ วัน  ก็แสดงว่าเรากำลังขาดส่วนสำคัญของชีวิตไป  ขาดเหตุปัจจัยที่จะช่วยส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้กับชีวิต เรากำลังเสื่อม  ถ้ามาวันพระไม่ได้แต่มาวันอื่นแทน เช่น มาวันเสาร์ วันอาทิตย์ หรือวันธรรมดา ที่ว่างจากภารกิจการงาน ก็จะช่วยชดเชยสิ่งที่บกพร่องในชีวิตของเราให้ครบถ้วนได้ ป้องกันความเสื่อมได้ ถ้ามามากกว่าอาทิตย์ละหนึ่งครั้งได้ก็ยิ่งดี เพราะจะได้สิ่งที่ดีเพิ่มมากขึ้น ทำให้มีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น และรวดเร็วยิ่งขึ้น

จึงขอให้เราให้ความสำคัญกับการมาวัดทุกๆวันพระ หรือวันอื่นก็ได้ถ้าวันพระไม่สะดวก  เพราะการมาวัดเป็นการมาชำระจิตใจของเรา ซึ่งในแต่ละวันจะถูกสิ่งเศร้าหมอง มลทินทั้งหลาย เข้ามาทำให้จิตใจของเราแปดเปื้อน เหมือนกับเสื้อผ้าที่เราใส่ เมื่อใส่ไปแล้วก็ต้องนำไปซัก เพราะถ้าใส่ต่อไป ก็จะทนไม่ได้กับกลิ่นที่ไม่ค่อยน่าพึงปรารถนา และคราบสกปรกที่ติดอยู่ในเสื้อผ้า จึงมีความจำเป็นที่จะต้องซักเสื้อผ้าที่ใส่อยู่เสมอ  เพราะไม่มีใครอยากจะใส่เสื้อผ้าที่สกปรก มีกลิ่นเหม็น  ฉันใดจิตใจของพวกเราก็คล้ายๆกับเสื้อผ้า ที่ในแต่ละวันจะต้องสัมผัสกับสิ่งแปดเปื้อนทั้งหลาย เช่น ความโลภ ความโกรธ ความหลง  ทำให้ใจของเรามีความเศร้าหมอง ไม่มีความสดชื่นเบิกบาน  ทั้งๆที่มีอะไรต่อมิอะไรมากมายก่ายกอง  มีเงินมีทอง  มีตำแหน่งสูงๆ  มีบริษัทบริวารรอบข้าง  มีคนสรรเสริญเยินยอ   แต่เรากลับมีแต่ความไม่สบายใจ เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง ทำให้สิ่งต่างๆที่มีอยู่ไม่มีความหมาย  เพราะใจไม่มีความสุข  เนื่องจากขาดการดูแลรักษา  ขาดการชำระขัดเกลา

ใจที่สะอาดจะมีแต่ความสุข ความสบาย ความสดชื่น    ถึงแม้จะสูญเสียอะไรไป ก็จะไม่ทำให้ใจเศร้าหมองตามไปด้วย  เพราะได้รับการชำระอย่างต่อเนื่อง  โดยเฉพาะในเรื่องของความหลง  ความหลงนี้แหละเป็นต้นเหตุที่ทำให้ต้องไปโลภ ไปอยาก  และเมื่อไม่ได้สมความโลภ สมความอยาก ก็เกิดความโกรธ สร้างความร้อนรนให้กับจิตใจ ทั้งๆที่ไม่ต้องเป็นอย่างนั้น  แต่เป็นเพราะความหลง ไม่ทราบถึงความสุขที่แท้จริงว่าเกิดจากเหตุอันใดนั่นเอง  ถูกความหลงครอบงำสอนให้คิดว่า  ถ้าได้มากเพิ่มขึ้นแล้ว จะมีความสุข มีความเจริญ  ก็เลยถูกอำนาจของความหลงหลอกให้โลภ หลอกให้อยาก  ทั้งๆที่สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ก็พอเพียงต่อการดำรงชีพ  พอเพียงต่อการให้ความสุขกับร่างกายแล้ว  แต่เพราะความไม่รู้  จึงทำให้เกิดความอยากที่จะมีเพิ่มขึ้นไปอีก 

ความอยากจะหลอกเราเสมอ  ต่อให้มีมากน้อยเพียงใด  ก็จะรู้สึกว่าไม่พอ ยังต้องการเพิ่มขึ้นไปอีก เวลามีความอยาก  ใจจะมีแต่ความดิ้นรนทะเยอทะยาน ทุรนทุราย ทำให้อยู่ไม่สุข ไม่มีความสุขใจ  มัวแต่คอยไปหาสิ่งต่างๆมา  หามาได้มากน้อยเท่าไร ก็ไม่เกิดความรู้สึกอิ่ม รู้สึกพอ  เพราะไม่ได้สร้างความพอให้กับใจ  ใจจะเกิดความพอได้ ก็ต่อเมื่อได้ปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  นั่นก็คือการลดละความโลภ ความอยากทั้งหลาย  ให้เบาบางลงไป  ให้มีความมักน้อยสันโดษ  คือพอใจกับสิ่งที่มีอยู่  ยินดีกับสิ่งที่ได้รับ  ได้มากก็พอใจ ได้น้อยก็พอใจ  ถ้าทำใจได้อย่างนี้แล้ว  ใจก็จะมีความสุข  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พยายามลดละความโลภความอยาก  ด้วยการมาวัด มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาปฏิบัติธรรม  ฟังเทศน์ ฟังธรรม  เพราะเป็นการชำระขัดเกลาความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากทั้งหลายให้เบาบางลงไป  เมื่อความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยาก เบาบางลงไปแล้วใจก็จะมีความสดชื่นเบิกบาน  มีความอิ่ม มีความพอขึ้นมา  ก็จะทำให้เกิดปัญญา เห็นแล้วว่าความสุขที่แท้จริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีข้าวของ ทรัพย์สมบัติต่างๆ มากมายก่ายกองเกินความจำเป็น  มีพอดูแลรักษาอัตภาพร่างกายให้อยู่ไปวันๆหนึ่ง ไม่เดือดร้อน ก็พอเพียงแล้ว 

สิ่งที่เราควรให้ความสนใจมากๆนั้น คือการชำระจิตใจของเรา ด้วยการศึกษา ฟังเทศน์ฟังธรรม  แล้วก็นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปปฏิบัติ   เพราะคำสอนของพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนกับผงซักฟอก  เครื่องซักฟอกจิตใจ  ถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาชำระจิตใจแล้ว  จิตใจก็จะสะอาดหมดจด เหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้า และสาวกอรหันต์ทั้งหลาย ที่ได้นำเอาธรรมของพระพุทธเจ้าเข้ามาชำระ จนกลายเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์  ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง  ปราศจากตัณหาความอยากทั้งหลาย  ทำให้มีความสุขพร้อมบริบูรณ์อยู่ในตัวของท่าน โดยที่ไม่ต้องไปแสวงหาสิ่งภายนอก มาให้ความสุขเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะทรงรู้ทรงเห็นแล้วว่าสิ่งต่างๆภายนอกนั้น ล้วนเป็นกองทุกข์ทั้งสิ้น  มีอะไรก็จะต้องมีความทุกข์กับสิ่งนั้นๆ  มีสามีก็ต้องทุกข์กับสามี  มีภรรยาก็ต้องทุกข์กับภรรยา  มีลูกก็ต้องทุกข์กับลูก  มีตำแหน่งหน้าที่ก็ต้องทุกข์กับตำแหน่งหน้าที่  มีสมบัติเงินทองก็ต้องทุกข์กับสมบัติเงินทอง  เพราะว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่อยู่กับเราไปตลอด  ในวันหนึ่งเราก็ต้องจากเขาไป  เขาไม่จากเราไปก่อน เราก็ต้องจากเขาไปก่อน 

นี่เป็นสัจธรรมความจริง ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้พบได้เห็น จึงปล่อยวางในสิ่งเหล่านี้โดยสิ้นเชิง   เมื่อได้ปล่อยวางแล้ว ก็จะไม่มีความทุกข์อยู่ในใจ เพราะความทุกข์เกิดจากการยึดมั่นถือมั่น ยึดติดอยู่ในสิ่งต่างๆภายนอกนั่นเอง  เมื่อได้ปล่อยวางหมดแล้วความทุกข์กับสิ่งต่างๆก็หมดไป  ถึงแม้จะสัมผัส จะมี ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้องมี  มีก็มีไป จะหมดไปเมื่อไรก็ไม่กังวล เพราะไม่ได้พึ่งพาอาศัยในสิ่งเหล่านั้น  มีแต่จะนำสิ่งเหล่านั้นไปทำคุณทำประโยชน์ ช่วยเหลือผู้อื่นให้เขาได้มีความสุข  ได้ลดความทุกข์ ที่เกิดจากการขาดแคลนสิ่งจำเป็นต่อการดำรงชีพ  จึงเป็นที่มาของการทำบุญให้ทานสงเคราะห์ผู้อื่น  เรามีทรัพย์สมบัติเงินทองข้าวของเกินความจำเป็น  เราก็นำไปแจกจ่าย ไปสงเคราะห์ผู้ที่เดือดร้อน  ทำให้ผู้ที่เดือดร้อนเขามีความสุข มีความสบายเพิ่มขึ้นมาบ้าง ความทุกข์ความเดือดร้อนลดน้อยถอยลงไปบ้าง  ก็ทำให้เรามีความสุขขึ้นมา  เพราะรู้ว่าได้ทำความดี  ได้ช่วยเหลือผู้อื่น  เพราะรู้ว่าถ้าเราตกทุกข์ได้ยาก แล้วมีผู้อื่นมาช่วยเหลือ  เราจะมีความรู้สึกมีความสุขมาก มีความรู้สึกปลาบปลื้ม ในการกระทำของผู้ที่มาช่วยเหลือ  เราคิดอย่างนี้ ก็ทำให้เรามีความสุข 

นี่แหละคือความสุขของใจ แทนที่จะเกิดจากการได้มา  แต่กลับเกิดจากการให้ไปมากกว่า  เพราะการได้มาเป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  แล้วก็ทำให้อยากได้เพิ่มขึ้นไปอีก  เวลาเจอคนที่เคยให้อะไรเรา ก็คิดอยากจะได้สิ่งที่เขาเคยให้เพิ่มขึ้นอีก  ถ้าไม่ได้ก็จะเกิดความรู้สึกผิดหวัง ไม่สบายใจขึ้นมา  นี่แหละคือเรื่องราวของใจเรา  ซึ่งกลับตาลปัตรกับความรู้สึกของเรา  เพราะความรู้สึกของเรา เป็นความรู้สึกที่ผิด  เป็นความเข้าใจผิด  เราเข้าใจว่าถ้าได้มากๆแล้ว ใจจะมีความสุข  แต่ผลมันก็ปรากฏขึ้นอยู่ในใจแล้ว  เพียงแต่เราไม่มองกันเท่านั้นเอง ว่าเรามีความทุกข์มากน้อยเพียงไรกับสิ่งที่ได้มา  ในสมัยที่เราเป็นเด็กๆ เราไม่มีอะไรเลย  เรามีความสบายอกสบายใจ  อยู่ไปวันๆหนึ่งได้  ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความกังวลกับเรื่องอะไร   แต่พอเริ่มมีครอบครัว มีสามี มีภรรยา มีบุตร มีธิดา  มีกิจการงานต่างๆ  ก็มีความทุกข์ตามมา และจะมีต่อไปเรื่อยๆจนวันตาย ถ้าไม่ลดละความอยาก ลดละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ 

ถ้าเราต้องทำมาหากิน ก็ขอให้ทำเพื่อดูแลรักษาอัตภาพร่างกาย  ถ้ามีกำไรส่วนเกิน เราก็นำไปสร้างบุญสร้างกุศลต่อไป  เพราะว่าชีวิตของเราไม่ได้สิ้นสุดในโลกนี้  หลังจากที่ตายไปแล้ว จิตวิญญาณยังต้องเดินทางต่อไป   จะไปที่มั่งคั่งสมบูรณ์หรืออัตคัดขัดสน ก็อยู่กับสิ่งที่เราทำในปัจจุบันนี้  ถ้าสะสมบุญสะสมกุศลไว้  ไปข้างหน้าก็จะมีสิ่งต่างๆรองรับ ถ้าทำแต่บาปแต่กรรม  ไปข้างหน้าก็จะไปมีแต่ความเดือดร้อนวุ่นวายคอยเราอยู่  เราจึงต้องมองชีวิตให้ไกลกว่าโลกนี้  ตราบใดใจของเรายังไม่ได้รับการขัดเกลาชำระจนสะอาดหมดจด เหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกแล้ว ใจของเรายังต้องไปเกิดใหม่  ไปเกิดสูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ทำไว้ในแต่ละวัน  ถ้าทำบุญไว้มากๆ โอกาสที่จะได้ไปเกิดที่สูงที่ดีก็มีมาก  ถ้าทำน้อยโอกาสก็น้อย  ถ้าทำบาปมาก โอกาสที่จะไปเกิดที่ต่ำ ที่มีแต่ความทุกข์ ความเสื่อมเสียก็จะมีมาก  ถ้าทำบาปน้อยโอกาสที่จะไปเกิดในที่ต่ำก็มีน้อย 

หน้าที่ของมนุษย์ที่แท้จริงจึงอยู่ที่การกระทำ ที่จะเกิดผลประโยชน์ทั้งปัจจุบันและอนาคต  เราต้องแยกแยะว่า ปัจจุบันคืออัตภาพร่างกายของเรา มีความจำเป็นมากน้อยเท่าไร  ถ้ามีเกินความจำเป็น แล้วไม่นำเอาไปทำบุญทำกุศล  แต่กลับนำไปสะสมกิเลสตัณหาให้มากขึ้นไป ด้วยการใช้เงินทองตามความอยาก ตามความโลภ  ก็จะเป็นการขาดทุนเพราะจะสร้างมลทิน ความเศร้าหมองในจิตใจ ให้มีมากเพิ่มขึ้นไป  แต่ถ้านำเงินทองส่วนเกินที่ได้มา นำไปใช้เพื่อชำระกิเลสตัณหา ความโลภ ความอยาก ด้วยการทำบุญให้ทาน ก็จะเป็นการชำระจิตใจให้มีกิเลสตัณหา เครื่องเศร้าหมองน้อยลงไป ทำให้มีความสุข  มีความอิ่ม มีความสบายใจ  มีกำลังจิต กำลังใจ ที่จะปฏิบัติคุณงามความดีเพิ่มมากขึ้น  ทำให้มีกำลังใจที่จะต่อสู้กับความอยากบาปกรรมทั้งหลาย  ทำให้ชีวิตเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปเรื่อยๆ   ในปัจจุบันชีวิตก็มีความสุข  มีความสมบูรณ์ มีความพอเพียง   และเมื่อเดินทางต่อไปในภพหน้าชาติหน้า ก็จะไปสู่สุคติ  ไปสู่ภพที่ดี  ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ได้สะสมบุญบารมีต่อไป  ถ้าไปเกิดในสวรรค์ชั้นเทพ ชั้นพรหม ก็จะได้เสวยทิพยสุข  เมื่อหมดทิพยสุขแล้วก็จะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก  แล้วก็มาทำอย่างที่เราทำอย่างนี้ต่อไปอีก  จนจิตใจของเราสะอาดหมดจด สิ้นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากทั้งหลาย กลายเป็นจิตบริสุทธิ์ เป็นจิตวิมุตติ หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เหมือนกับจิตของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย

แต่อย่าไปคิดว่า หลังจากที่ได้ปฏิบัติจนจิตบริสุทธิ์แล้ว เราจะสูญหายไป  จิตเป็นของไม่ตาย   จิตก็ยังเป็นจิตอยู่  เพียงแต่เป็นจิตที่สะอาดเท่านั้นเอง  เหมือนกับเสื้อผ้า  เวลาเราซักเสื้อผ้า  เสื้อผ้าก็จะสะอาด เสื้อผ้าก็ไม่ได้สูญหายไปไหน  เสื้อผ้าก็ยังอยู่  แต่เป็นเสื้อผ้าที่น่าใส่   ต่างกับเสื้อผ้าที่ไม่ได้รับการซัก ไม่ได้รับการชำระ  เพราะจะเป็นเสื้อผ้าที่สกปรก มีกลิ่นเหม็น ไม่น่าชื่นชมยินดี  จิตของเราก็เป็นเช่นนั้น  เพราะฉะนั้นจงอย่ากลัวเวลาเราทำความดี  เวลาเราปฏิบัติธรรม จนถึงพระนิพพานแล้วเราจะสูญหายไป  อย่างนี้เป็นการเข้าใจผิด  สิ่งที่สูญหายไปคือความทุกข์ทั้งหลาย  กิเลสตัณหา เครื่องเศร้าหมองทั้งหลายต่างหาก  แต่จิตนี้ไม่สูญ เป็นจิตที่มีบรมสุข ที่เรียกว่าปรมังสุขัง เป็นจิตที่ไม่หิวไม่อยาก ไม่กระหาย เป็นจิตที่พอ  อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความพอ  ไม่ดิ้นรนขวนขวายไปไหนอีกต่อไป  ต่างกับจิตที่ยังมีความอยาก มีความโลภอยู่  ทั้งๆที่ในบ้านก็มีทุกสิ่งทุกอย่างบริบูรณ์  แต่ก็ยังอยู่ในบ้านไม่ได้  ยังต้องออกไปแสวงหาสิ่งต่างๆภายนอกอีก  แทนที่จะได้ความสุข  กลับได้ความทุกข์กลับมา  เพราะหลงติดอยู่กับสิ่งต่างๆ  เมื่อเคยออกไปเที่ยว  เคยออกไปเสพกามแล้ว  เวลาไม่ได้ออกไปเที่ยว ไปเสพกาม ก็จะมีความรู้สึกหงุดหงิดใจ  ไม่สบายใจ  แต่ถ้าเอาชนะความอยากนี้ได้แล้ว  ต่อไปอยู่ในบ้านเฉยๆ ก็มีความสุข  ไม่เห็นจะต้องออกไปแสวงหาอะไรภายนอกอีกเลย 

การชำระจิตใจของเราจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก  เป็นหน้าที่โดยตรงของเราเลยทีเดียว  ถ้าถามว่าหน้าที่ของมนุษย์คืออะไร ก็คือการพัฒนาตนให้สูงขึ้นไปด้วยการชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ไม่มีภพชาติอันไหนที่จะดี ที่จะวิเศษเท่ากับภพชาติของมนุษย์  เพราะภพชาติของมนุษย์นี้แหละจะเป็นภพชาติที่จะสามารถสะสมบุญบารมีต่างๆ ให้ไปถึงจุดที่สูงสุดได้  ไม่ว่าจะเป็นมนุษยสมบัติก็ดี  เทวสมบัติก็ดี  พรหมสมบัติก็ดี  หรืออริยสมบัติก็ดี  จะต้องเกิดจากการสะสมในภพชาติของมนุษย์เท่านั้น  เพราะถ้าไปเกิดในภพชาติอื่น ก็จะไม่มีโอกาสได้สะสมบุญบารมี   ถ้าไปเกิดในอบายก็จะมีแต่ความทุกข์  มีแต่ความหิว  มีแต่ความกระหาย  เพราะมัวแต่วุ่นวายกับการดูแลเรื่องความหิว ความกระหาย ก็เลยไม่มีโอกาสที่จะมาทำบุญทำกุศลกัน  ถ้าไปเกิดในสวรรค์ชั้นเทพ ชั้นพรหม ก็จะมีแต่ความสุข ก็จะมัวแต่เสวยอยู่กับความสุข  เลยไม่มีโอกาสที่จะได้ทำบุญปฏิบัติธรรม  มีแต่ในโลกของมนุษย์นี้เท่านั้นแหละ  ที่เราจะสามารถปฏิบัติสะสมบุญบารมีได้อย่างเต็มที่  เพราะมีเครื่องอำนวยหลายอย่างด้วยกัน  มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องนำทางหนึ่ง  มีคนให้เราสร้างบุญสร้างบารมีได้หนึ่ง เพราะในโลกของมนุษย์มีทั้งคนรวย มีทั้งคนจน  มีคนที่สบายและมีคนที่เดือดร้อน  ทำให้เราสามารถสะสมบุญบารมีได้  เพราะถ้าไม่มีคนเดือดร้อนเลย เราจะไปทำบุญกับใคร  แต่ถ้ามีคนเดือดร้อน ต้องอาศัยผู้อื่น เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า ก็ทำให้เราได้มีโอกาสทำบุญทำทาน สะสมบารมี

จึงขอให้มองคนที่เดือดร้อนว่า เป็นผู้ช่วยให้เราได้ทำบุญ ได้ทำความดี  ถ้าไม่มีคนเดือดร้อน เราก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ช่วยเหลือใคร  ไม่มีโอกาสได้ทำบุญ  เวลามีใครเดือดร้อน ถ้าอยู่ในวิสัยที่พอจะช่วยเหลือได้  และความเดือดร้อนของเขาเป็นความเดือดร้อนจริงๆ ไม่ได้เสแสร้งหลอกลวง เพื่อเอาเงินทองไปใช้ในทางที่ไม่ดี เราก็ควรยินดีช่วยเหลือเขาไป คิดเสียว่าเป็นการเติมน้ำมันรถ  รถจะเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทางได้ ก็จะต้องมีสถานีบริการที่ขายน้ำมัน  เวลาขับรถไป ถ้าเห็นว่าน้ำมันในถังใกล้จะหมดแล้ว สิ่งแรกที่คำนึงถึงก็คือสถานีบริการน้ำมัน  เมื่อเจอแล้วก็จะต้องรีบเลี้ยวเข้าไปเติมน้ำมันทันที  ภพชาติของมนุษย์ก็เป็นเหมือนกับปั๊มเติมน้ำมันให้กับจิตใจ เพื่อจะได้เดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่เราปรารถนากัน คือการพ้นทุกข์  และบรมสุขนั่นเอง

ในใจของพวกเราทุกๆคนเป็นเหมือนๆกันหมด ทุกคนไม่อยากจะทุกข์  ทุกคนอยากจะมีความสุข  เพียงแต่ว่าเราไม่รู้จักวิธีที่ถูกต้องนั่นเอง  ชีวิตของเราจึงไม่ค่อยพ้นจากความทุกข์  เพราะความหลง ความเห็นผิดนี่เอง ที่ทำให้เราไปคว้าความทุกข์มาอย่างต่อเนื่อง อย่างที่เคยได้เล่าให้ฟังแล้วว่า  เวลาเราเกิดมาใหม่ๆ เป็นเด็กก็ไม่ค่อยมีความทุกข์กับอะไรเท่าไร   ความทุกข์อย่างมากก็อยู่กับการมีอาหารกิน มีบ้านอยู่ มีเสื้อผ้าใส่ มียารักษาโรคเท่านั้นเอง   แต่พอโตขึ้นมา กำลังของกิเลสตัณหาก็เริ่มมีมากขึ้น  แทนที่จะหาความสุขกัน ก็เลยไปหาความทุกข์กัน  เช่น มีครอบครัว ก็เกิดจากกามตัณหา ความอยากในกาม  ซึ่งไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์  แต่เป็นสิ่งที่แฝงเข้ามาในใจของมนุษย์ ของสัตว์โลกทั้งหลาย  จึงทำให้คิดว่าการมีคู่ มีครอบครัวเป็นธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติ  แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องผิดปกติ  ไม่เป็นคุณเป็นประโยชน์กับจิตใจ  คนที่อยู่คนเดียวได้นั้น มีความสุขมากกว่าคนที่ต้องอยู่เป็นคู่กัน  เพราะเมื่ออยู่เป็นคู่กันแล้ว ย่อมจะต้องมีปัญหาต่อกัน มีความทุกข์ จึงต้องละกามตัณหาให้ได้ เพราะจะได้ไม่ทุกข์ อยู่แบบพระพุทธเจ้า แบบพระอรหันตสาวกทั้งหลายดีกว่า เพราะเป็นความสุขที่แท้จริง การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้