กัณฑ์ที่ ๑๖๖       ๘ พฤษภาคม ๒๕๔๖

ขั้นบันได

 

อีก ๗ วันข้างหน้าจะเป็นวันสำคัญในทางพระพุทธศาสนา คือวันวิสาขบูชา วันที่พุทธศาสนิกชนให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นวันรำลึกถึงพระพุทธเจ้า  เนื่องในวันประสูติ  วันตรัสรู้  และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน ของพระบรมศาสดา ที่เราเคารพรักอย่างยิ่ง  เพราะพระพุทธเจ้าทรงมีพระคุณต่อพวกเราเป็นอย่างมาก เป็นผู้ก่อตั้งพระพุทธศาสนาขึ้นมา เป็นผู้ชี้ทางสู่ความดีงาม ความสุขความเจริญ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าสัตว์โลกทั้งหลายอย่างพวกเรา จะไม่สามารถรู้เรื่องราวต่างที่ควรจะรู้ เป็นเหมือนแสงสว่างที่จะพาชีวิตของเรา ให้ไปสู่ความสุขความเจริญ  ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้   การปรากฏขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จึงเปรียบเหมือนกับการปรากฏขึ้นของดวงอาทิตย์ ถ้าไม่มีดวงอาทิตย์โลกของเราจะเป็นอย่างไร ก็จะต้องมีแต่ความมืดตลอด ๒๔ ชั่วโมงเลย  มีแต่ความยากความลำบากที่จะไปไหนมาไหน เพราะไม่สามารถเห็นทางได้  ไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเราได้ ว่าเป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นประโยชน์หรือเป็นภัยกับเรา  จะไม่สามารถมองเห็นได้ ถ้าอยู่ในความมืด  แต่ถ้ามีแสงสว่าง อย่างในขณะนี้เป็นเวลากลางวัน มีแสงพระอาทิตย์ ทำให้เห็นสิ่งต่างๆรอบตัวเรา  จะไปไหนก็ไปได้ด้วยความสะดวก ไม่ต้องคลำทางไป 

ฉันใดพระพุทธเจ้าก็เปรียบเหมือนกับดวงอาทิตย์ เพราะพระพุทธเจ้ามีพระธรรม เรียกว่า ธัมโม ปทีโป  ประทีปแห่งธรรม  แสงธรรมนี้ก็คือคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้เรารู้จักเรื่องราวต่างๆที่มาเกี่ยวข้องกับเรา ให้รู้ว่าเป็นอะไร ดีหรือชั่ว เป็นคุณหรือเป็นโทษ เป็นสุขหรือเป็นทุกข์  เป็นของเที่ยงหรือไม่เที่ยง  เป็นสิ่งที่ควบคุมได้หรือควบคุมไม่ได้  ถ้าไม่รู้สิ่งเหล่านี้แล้ว ใจของเรามักจะเห็นตรงกันข้ามกับความจริง จะเห็นสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เห็นสิ่งที่เป็นโทษว่าเป็นคุณ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง  เห็นสิ่งที่ไม่อยู่ในความควบคุมของเรา ว่าเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้  เมื่อไม่ได้เป็นไปดังที่คิดไว้ ความเสียใจความผิดหวังย่อมปรากฏขึ้นมา นี่ก็เป็นเพราะไม่มีแสงสว่างแห่งธรรม ความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่มาเกี่ยวข้องด้วย  เราจึงต้องประสบกับความทุกข์อยู่เรื่อยๆ  ประสบกับความผิดหวังอยู่เรื่อยๆ  เพราะไปหวังในสิ่งที่ให้ความสมหวังกับเราไม่ได้ ไปปรารถนาในสิ่งที่จะให้เป็นไปตามใจของเราไม่ได้ ไปอยากในสิ่งที่ไม่อยู่กับเราไปตลอด  อยากให้เขาอยู่กับเราไปตลอด  แต่เมื่อไม่เป็นไปดังที่อยาก ดังที่หวังไว้  ก็เกิดความเสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ ทั้งๆที่เวลามาก็มาตัวเปล่าๆ  เวลาไปก็ไปตัวเปล่าๆ  

แม้กระทั่งร่างกายนี้ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะเอาติดตัวไปได้  เวลามาก็ไม่ได้เอาร่างกายนี้มาด้วย  แต่รับจากพ่อจากแม่เรามา  สิ่งที่มานี้คือดวงจิตดวงใจหรือดวงวิญญาณ  มาพร้อมกับบุญกับบาป  ถ้ามีบุญมากก็จะได้มาประสบกับสิ่งที่ดีที่งาม  ถ้ามาพร้อมกับบาปก็จะประสบกับสิ่งที่มีแต่ความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ความวุ่นวาย  เมื่อมาแล้ว เราก็ได้สมบัติชิ้นแรก ก็คือร่างกายของเรา  เมื่อเจริญเติบโตขึ้นมา ก็ได้สมบัติอย่างอื่นเพิ่มขึ้นมา  ได้สามี ได้ภรรยา ได้บุตร ได้ธิดา ได้เงินทอง ได้ข้าวของต่างๆ  แล้วสักวันหนึ่งก็ต้องทิ้งสิ่งเหล่านี้ไปหมด  เพราะเมื่อร่างกายนี้ถึงแก่กรรมคือเมื่อต้องดับไป  ดวงจิตดวงใจของเราก็เดินทางต่อไป  ชีวิตนี้จึงเป็นเหมือนขั้นบันไดขั้นหนึ่งเท่านั้น นี่คือมุมมองของพระพุทธศาสนา เป็นเพียงขั้นบันไดขั้นหนึ่ง  เมื่อก้าวจากบันไดขั้นนี้แล้ว เราก็ไปได้ ๒ ทางด้วยกัน  จะก้าวขึ้นหรือจะก้าวลง ก็ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา  ถ้าในชาตินี้เราทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม  ทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม  เมื่อตายไปก็จะก้าวสูงขึ้นไป  ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่มีฐานะดีกว่าเก่า  มีรูปร่างหน้าตาที่สวยงามกว่าเก่า  มีความรู้ความฉลาดมากกว่าเก่า เป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

อย่างที่ญาติโยมทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้  ท่านกำลังปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะทำให้ท่านก้าวหน้าขึ้นไป หลังจากที่ได้ละปล่อยวางสังขารร่างกายนี้แล้ว  แล้วก็ไปสู่สังขารร่างกายอันใหม่  ถ้าได้แต่ทำบุญรักษาศีลปฏิบัติธรรมแล้ว รับรองได้ว่าการที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกนี้ เป็นสิ่งที่ต้องเป็นไปอย่างแน่นอน  ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ปฏิบัติตามที่พระพุธเจ้าทรงสั่งสอน  แทนที่จะทำบุญทำทานรักษาศีลปฏิบัติธรรม ก็ไปเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน ไปลักเล็กขโมยน้อย ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ถ้าประพฤติอย่างนี้แล้ว เรียกว่ากำลังเดินลงสู่ขั้นต่ำ  ถ้าตายไปจากชีวิตนี้ก็ต้องไปเกิดในชีวิตที่ต่ำกว่า ไปเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นต้น  เป็นนก เป็นกา เป็นสุนัข เป็นแมว อย่างนี้เป็นผลที่เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  แทนที่จะทำบุญทำทานรักษาศีลปฏิบัติธรรม กลับแสวงหาความสุขที่มีอยู่ในโลกนี้ด้วยการกระทำผิด  หาเงินทองด้วยวิชามาร เช่น ไปลักขโมย ไปฉ้อโกง ไปปล้น ไปจี้ แล้วก็เอาเงินนี้มาเที่ยว มาเสพสุรายาเมา หาความสุขที่ไม่ใช่เป็นความสุขที่แท้จริง   เป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าวในขณะที่เสพสิ่งต่างๆเหล่านั้น  แต่เมื่อเสพไปแล้ว ก็จะเกิดความอยาก ที่ต้องเสพเพิ่มขึ้นไปอีก ก็ต้องออกไปหาสิ่งต่างๆมาเสพอีก  เมื่อไม่มีเงินทองที่หามาได้ด้วยความสุจริต  ก็ต้องไปหามาด้วยความทุจริตผิดศีลผิดธรรม  ดังที่เราได้ยินได้ฟังข่าวคราวของคนทั้งหลายในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอๆ  ต้องไปฆ่าฟัน ต้องไปลักขโมย เพื่อหาเงินทองมาซื้อความสุข 

นี่ก็เป็นเพราะว่าไม่เคยได้เข้าวัดเข้าวา ฟังเทศน์ฟังธรรม  จึงไม่รู้เรื่องราวของบาปบุญคุณโทษ  เรื่องราวของนรกสวรรค์  เรื่องราวของการเวียนว่ายตายเกิด  จึงทำให้คิดว่าเกิดมาชาตินี้ก็มีเพียงชาติเดียว  เมื่อตายไปแล้วก็หมดไปสูญไป  ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไร  จะทำดีหรือทำชั่วก็ไม่มีผลที่จะตามมาหลังจากที่ตายไปแล้ว  ผลที่จะได้รับก็เพียงแต่ในชาตินี้เท่านั้น  ถ้าทำความชั่วแล้วไม่ถูกจับก็ถือว่ารอดตัวไป  นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะว่าถึงแม้ทำความชั่วแล้วไม่ถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง แต่ความชั่วนี้มันติดไปกับใจ จะเป็นตัวส่งให้ลงไปเกิดที่ต่ำต่อไป  จะไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้า  ถ้าจะไปแบบพระพุทธเจ้า ก็ต้องถือว่าการมาเกิดในแต่ละภพแต่ละชาตินี้ เป็นเหมือนกับการมาเติมน้ำมันให้กับรถยนต์   เพราะยังต้องเดินทางไปอีกไกล  เวลาขับรถไปเจอปั๊มน้ำมันแต่ไม่หยุดแวะเติมน้ำมัน  ขับไปอีกสักระยะหนึ่งน้ำมันก็ต้องหมด  เมื่อไม่มีน้ำมันในรถก็ขับรถไปไม่ได้ ก็ต้องลงเดิน ก็จะทำให้การเดินทางยากลำบากยิ่งขึ้นไป  แต่ถ้าทุกครั้งเวลาขับรถไปเจอปั๊มน้ำมัน ก็หยุดแวะเติมน้ำมัน เติมน้ำ เช็คลม ดูสภาพของรถยนต์  ถ้าส่วนไหนเสียก็ซ่อม  แล้วค่อยออกเดินทางต่อไป  ถึงแม้จะเสียเวลาบ้างเล็กน้อย  แต่การเดินทางของเราก็จะเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย  ไม่ต้องกลัวว่ารถจะไปตายกลางทาง  ไม่ต้องกลัวว่าน้ำมันจะไปหมดกลางทาง

ชีวิตของพวกเราก็เป็นเช่นนั้น เรากำลังเดินทางอยู่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะเดินทางไปที่ไหนกันเท่านั้นเอง  เพราะไม่มีพระพุทธเจ้ามาบอกมาสอน แต่ถ้าได้พบพระพุทธศาสนา แล้วได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า  ก็จะรู้ว่าชีวิตของเรามีจุดหมายปลายทาง ไม่จำเป็นจะต้องขับรถเวียนอยู่ในวงเวียน  เวลาขับรถไปเจอวงเวียน แล้วขับวนอยู่ในวงเวียน ต่อให้ขับทั้งวันทั้งคืนก็จะไม่ไปไหน  จะวนอยู่ในวงเวียนนั้น  เพราะไม่รู้ว่าจะไปไหนนั่นเอง  ก็เลยขับวนอยู่ในวงเวียนนั้น  ไม่รู้ว่าจะไปแยกไหนดี ไปถนนเส้นไหนดี  ไม่รู้ว่าไปแล้วจะไปพบกับอะไร  ก็วนอยู่ในวงเวียนนั้น  แต่ถ้าได้เจอตำรวจจราจร แล้วบอกว่าให้ไปเส้นทางนี้ เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางแล้วจะมีแต่สิ่งที่ดีที่งาม มีบ้านช่อง มีอาหาร มีที่พักผ่อนหย่อนใจ มีแต่ความสุขเกษมสำราญรออยู่  ถ้าเชื่อตำรวจแล้วขับรถไปตามถนนที่เขาบอกไว้ ก็จะไปถึงสถานที่ที่เราทุกคนอยากจะไปกัน  เพียงแต่เราไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไรเท่านั้น  เราเลยคิดว่าการขับรถวนอยู่ในวงเวียนคือสิ่งที่ดี ที่เหมาะกับเรา

การขับรถเวียนอยู่ในวงเวียน ก็เหมือนกับการเวียนว่ายตายเกิดของพวกเรา ที่ทำอะไรในแต่ละภพแต่ละชาติ ไปตามความอยาก ความต้องการของกิเลสตัณหา  เห็นอะไรอยากจะได้ก็คว้ามา  เห็นอะไรอยากจะเสพก็เสพ  โดยไม่รู้ว่าจะทำให้เราไปสู่ที่ดีที่งาม ที่สุขที่เจริญได้อย่างแท้จริงหรือไม่  เมื่อไม่รู้เส้นทางที่จะนำพาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดี ก็ทำไปตามความอยาก ความต้องการของเรา  ซึ่งล้วนเป็นการกระทำที่ไม่ได้พาไปสู่จุดหมายปลายทางที่ดี  แต่พาให้เวียนอยู่ในวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  เกิดแล้วก็ตาย  ตายแล้วก็เกิด  เกิดมาแล้วก็มาเสพ ทำโน่นทำนี่ ทำบาปทำกรรม ทำบุญบ้างสลับกันไป  แล้วก็ตายไป ก็ไปเกิดที่ต่ำบ้างที่สูงบ้าง ไม่เคยไปถึงที่สูงสุดสักที  เพราะยังไม่ได้ละเว้นจากการกระทำเหตุที่จะฉุดลากให้ลงไปสู่ที่ต่ำ  เช่น การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การลักทรัพย์ การประพฤติผิดประเวณี การพูดปดมดเท็จ การเสพสุรายาเมา และอบายมุขทั้งหลาย  ถ้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้แล้ว  ชีวิตของเราก็จะต้องลงต่ำ  ไปตรงกันข้ามกับจุดหมายปลายทางที่เราต้องการไป 

เราต้องการไปสูง  แต่ไม่รู้วิธีที่จะพาให้ไปสูงนั้นไปอย่างไร  เราถูกอำนาจของความหลงหลอกให้ไปทางนี้แหละ เป็นทางที่ถูก  ทางนี้ทำไปแล้วมีความสุข คนถึงกล้าทำบาปกัน  เพราะว่าเมื่อได้เงินทองมาแล้ว  ก็ซื้อความสุขได้  ต้องการอะไรก็สามารถซื้อมาได้  ต้องการเสื้อผ้า ต้องการอาหาร  ต้องการบ้านช่อง ต้องการยารักษาโรค  ก็สามารถเอาเงินทองนี้มาซื้อได้   แต่หารู้ไม่ว่าการหาเงินทองมาโดยมิชอบ ผิดศีลผิดธรรม จะมีผลร้ายตามมาทั้งในปัจจุบันและในอนาคต  ในปัจจุบันเมื่อทำผิดแล้วใจจะวุ่นวาย มีความกังวล หวาดระแวง  ไม่รู้ว่าจะถูกจับไปลงโทษเมื่อไร  เมื่อตายไปแล้วก็จะต้องไปเกิดในที่ต่ำ  ไปเกิดเป็นเดรัจฉานเป็นต้น  นี่เป็นเพราะไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า  หรือได้ยินได้ฟังแล้วก็ไม่เชื่อไม่ศรัทธา คิดว่าเป็นของหลอกกันขึ้นมา ให้ทำแต่ความดี ไม่ให้กระทำความชั่ว เพื่อให้สังคมอยู่กันด้วยความสงบ  แต่ผลที่จะเกิดขึ้นจากการกระทำบาปหรือทำบุญนั้น เราคิดว่าไม่มี เราจึงกล้าทำความชั่ว ทำบาปกัน  เราจึงต้องไปเกิดในที่ต่ำ  เมื่อไปเกิดแล้ว ก็ไม่รู้ว่าสาเหตุใดทำให้มาเกิด เพราะไม่มีปัญญาพอที่จะย้อนกลับไปถึงต้นเหตุได้ ว่าเหตุอันใดจึงได้มาเกิดเป็นสุนัข เป็นแมว อย่างนี้เป็นต้น  เมื่อมาเกิดแล้วก็ทำตามความอยากต่อไป  เวลาเป็นเดรัจฉานก็ทำแบบเดียวกับสมัยที่เป็นมนุษย์  คืออยากจะกินอะไร อยากจะทำอะไรก็ทำไป โดยไม่คำนึงว่าถูกหรือผิดอย่างไร  ผิดศีลหรือไม่  ถูกกับศีลธรรมหรือไม่  เมื่อทำผิดศีลธรรมตายไปก็ต้องไปเป็นเดรัจฉานอีก  ก็จะวนเวียนอยู่ในภพต่ำๆอยู่เรื่อยไป 

แต่ถ้าวันดีคืนดีอาศัยบุญเก่าที่ได้เคยทำไว้ ทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ พร้อมกับได้มาเจอพระพุทธศาสนา เจอคำสอนของพระพุทธเจ้า  ที่สอนให้ทำบุญ ละบาป ลดละกิเลสตัณหาต่างๆ แล้วประพฤติปฏิบัติตาม ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็จะมีความสุขใจ  เพราะเวลาทำบุญทำความดีจิตใจจะมีความเย็น มีความสงบ มีความสุข  เมื่อตายไปก็จะได้ไปเกิดในที่สูงขึ้นไปกว่าเดิม  ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นคนที่ดีกว่าเดิม เป็นคนรวยกว่าเดิม มีรูปร่างหน้าตาดีกว่าเดิม  แล้วถ้ายังจำเรื่องราวที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ได้ ได้ปลูกฝังติดเป็นนิสัย ก็จะทำบุญต่อไป  รักษาศีลต่อไป ปฏิบัติธรรมต่อไป  ภพหน้าชาติหน้าก็จะดีขึ้นกว่าเก่าอีก  แล้วก็จะทำบุญมากขึ้นไป  จะรักษาศีลมากขึ้นไป  จะปฏิบัติธรรมมากขึ้นไป  จนในที่สุดก็จะได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด คือได้เป็นพระพุทธเจ้า  ได้เป็นพระอรหันต์ อย่างพระพุทธเจ้าของพวกเรา ก็เป็นเช่นนั้น  กว่าที่พระพุทธเจ้าจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องทำบุญแต่ละภพแต่ละชาติอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ  เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อยู่เรื่อยๆ ได้ทำบุญมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

นี่แหละคือเรื่องราวของพวกเรา  พวกเรามีทางเลือก จะไปทางไหน  จะลงต่ำหรือจะขึ้นสูงก็ได้ ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระพุทธเจ้า  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระรูปหนึ่งรูปใด  พระพุทธเจ้ากับพระนั้นมีหน้าที่สอนบอกเราเท่านั้น ว่าทางที่จะไปสู่ความสุขความเจริญนั้นอยู่ในทิศทางใด ทางที่จะพาเราไปสู่ความต่ำ ความเสื่อมเสีย ความหายนะนั้นอยู่ทิศทางไหน  ท่านเพียงมีแต่หน้าที่บอกเราเท่านั้น  ถ้าเรารู้แล้วเชื่อแล้วปฏิบัติตาม ก็จะเป็นบุญของเรา ถ้าไม่เชื่อไม่ปฏิบัติตาม ก็จะเป็นโทษกับเรา ไม่ได้เป็นโทษกับผู้บอกทาง เพราะผู้บอกทางได้ไปถึงที่ต้องการจะไปแล้ว  เขารู้อยู่แก่ใจของเขาแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะทำให้เราเชื่อได้   เราต้องเสี่ยงดูเอา ว่าสิ่งที่เขาบอกเรานั้น จริงหรือไม่จริง  ถ้าเราลองทำตามที่เขาบอก เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่เขาบอกนั้น จริงหรือไม่จริงอย่างไร ถ้าไม่ลองดู ก็จะไม่รู้เลยว่าสิ่งที่เขาบอกนั้น จริงหรือไม่จริงอย่างไร เหมือนกับเวลาไปหาหมอ แล้วหมอให้ยามารับประทาน  ถ้าไม่รับประทานยา ก็ไม่รู้ว่ายานั้นรักษาโรคให้หายไปได้หรือเปล่า ถ้ารับประทานอย่างน้อยก็จะรู้ว่ายารักษาโรคได้หรือไม่ ถ้ารักษาไม่ได้ ก็ไปขอให้หมอเปลี่ยนยาได้ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่ายาที่หมอให้มานั้นเป็นยาที่ใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ 

ฉันใดคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นเหมือนยารักษาโรคใจ  คือรักษาโรคของความทุกข์  รักษาโรคของการเวียนว่ายตายเกิด เกิดแก่เจ็บตายของเราได้  ถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาศึกษา มาพินิจพิจารณา แล้วนำไปปฏิบัติ เราจะรู้ถึงผลที่จะปรากฏขึ้นมา ไม่ต้องรอถึงเวลาที่ตายไป ถึงจะรู้ว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า มีผลหรือไม่อย่างไร  เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าสามารถพิสูจน์ได้ในภพนี้ในชาตินี้  ถ้าทำความดีรักษาศีลปฏิบัติธรรมแล้ว ความสุขภายในใจจะมีมากขึ้นหรือน้อยลง จะเห็นได้ทันที  และเมื่อปฏิบัติธรรมมากยิ่งๆขึ้นไป จะเริ่มเห็นตัวจิต ตัวที่ไปเวียนว่ายตายเกิด  ตัวที่มาเกิดและตัวที่จะไปเกิดใหม่ เมื่อปฏิบัติธรรมจนเห็นตัวจิตแล้ว ต่อไปจะไม่สงสัยเลยว่ากรรมมีจริงหรือไม่  การเวียนว่ายตายเกิดมีจริงหรือไม่  เพราะมันเห็นที่ตัวจิตนี่แหละ  ในขณะนี้เรามีจิตอยู่กับเรา  แต่เราไม่เห็นจิต  เห็นเพียงแต่ร่างกายทั้งๆผู้ที่เห็นร่างกายนี้ก็คือตัวจิตเอง  แต่ตัวจิตไม่สามารถมองเห็นตัวเองได้  เหมือนกับเราไม่สามารถมองเห็นหน้าของเราได้ ต้องอาศัยกระจกส่องหน้าจึงจะเห็นได้

การที่จะเห็นตัวจิตก็ต้องอาศัยการปฏิบัติธรรม  คือการปฏิบัติสมาธิและวิปัสสนาเท่านั้น จึงจะทำให้เห็นตัวจิตได้  ถ้าปฏิบัติแล้วรับรองได้ว่าจะเห็นตัวจิต  เหมือนกับเห็นหน้าตาของเรา ถ้ามีกระจกส่องหน้าเรา  แต่ถ้าไม่มีกระจกส่องหน้า เราจะไม่รู้ว่าหน้าตาของเราเป็นอย่างไร  ใครจะบอกว่าหน้าตาเราสวยหรือไม่สวย เราก็จะไม่รู้ เพราะไม่มีกระจกส่องดู  ฉันใดเราก็จะไม่เห็นตัวจิต ผู้ที่จะไปเวียนว่ายตายเกิด  เพราะไม่มีกระจกส่องดูตัวจิต  กระจกที่ส่องดูตัวจิตนี้เรียกว่าธรรมะ แว่นส่องใจ แว่นส่องจิต  ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการปฏิบัติธรรม  โดยอาศัยการทำบุญรักษาศีลเป็นเครื่องสนับสนุน ให้เข้าสู่การปฏิบัติธรรม  ถ้ายังไม่ทำบุญทำทาน ยังไม่รักษาศีล การนั่งสมาธิกับการเจริญวิปัสสนาจะเป็นสิ่งที่ยากมาก  เหมือนกับการสร้างบ้าน ถ้าไม่มีเสาจะสร้างให้บ้านสูงขึ้นไปหลายชั้นย่อมเป็นไปไม่ได้  อย่างศาลาหลังนี้ถ้าไม่มีเสาค้ำเพดานค้ำหลังคาไว้ก็ไม่สามารถสร้างศาลาหลังนี้ได้ 

ฉันใดการปฏิบัติธรรมเพื่อให้มีแว่นส่องจิตแว่นส่องใจ เพื่อจะได้เห็นตัวจิต ก็ต้องอาศัยการทำบุญทำทาน การรักษาศีล เป็นเครื่องสนับสนุนก่อน  เมื่อได้ทำบุญทำทานรักษาศีลอยู่เป็นประจำ  ต่อไปจิตก็จะเกิดความยินดีที่จะปฏิบัติธรรม  อยากจะมาอยู่วัด อยู่จำศีลสัก ๓ วัน ๕ วัน ๗ วัน  ไหว้พระสวดมนต์นั่งทำสมาธิ  เจริญวิปัสสนา ให้เห็นถึงความจริงของสภาวธรรมทั้งหลายว่าเป็นอย่างไร  ว่าการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างไร ว่ากรรมเป็นอย่างไร นี่แหละคือเรื่องราวของพระพุทธศาสนา  เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงนำมาสั่งสอนพวกเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงเห็นจิตของพระองค์แล้ว  ทรงรู้แล้วว่าตัวที่จะไปเกิดก็คือตัวจิต และตัวที่จะส่งจิตไปเกิด ก็คือตัวกิเลสตัณหา  โมหะอวิชชา  และตัวที่จะทำให้จิตไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ก็คือตัวสมาธิและวิปัสสนาปัญญา เราจึงไม่ควรสงสัยในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ควรน้อมเข้ามาสู่ใจ เพื่อประโยชน์สุขอันสูงสุดที่จะเป็นผลตามมาต่อไป คือวิมุตติ ความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้