กัณฑ์ที่ ๑๕๗       ๒ มีนาคม ๒๕๔๖

พระรัตนตรัย

 

การมาวัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อประกอบศาสนกิจต่างๆ   เป็นการนำความเป็นสิริมงคลมาให้แก่ชีวิต  เพราะว่าสิ่งต่างๆที่ศาสนาสอนให้ปฏิบัติ ล้วนเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข ความปราศจากทุกข์ภัยต่างๆ   เพราะศาสนานี้เกิดจากบุคคลที่ชาญฉลาด มีปัญญา  มีดวงตาแห่งธรรม   ซึ่งเป็นดวงตาที่ประเสริฐเลิศโลก กว่าดวงตาที่มีอยู่ในร่างกาย ที่มองเห็นเพียงรูปธรรมเท่านั้น  แต่ไม่สามารถมองเห็นนามธรรมต่างๆ เช่น ความสุข ความทุกข์ ความเจริญ ความเสื่อม ความเป็นสิริมงคล ความอัปมงคลทั้งหลาย ที่ต้องอาศัยดวงตาแห่งธรรมซึ่งเป็นดวงตาของใจ จึงจะสามารถมองทะลุเข้าไปในส่วนของนามธรรม ที่ละเอียดกว่ารูปธรรมได้ จึงต้องมีพระศาสนาเป็นผู้สอน  เพราะพระศาสนาเกิดจากผู้มีดวงตาเห็นธรรม  คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  พระบรมศาสดา

หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้ธรรมแล้ว  ทรงเห็นเหตุของสุขและทุกข์  เหตุของความเจริญและความเสื่อม จึงได้นำเอามาประกาศสั่งสอนให้กับสัตว์โลก  สิ่งที่ทรงสั่งสอนทรงเรียกว่าธรรมะ คือพระธรรมคำสอน  เมื่อได้ประกาศพระธรรมคำสอนไปแล้ว ก็มีผู้มีจิตศรัทธา มีความฉลาดพอที่จะเห็นตาม  ก็นำไปปฏิบัติจนมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมาภายในใจ  กลายเป็นพระอริยสงฆสาวกขึ้นมา  พระทั้ง ๓ องค์ คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  จึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของพระพุทธศาสนา  เป็นแสงสว่างที่ช่วยนำพาสัตว์โลก ให้ดำเนินชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้อย่างแท้จริง  พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งแก่สัตว์โลกผู้ปรารถนาความสุขความเจริญ  ผู้ปรารถนาความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย  เพราะว่าสัตว์โลกโดยลำพังยังไม่มีความสามารถพอที่จะนำตนให้ไปสู่จุดที่ตนปรารถนาได้  จึงต้องพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นผู้นำพาไป 

ดังนั้นทุกครั้งที่พุทธศาสนิกชนประกอบศาสนกิจต่างๆ  จึงต้องระลึกถึงพระบรมศาสดาเป็นเบื้องต้น  แล้วก็มีการแสดงออกถึงเจตนารมณ์ที่จะยึดเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะ  เป็นผู้นำพาชีวิตของตนไปในทิศทางที่ดีที่งาม  การระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่เสมอจึงเป็นกิจที่พุทธศาสนิชนพึงกระทำอยู่อย่างต่อเนื่อง  เพราะเมื่อได้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็จะเกิดปัญญา  ความรู้ความฉลาด ที่จะดำเนินชีวิตไปในทางที่ถูกต้องดีงาม เวลาที่ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ  ก็จะระลึกถึงวิถีทางที่พระพุทธเจ้าก็ดี  พระอริยสงฆสาวกก็ดีได้ดำเนินไป และระลึกถึงผลอันประเสริฐ ที่ได้ทรงบรรลุถึง  ทำให้ไม่หลงทาง  ไม่ลืมที่จะประพฤติตามวิถีทางที่ท่านผู้ประเสริฐทั้งหลายได้ทรงดำเนินมา จึงต้องเจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอยู่เสมอ   เพราะเมื่อได้เจริญแล้วจิตจะมีความอ่อนโยน  ไหลไปตามกระแสธรรม  ถ้าไม่ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ใจซึ่งมีกระแสบาปกรรม กิเลสตัณหา โมหะ อวิชชา ก็จะถูกฉุดลากพาไปสู่ที่ต่ำ ซึ่งจะนำผลที่ไม่ปรารถนามาให้ คือความทุกข์ ความเสื่อมเสียทั้งหลาย  จึงต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์อยู่เสมอ  ด้วยการทำความเข้าใจ  ทำความรู้จักพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อรู้แล้วจะได้นำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาสู่ใจด้วยการปฏิบัติ 

ในเบื้องต้นพระพุทธเจ้าก็เป็นบุคคลธรรมดาสามัญอย่างพวกเรา  มีกิเลสตัณหา มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ครอบงำพระทัย  แต่ทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นพิษเป็นภัย จึงได้ออกปฏิบัติธรรมด้วยการศึกษาจากผู้รู้ที่มีอยู่ในสมัยนั้น  ทรงได้รับความรู้ในระดับหนึ่ง  สามารถทำให้สิ่งต่างๆที่เป็นพิษเป็นภัย  คือกิเลสตัณหา ให้เบาบางลงไป  อ่อนตัวลงไป  แต่ไม่สามารถทำให้กิเลสตัณหาหมดไปจากจิตจากใจได้  เพราะในสมัยนั้นไม่มีครูบาอาจารย์รูปใดองค์ใด ที่มีความรู้ความสามารถที่จะกำจัดกิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจของสัตว์โลกได้ จึงต้องแสวงหาด้วยพระองค์เอง ด้วยการทดลองวิธีการต่างๆ  จนในที่สุดก็ได้พบกับวิถีทางที่นำไปสู่การดับทุกข์  สู่การทำลายกิเลสตัณหา คือมรรคที่มีองค์ ๘  เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา  ทรงเห็นด้วยปัญญาว่า มรรค ๘ นี้เป็นทางที่จะนำสัตว์โลกไปสู่การดับทุกข์ได้โดยสิ้นเชิง

เมื่อได้ทรงตรัสรู้ธรรม ได้ชำระพระทัยของพระองค์ให้สะอาดบริสุทธิ์ กลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา  เป็นผู้สิ้นกิเลส  ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เหลืออยู่ในใจ หลุดพ้นจากความทุกข์  ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติมรรค ๘ แล้ว   จึงได้นำสิ่งที่ได้ทรงรู้มาประกาศสอนให้กับสัตว์โลก  พระพุทธองค์จึงมีพระนามว่า  พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  คือทรงเป็นผู้ตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง  เพราะไม่มีครูบาอาจารย์ที่จะสั่งสอนให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ได้  จึงต้องขวนขวายศึกษาด้วยตนเอง  จนได้พบกับโมกขธรรม วิมุติธรรม  หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง  ด้วยการปฏิบัติมรรค ๘  แล้วนำธรรมนี้มาสั่งสอนสัตว์โลก จึงได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว แต่ไม่มีความปรารถนาที่จะสั่งสอนธรรมะให้กับสัตว์โลก  ก็จะกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไป   คือทรงตรัสรู้ธรรม  ทรงทำให้พระทัยสะอาดบริสุทธิ์  แต่ไม่ได้นำสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นมาประกาศสั่งสอนให้กับสัตว์โลก  คือรู้เฉพาะตน  ไม่ได้เอามาเผยแผ่แบ่งปันให้กับผู้อื่น 

แต่พระพุทธเจ้าของเราทรงเปี่ยมด้วยพระมหากรุณาธิคุณ มีความสงสารสัตว์โลกที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์   ถ้าไม่ทรงนำธรรมะมาประกาศสั่งสอนให้กับสัตว์โลก   สัตว์โลกก็จะไม่มีโอกาสหลุดพ้นจากกองทุกข์ไปได้เลย  แต่ถ้าได้ทรงนำธรรมะมาประกาศสั่งสอนแล้ว  สัตว์โลกผู้มีบารมีสะสมมาแต่เดิม  เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจะเกิดศรัทธา  เกิดปัญญาขึ้นมา  นำเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไปปฏิบัติ ยกตนให้พ้นจากความทุกข์ได้  นี่แหละคือเรื่องของพระพุทธเจ้าของเรา หลังจากได้ทรงตรัสรู้แล้วแทนที่จะอยู่นิ่งเฉย เก็บธรรมะอันประเสริฐนี้ไว้ไม่สั่งสอนผู้อื่น  กลับทรงอุทิศเวลาที่ทรงเหลืออยู่ตลอด ๔๕ พรรษา  มาประกาศธรรมะสั่งสอนสัตว์โลก โดยไม่ได้หวังผลประโยชน์ตอบแทนอะไรจากผู้ที่รับการสั่งสอนเลยแม้แต่น้อยนิด  เพราะทรงเป็นผู้มีความสมบูรณ์แล้วในทุกสิ่งทุกอย่าง  พระทัยทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยอริยทรัพย์ ที่ทำให้พระองค์มีแต่ความสุข  ไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่เลย

การสั่งสอนจึงทรงสั่งสอนด้วยความบริสุทธิ์ใจ  ไม่มีความปรารถนาที่จะรับการสรรเสริญยกย่อง  รับอามิสสินจ้างอะไรทั้งสิ้นเลย  ทำด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ เพราะทรงเห็นคุณค่าของพระธรรมคำสอน เห็นคุณค่าของการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายว่า ไม่มีอะไรจะประเสริฐเท่า ไม่มีอะไรจะมีคุณค่าเท่ากับการได้หลุดพ้นจากความทุกข์  จึงได้นำเอาพระธรรมคำสอนมาสั่งสอนให้กับสัตว์โลก  ผู้ได้ยินได้ฟังนำไปปฏิบัติก็สามารถทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ หมดสิ้นจากกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง  สิ้นจากความทุกข์ทั้งหลายที่เกิดจากกิเลสตัณหาได้  กลายเป็นจิตที่บริสุทธิ์ขึ้นมา  กลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา  แต่ไม่เรียกท่านว่าเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  เพราะท่านเหล่านี้เป็นพระอรหันตสาวก  คำว่าสาวกแปลว่าผู้ฟัง  หมายความว่าท่านเหล่านี้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ด้วยการฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติตาม  คือโดยลำพังถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาสั่งสอน ท่านเหล่านี้ก็จะไม่มีความสามารถในตัวของท่านเอง ที่จะคิดค้นหาวิธีปฏิบัติ เพื่อจะทำให้จิตใจของท่านสะอาดบริสุทธิ์ ทำลายกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไปจากใจได้  ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังจากผู้รู้ คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะสิ้นกิเลสได้  จึงเรียกท่านเหล่านี้ว่าพระอรหันตสาวก 

หลังจากนั้นท่านก็ทำหน้าที่แทนพระพุทธเจ้า ช่วยเหลือพระพุทธเจ้าในการเผยแผ่พระธรรมคำสอน  จึงทำให้ศาสนาพุทธมีอายุยืนยาวนานมาได้จนถึงทุกวันนี้  ก็ประมาณ ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว เกิดจากพระรัตนตรัย  คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่เอง เริ่มต้นจากพระพุทธเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติพระองค์แรก  เสร็จแล้วก็นำสิ่งที่ทรงรู้ทรงเห็นมาเผยแผ่สั่งสอนจนมีพระอรหันตสาวกปรากฏขึ้นมา หลังจากที่ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว  พระอรหันตสาวกก็นำธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามาเผยแผ่ให้กับผู้ที่ยังไม่รู้ ผู้ที่ยังไม่ได้ยินได้ฟังต่อไป  หลังจากที่ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็บรรลุเป็นพระอรหันตสาวกตามกันขึ้นมา  เป็นการสืบทอดถ่ายทอดพระพุทธศาสนา ตั้งแต่ในสมัยพุทธกาลมาจนถึงทุกวันนี้  พระศาสนาจึงมีอายุยืนยาวนาน เพราะเกิดจากการศึกษาฟังเทศน์ฟังธรรม  แล้วนำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปปฏิบัติ  จนบรรลุธรรม แล้วก็นำไปสั่งสอนผู้อื่นต่อไป จึงเป็นหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนทุกๆคน ที่จะต้องช่วยกันสืบทอดพระพุทธศาสนา ด้วยการเข้าวัดเข้าวาอย่างสม่ำเสมอ  เพื่อฟังเทศน์ฟังธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  แล้วนำไปปฏิบัติ  ทำจิตใจให้สะอาดไปตามลำดับแห่งการปฏิบัติ จนสะอาดหมดจด กลายเป็นพระอริยสงฆสาวกขึ้นมา  จากนั้นก็นำสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นไปเผยแผ่ให้กับผู้อื่นต่อไป  โลกก็จะอยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข 

ผู้บรรลุธรรมแล้วจะรู้ว่า ในโลกนี้ไม่มีอะไรจะมีคุณค่า มีความสำคัญเท่ากับพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ปรากฎขึ้นภายในใจ เพราะจะทำให้จิตใจมีความสงบ มีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีความหิว ความกระหายกับสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้  เพราะเห็นด้วยปัญญาว่า ไม่ใช่ความสุข  ไม่ใช่ความเจริญ  แต่เป็นความทุกข์   ความสุขที่ได้จากสิ่งต่างๆในโลกนี้  เป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  เหมือนกับน้ำตาลที่เคลือบยาขม เป็นผิวบางๆ  เวลาเอายาอมเข้าไปในปาก  ตอนต้นก็จะมีรสหวาน  แต่เมื่อน้ำตาลที่เคลือบนั้นละลายหมดไปแล้ว ก็จะเหลือแต่ความขม  ฉันใดความสุขที่ได้รับจากสิ่งต่างๆในโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ หรือกามสุข  คือความสุขที่ได้จากการสัมผัสรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ทั้งหลาย  ล้วนเป็นความสุขที่เฉียบบาง  มีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่  ถ้าไม่เป็นเช่นนี้แล้ว ชีวิตของพวกเราทุกคนที่อยู่ในโลกนี้ ก็ควรจะมีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์เลย  แต่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น  ทั้งๆที่พวกเราทุกคนก็มีลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุขด้วยกันทั้งนั้น  แต่กลับไม่มีความสุขที่บริบูรณ์  มีความสุขบ้าง  แล้วก็มีความทุกข์สลับกันไป  นั่นก็เป็นเพราะว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ ไม่สามารถให้ความสุขกับเราได้อย่างแท้จริง   ในตอนปลายของชีวิตก็จะกลายเป็นความทุกข์ไปทั้งหมด  

เพราะโดยสภาพของทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้  แม้กระทั่งอัตภาพร่างกายของเราก็เป็นของไม่เที่ยง  เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และในที่สุดก็ต้องดับไป  ถ้ายึดหรืออาศัยสิ่งต่างๆเหล่านี้มาเป็นเครื่องให้ความสุข  เมื่อสิ่งเหล่านี้เกิดการสูญสิ้นไป  ก็จะทำให้เกิดความทุกข์ภายในใจขึ้นมา  เราไม่ต้องมองไกล  เรามองชีวิตของเรา  ก็จะเห็นว่าตั้งแต่เกิดมานั้น เราก็ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบ   ในสมัยเด็กๆเราคงเคยสูญเสียปู่ ย่า ตา ยายไป  เพราะเมื่อมีอายุมากท่านก็ต้องถึงแก่ความตายในที่สุด  เวลาที่ท่านจากไป เราก็มีความเศร้าโศกเสียใจ  รวมไปถึงสิ่งต่างๆ  วัตถุข้าวของต่างๆ  เวลามี  เราก็มีความสุข  พอสูญเสียไป เราก็มีความทุกข์  แต่เราไม่เคยหยุดคิดเลยว่า จะทำอย่างไรดีกับเรื่องเหล่านี้  กลับไปหาสิ่งอื่นมาทดแทน  เช่น เวลาสูญเสียสิ่งหนึ่งไป  เราก็หาสิ่งใหม่มาทดแทน  สิ่งใหม่ที่มาทดแทนไม่ช้าก็เร็วก็ต้องสูญเสียไปอีกเหมือนกัน  เราก็ต้องหาสิ่งใหม่มาทดแทนอีก   ชีวิตของเราก็มีแต่คอยวิ่งตะครุบเงาอยู่ตลอดเวลา  พอได้สิ่งนั้นมาไม่นานก็หายไปหมดไป  ความทุกข์ก็กลับมาหาเราอีก  เราก็เลยมีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา  นั่นเป็นเพราะว่าเราไม่ได้วิ่งเข้าหาความสุขนั่นเอง  เราวิ่งเข้าหาความทุกข์กัน  เพราะความหลง เพราะความมืดบอดของใจของเรา 

แต่เราโชคดีที่ได้มาเจอพระพุทธศาสนา  เจอคำสอนของผู้รู้จริงเห็นจริงอย่างพระพุทธเจ้า ที่ได้เห็นด้วยปัญญาแล้วว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น  ถ้าเป็นความสุขก็เป็นความสุขที่หลอกลวง  เป็นความสุขที่มีอยู่เพียงชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  แต่จะมีความทุกข์ตามมาเสมอ  ถ้าไม่ต้องการความทุกข์จากสิ่งต่างๆในโลกนี้ ก็จะต้องปล่อยวางสิ่งเหล่านี้  จะต้องไม่ไปหวังพึ่งสิ่งเหล่านี้มาให้ความสุขกับเรา  เพราะโดยธรรมชาติของใจเรานี้ สามารถมีความสุขได้โดยลำพัง ไม่ต้องมีอะไรก็มีความสุขได้  พระพุทธเจ้าได้ทรงพิสูจน์แล้ว  หลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า  ก็ไม่มีสมบัติอะไรเลย ไม่มีบุคคลมาเป็นเพื่อนมาเป็นภรรยา  ไม่มีสมบัติเงินทองข้าวของเงินทองต่างๆ มาให้ความสุขเหมือนกับพวกเรา ที่ยังต้องมีบุคคลคือมีสามี มีภรรยา มาให้ความสุขกับเรา  มีวัตถุข้าวของต่างๆ  เช่น เครื่องบันเทิงทั้งหลาย เราต้องมีสิ่งเหล่านี้  แต่ความสุขจากสิ่งเหล่านี้ก็มีเพียงเล็กน้อย  ไม่สามารถดับความทุกข์ที่ตามมาได้  เพราะเรายังไม่ได้ดำเนินตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั่นเอง 

ดังนั้นในโอกาสที่เราได้เกิดมาในชาตินี้ เป็นบุญเป็นวาสนาที่ได้มาเจอพระพุทธศาสนาที่ชี้ทางแห่งความสุขที่แท้จริงให้กับเรา เราจึงควรขวนขวายปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ตัดความผูกพันต่อสิ่งต่างๆที่มีอยู่ภายในโลกนี้  พยายามลดละ อย่าไปสะสม อย่าไปอยากให้มีมากขึ้นในบรรดาสิ่งของต่างๆที่มีอยู่ในโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ หรือกามสุข  แทนที่จะวิ่งเข้าหา  แทนที่จะสะสมสิ่งเหล่านี้ให้มีมากขึ้น  เราควรที่จะลดละ ให้มีน้อยลงไป  ควรจะถอยออกห่าง อย่าเข้าใกล้  เพราะสิ่งเหล่านี้เปรียบเหมือนกองไฟ  ถ้าเข้าใกล้กองไฟ ไฟก็จะเผาเรา  แต่ถ้าถอยออกห่าง ไฟก็จะไม่เผาเรา  ฉันใดสิ่งต่างๆในโลกนี้ เช่น ลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข  ก็เป็นเช่นนั้น  ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าเถิด  แล้วจะประสบกับความสุขที่แท้จริง  เพราะเมื่อถอยออกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ใจก็จะเริ่มสงบ เริ่มเย็นไปเรื่อยๆ  กิเลสตัณหาคือความโลภ ความอยากต่างๆ  ก็จะน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ  จนในที่สุดก็จะไม่มีเหลืออยู่ภายในใจเลย  เราจึงต้องปฏิบัติตามมรรคที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้ให้กับพวกเรา  เพราะมรรคเป็นทางดำเนินที่จะพาให้เราพ้นจากกองทุกข์ของลาภ ยศ สรรเสริญ กามสุข นั่นเอง 

เราจึงต้องมาที่วัดกันเพื่อทำบุญให้ทาน  เพื่อรักษาศีล และปฏิบัติธรรมคือเจริญจิตตภาวนา  เพราะการกระทำทั้ง ๓ ประการนี้ จะเป็นทางที่จะพาให้ใจของเรา ถอยออกห่างจากกองทุกข์ทั้งหลาย ที่เรายังเกี่ยวข้องอยู่ ที่เรายังไม่สามารถที่จะดิ้นหลุดออกไปได้ตามลำพังของเรา  เพราะเราถูกเครื่องพันธนาการผูกมัดไว้กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คืออุปาทานความยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง  และอุปาทานนี้จะไม่หลุดออกไปตามลำพัง แม้จะมีความปรารถนาให้หลุด แม้จะไม่อยากอยู่กับสิ่งเหล่านี้  แต่ถ้าไม่มีธรรมะ ซึ่งเปรียบเหมือนกับมีดที่แหลมคม มาตัดเครื่องพันธนาการให้หลุดจากสิ่งเหล่านี้ เราก็จะไม่สามารถดิ้นให้หลุดพ้นจากกองทุกข์เหล่านี้ไปได้เลย  เราจึงต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ  คือทำบุญให้ทานอยู่เสมอ  ไม่แต่เฉพาะวันพระเท่านั้น  ควรจะทำทานทุกๆวัน  ถ้ามีโอกาสที่จะทำได้  การทำบุญให้ทานนั้นไม่จำเป็นต้องทำกับพระภิกษุสามเณรเท่านั้น ทำกับคนใกล้เคียงก็ได้ เช่น บิดา มารดา สามี ภรรยา บุตร ธิดา หรือบุคคลต่างๆที่เราเกี่ยวข้องด้วย เราสามารถให้เขาได้  ให้ในสิ่งที่เรามี  เช่น มีเงินทองเหลือใช้ เราก็แบ่งปันให้กับผู้อื่นบ้าง  ถ้าไม่มีเงินทอง เราก็ยังให้อภัยเขาได้  เวลาที่อยู่ด้วยกันคงจะต้องมีการทะเลาะเบาะแว้ง มีความไม่เข้าใจกัน มีความโกรธเคืองกันบ้าง  แทนที่จะมาโกรธกัน อาฆาตพยาบาทกัน  ก็มาให้อภัยกันดีกว่า เพราะการให้อภัยทำให้เราอยู่กันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข  คนที่เราโกรธเขาก็สบายใจ  เราก็สบายใจ  แต่ถ้าเราไม่ให้อภัย ใจของเราก็จะร้อน  คนที่เราโกรธเขาก็จะไม่สบายใจ  นี่ก็คือการให้เหมือนกัน  เป็นบุญเหมือนกัน  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้