กัณฑ์ที่ ๒๑๔     ๑๙     มิถุนายน  ๒๕๔๘

พระที่บ้าน

 

การทำบุญเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะทำให้จิตใจมีความสุข สดชื่น เบิกบาน ปีติ อิ่ม พอ และภาคภูมิใจ การทำบุญนั้นทำได้หลายวิธีด้วยกัน เป็นบุญด้วยกันทั้งนั้น มีบางท่านอยากทราบว่าทำบุญอย่างไหนจะได้บุญมากๆ เพราะนานๆจะได้ทำสักที  สำหรับผู้ที่ยังมีพ่อมีแม่ การทำบุญกับพ่อกับแม่นั้นแหละ เป็นการทำบุญที่ได้บุญมากๆ  เพราะไม่มีใครในโลกนี้  ที่มีความสำคัญต่อชีวิตของเรา  เท่ากับคุณพ่อคุณแม่ของเรา  ถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่แล้ว  เราก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์  มีอาการ ๓๒ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้  ต้องอาศัยพ่อแม่เป็นผู้ให้กำเนิด  แล้วยังต้องอาศัยพ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดู เพราะตอนที่เกิดมาใหม่ๆ  ย่อมไม่สามารถเลี้ยงดูตัวเองได้  ต้องอาศัยพ่อแม่คอยเลี้ยงดู  จนกว่าจะเจริญเติบโตเป็นผู้หลักผู้ใหญ่  มีความสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้  เมื่อเลี้ยงตัวเองได้แล้ว  ก็ต้องหันกลับมาดูพ่อแม่  เพราะพ่อแม่จะมีอายุมากขึ้นไปเรื่อยๆ  ต่อไปท่านก็จะไม่สามารถที่จะดูแลตัวท่านเองได้  ก็ต้องเป็นหน้าที่ของลูกๆ ที่จะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ต่อไป

ดังนั้นการได้เลี้ยงดูพ่อแม่ ทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่า เป็นการทำบุญกับพระอรหันต์เลยทีเดียว เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า พ่อแม่ของลูกๆนั้น เปรียบเหมือนพระพรหม พระอรหันต์ การได้ดูแลอุปถัมภ์ท่านตามกำลังความสามารถอย่างเต็มที่แล้วนั่นแหละ เป็นการทำบุญที่ยิ่งใหญ่สำหรับลูกๆ  เราจึงไม่ควรมองข้ามพระผู้ประเสริฐที่อยู่ในบ้านของเรา เวลาคิดอยากจะไปหาพระอริยสงฆ์ที่ไหน ตามสถานที่ต่างๆ  ในเบื้องต้นต้องไม่ลืมพระที่อยู่ในบ้านของเรา คือพ่อแม่ของเรา ดูแลท่านให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะไปแสวงหาพระอริยสงฆ์ที่อื่นต่อไป เพราะบุญนั้นมีหลายระดับด้วยกัน การดูแลพ่อแม่เราก็เป็นบุญอย่างหนึ่งเป็นบุญที่เกิดจาการเสียสละ รับใช้ผู้อื่น  ส่วนบุญที่สูงกว่านี้  เราก็ต้องแสวงหาเหมือนกัน  เช่นบุญที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าได้พบพระอริยสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  มีดวงตาเห็นธรรม แล้วได้ยินได้ฟังธรรมจากท่าน ก็จะเป็นคุณเป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะท่านรู้จริงเห็นจริง สิ่งที่ท่านสอนล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม ไม่ทำให้เราสงสัย หลงทาง ถ้าผู้สอนไม่รู้จริงเห็นจริง แล้วสอนไปตามความคาดคะเน  ก็จะไม่สามารถสอนตามความจริงได้  ผู้ฟังก็จะไม่สามารถรับประโยชน์จากคำสอนได้ เหมือนกับคนที่ไม่รู้ทาง ย่อมบอกทางให้กับผู้อื่นไม่ได้  เหมือนคนตาบอดชี้ทางให้กับคนตาบอด 

การทำบุญกับพระอริยสงฆ์  ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ก็เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามพระอรหันต์ที่อยู่ที่บ้าน พยายามดูแลท่านให้ดี  ให้ความเคารพกับท่าน ท่านสั่งสอนท่านพูดอะไร เราก็ควรน้อมเอาเข้ามาใส่จิตใส่ใจ  ถึงแม้จะไม่ถูกอกถูกใจ  ก็อย่าไปเถียงพ่อเถียงแม่  ไม่ชอบก็ฟังไว้เฉยๆก็แล้วกัน  แล้วนำเอาไปพินิจพิจารณา  ถ้าเห็นว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้นไม่ถูกต้องตามหลักธรรม ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตาม เช่นเรามีสามีหรือมีภรรยาแล้ว แต่พ่อแม่อยากจะให้เราได้คนใหม่มาแทนสามีแทนภรรยาที่เรามีอยู่แล้ว อย่างนี้ถ้าพิจารณาตามหลักธรรมแล้ว ก็ไม่ถูกต้อง เพราะผิดศีลข้อที่ ๓  ที่ให้ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี ถ้าเป็นเช่นนั้น ก็ไม่ต้องปฏิบัติตามที่พ่อแม่สั่งให้ทำ เพราะไม่ถูกต้องตามหลักธรรมนั่นเอง

ถ้าถูกต้องตามหลักธรรม ก็ควรปฏิบัติตาม เช่นเราเป็นคนเกเร ไม่เอาถ่าน ไม่ทำงานทำการ ชอบเที่ยวเตร่ ไม่เรียนหนังสือ เอาแต่เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน ถ้าท่านเตือนเราว่า อย่าไปทำสิ่งเหล่านี้เลย จะทำให้ชีวิตเราตกต่ำ  อย่างนี้ถึงแม้เราจะไม่ชอบ  แต่หลังจากวิเคราะห์แล้ว เห็นว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้น ถูกต้องตามหลักธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ เราก็ควรน้อมรับเอามาปฏิบัติ  ถ้าปฏิบัติได้ก็จะทำให้พ่อแม่มีความสุข การทำให้พ่อแม่มีความสุขนี้แหละ  คือการทำบุญอย่างหนึ่ง  เราจึงไม่ควรโกรธเกลียดพ่อแม่ ที่คอยเตือนเมื่อเราทำตัวไปในทางที่ไม่ดีไม่งาม  แต่ควรสำนึกในความเมตตา ความห่วงใย ของท่านที่มีต่อเรา เมื่อเห็นเราประพฤติตนไปในทางที่เสื่อมเสีย ก็คอยเตือน คอยบอก เพื่อเราจะได้ไม่หลงทาง ไม่เห็นผิดเป็นชอบ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อไปเราจะตกต่ำและก้าวไปสู่ความหายนะในที่สุด

นี่คือการแสดงความเคารพ ความกตัญญู การทำบุญกับคุณพ่อคุณแม่นี้ นอกจากการเสียสละรับใช้คุณพ่อคุณแม่แล้ว เรายังสามารถถ่ายทอดสิ่งที่ดีที่งาม สิ่งที่ประเสริฐให้กับท่านได้ แบบที่ไม่เป็นการสั่งสอนท่าน แต่เป็นการเล่าให้ฟัง เพราะโดยปกติแล้ว ถ้าลูกจะสอนพ่อสอนแม่ ควรรู้จักกาลเทศะ และมีอุบายที่แยบคาย แต่ถ้าพ่อแม่เห็นว่าเราเป็นคนฉลาด แล้วอยากจะรับคำสอนจากเรา อย่างนี้ก็สอนโดยตรงเลยก็ได้ เช่นพระพุทธเจ้าหลังจากที่ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้เสด็จกลับไปเยี่ยมพระราชบิดาในพระมหาราชวัง  ทรงแสดงธรรมโปรดพระราชบิดา และบรรดาญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลาย มีหลายท่านด้วยกันที่ได้บรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เช่นพระราชบิดา เจ้าสุทโธทนะ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน  หลังจากนั้นก็ได้เสด็จกลับไปโปรดอยู่เรื่อยๆ เป็นระยะๆ จนกระทั่ง ๗ วันก่อนที่พระราชบิดาจะเสด็จสวรรคต ก็ทรงสอนให้ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด  นี่คือการตอบแทนพระคุณของพระราชบิดาของพระพุทธเจ้า

เช่นเดียวกับพระพุทธมารดา ก็ทรงได้โปรดทั้งๆที่พระพุทธมารดาได้เสด็จสวรรคตไปแล้ว  ๗ วันหลังจากที่พระพุทธเจ้า คือเจ้าชายสิทธัตถราชกุมาร ได้ประสูติออกมาดูโลก พระพุทธมารดาก็ทรงเสด็จสวรรคตไป แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เห็นธรรมแล้ว ทรงมีความสามารถที่จะเล็งญาณหาพระพุทธมารดาได้ เมื่อได้เจอพระพุทธมารดาในสวรรค์ จึงได้ทรงโปรดแสดงธรรมตลอดเวลา ๓ เดือน จนพระพุทธมารดาได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ สำหรับผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ย่อมพ้นจากอบายโดยสิ้นเชิง  ถึงแม้จะมีภพชาติเหลืออยู่อีกไม่เกิน ๗ ชาติก็ตาม แต่ในภพชาติทั้ง ๗ นี้ จะไม่ต่ำกว่าภพชาติของมนุษย์  คือจะไม่ไปเกิดในอบาย ไม่ว่าจะเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกายหรือสัตว์นรกอีกต่อไป

เพราะท่านตั้งมั่นอยู่ในการทำความดี ทำบุญทำทานด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ ไม่หวังผลตอบแทนจากผู้ใด ทำไปเพื่อชำระกิเลสตัณหา ที่มีอยู่ภายในจิตใจ  ละเว้นจากการกระทำบาปทั้ง ๕ ประการ คือฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระโสดาบัน จะไม่แตะต้อง จะไม่ละเมิดโดยเด็ดขาด แล้วใช้เวลาที่มีอยู่ไปกับการบำเพ็ญจิตตภาวนา พยายามเจริญจิตให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จากขั้นโสดาบัน ก็ขึ้นไปสู่ขั้นสกิทาคามี อนาคามี และอรหันต์ ไม่ช้าก็เร็ว แต่ไม่เกิน ๗ ชาติ  นี่เป็นฐานะของผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณของพระพุทธบิดาและพระพุทธมารดา พระพุทธบิดาก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในวาระสุดท้ายก่อนเสด็จสวรรคต พระพุทธมารดาก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายโดยสิ้นเชิง

นี่คือสิ่งที่ลูกสามารถกระทำได้ เพื่อตอบแทนพระคุณของพ่อของแม่ ถ้ามีความสามารถ แล้วพ่อแม่มีความเลื่อมใสศรัทธา ที่จะปฏิบัติตามคำสอนของลูก  โดยสรุปถ้าลูกสามารถทำให้พ่อแม่ ที่ไม่เคยตั้งอยู่ในการทำบุญทำทาน ให้ตั้งมั่นอยู่ในการทำบุญทำทานได้  ที่ไม่เคยตั้งมั่นอยู่กับการละเว้นจากการทำบาปทำกรรม คือมีศีล ๕ ครบถ้วนบริบูรณ์ ให้เห็นโทษถึงการละเมิดศีล ๕  แล้วตั้งมั่นอยู่ในศีล ๕  และที่ไม่เคยปฏิบัติจิตตภาวนามาก่อน ให้ตั้งมั่นอยู่ในการปฏิบัติจิตตภาวนา  ถ้าสอนให้พ่อแม่ปฏิบัติธรรมทั้ง ๓ นี้ คือ ทาน ศีล ภาวนาได้แล้ว ก็ถือว่าได้ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่เช่นนั้นแล้วถึงแม้จะเลี้ยงดูท่านไปตลอดชีวิตของเรา และตลอดชีวิตของท่าน  บุญคุณที่เราทดแทนให้กับท่านนั้น ก็ยังไม่หมด จะหมดก็ต่อเมื่อเราสามารถสอนให้ท่านตั้งมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนาได้เท่านั้น  เพราะถ้าได้ตั้งมั่นอยู่ในทาน ศีล ภาวนาแล้ว ก็จะได้บรรลุอริยมรรคอริยผล ตามลำดับต่อไป

นี่แหละคือการทำบุญกับพ่อกับแม่ของเรา ในสิ่งที่เราสามารถทำได้ เราไม่ควรมองข้ามไป ถ้าไม่ดูแลพ่อแม่แล้ว เวลาที่จะไปทำความดีอย่างอื่น ก็จะมีความรู้สึกไม่สบายอกไม่สบายใจอยู่นั่นแหละ เพราะจะรู้สึกว่าได้มองข้ามอะไรไป ขาดอะไรไป แต่ถ้าได้ทำหน้าที่ที่ต้องทำกับพ่อแม่อย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว  เวลาจะไปทำอะไร จะไม่มีความรู้สึกตะขิดตะขวงใจ ไม่รู้สึกว่ามีอะไรมาเป็นอุปสรรคขวางกั้น เช่นบางท่านที่สนใจต่อการปฏิบัติธรรม แต่มีหน้าที่ที่จะต้องดูแลพ่อแม่อยู่ ก็อย่าไปคิดว่าการดูแลพ่อแม่นี้ เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติธรรมขั้นสูง เพราะคนเราแต่ละคนนั้น มีวิบากต่างกัน บางคนก็สามารถออกปฏิบัติได้เลย ไม่มีอะไรมาเหนี่ยวรั้งไว้    แต่บางคนยังมีภาระมีหน้าที่ที่ยังต้องทำอยู่ ก็ถือว่าการทำหน้าที่นี้แหละ เช่นดูแลพ่อแม่ ก็เป็นการปฏิบัติธรรมเหมือนกัน

เช่นเดียวกับพระอานนท์ ที่หลังจากได้บวชและบรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว แต่กลับต้องมีหน้าที่คอยปรนนิบัติรับใช้พระพุทธเจ้าอยู่ถึง ๒๕ ปีด้วยกัน จนพระพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ถึงจะมีเวลาออกปฏิบัติต่อ แต่ก็ไม่เสียเวลามาก เพียง ๓ เดือนก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เช่นเดียวกับผู้ที่บวชพร้อมๆกับท่าน แต่ได้บรรลุธรรมไปก่อนท่านแล้ว เนื่องจากต้องติดอยู่กับภาระการดูแลอุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้า แต่การอุปัฏฐากรับใช้พระพุทธเจ้าก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่เสียหายอะไร เพราะเป็นการเจริญบุญบารมีไปในตัว ให้พร้อมที่จะก้าวไปสู่ธรรมที่สูงยิ่งๆขึ้นไปนั่นเอง  ถ้าไม่มีฐานที่ดี เวลาสร้างบ้านสร้างตึกสูงๆ ก็จะไม่สามารถตั้งอยู่ได้ ถ้าฐานไม่แน่นหนามั่นคง ต้องเอียงและทรุดตัวลง หรือล้มลงมาอย่างแน่นอน แต่ถ้าได้สร้างรากฐานให้มีความแน่นหนามั่นคง สามารถรับน้ำหนักของตึกสูงๆได้แล้ว ตึกก็จะไม่ทรุด แต่จะตั้งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย

ฉันใดการบำเพ็ญธรรมตามขั้นต่างๆ ก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เราไม่สามารถกระโดดข้ามไปได้ตามความต้องการของเรา แต่ต้องบำเพ็ญตั้งแต่ขั้นรากฐานขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด ขั้นแรกๆก็คือความกตัญญูกตเวที สัมมาคารวะ การเสียสละ รับใช้ผู้อื่นก่อน หลังจากนั้นจึงค่อยก้าวขึ้นสู่ศีล สู่ภาวนา สมาธิและปัญญาต่อไป นี่คือธรรมที่เราสามารถปฏิบัติได้พร้อมๆกัน แต่บางอย่างเราต้องปฏิบัติให้ครบบริบูรณ์ก่อน ถึงจะก้าวสูงขึ้นไปได้  ถ้าคิดว่าอยากจะบรรลุทันที เช่นอยากจะไปฟังเทศน์ฟังธรรมกับพระอริยสงฆ์เพียงครั้งเดียว แล้วบรรลุเลย ถ้าได้บำเพ็ญบุญชนิดต่างๆมาแล้วในอดีตทุกชาติ มีความกตัญญูกตเวที มีสัมมาคารวะ มีจาคะการเสียสละ มีศีล มีสมาธิอยู่ในจิตแล้ว ถ้าฟังเทศน์ฟังธรรมเพียงครั้งเดียวก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้เลย เช่นเดียวกับพระอริยสงฆ์สาวกในอดีต ที่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงครั้งเดียว ก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขึ้นมาได้เลย

เนื่องจากว่าท่านเหล่านั้น ได้สร้างรากฐานที่ดีไว้แล้ว ได้สร้างบุญสร้างบารมีรองรับไว้แล้ว ขาดเพียงแต่ปัญญา ความรู้แจ้งเห็นจริงตามสภาพความเป็นจริง ที่ยังไม่สามารถเห็นได้ ต้องอาศัยคนที่รู้จริงเห็นจริงอย่างพระพุทธเจ้ามาสอน อย่างตอนที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใหม่ๆ พอไปโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕  ซึ่งเป็นการแสดงธรรมครั้งแรก ก็มีหนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ คือพระอัญญาโกณฑัญญะ ก็ได้บรรลุธรรม มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีการเกิดขึ้น ย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา  ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ คนเราเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทุกคน นี่เป็นสิ่งที่พระโสดาบันรับได้ ไม่สงสัย ไม่ปฏิเสธความจริงอันนี้ ความหวาดกลัวเกี่ยวกับเรื่องความเป็นความตายก็จะหมดไป เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า ไม่มีใครจะอยู่ไปได้ตลอด

นี่เป็นสัจธรรมความจริงของชีวิต เมื่อเกิดแล้วย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ไม่มีใครสามารถล่วงพ้นความตายไปได้  นี่คือปัญญาที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้กับผู้ที่มีจิตใจพร้อมจะรับสัจธรรมนี้ หมายถึงผู้ที่มีทั้งสมาธิ มีทั้งศีล มีทั้งจาคะ  ถ้ายังไม่มีก็จะไม่สามารถรับได้ ถ้ายังไม่มีจาคะ ก็แสดงว่ายังมีความผูกยึดติดอยู่กับวัตถุข้าวของเงินทอง อยู่กับชีวิตของตนเอง มากยิ่งกว่าความสุข ที่เกิดจากการปล่อยวางสิ่งต่างๆ เราไม่รู้หรอกว่า ความทุกข์ของคนเรานั้น เกิดขึ้นจากการยึดมั่นถือมั่นในวัตถุข้าวของเงินทอง ในบุคคลต่างๆนั้นเอง ถ้าปล่อยวางได้แล้ว จะพบกับความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน ถ้าเราสามารถอยู่อย่างไม่มีเงินไม่มีทองได้ เงินทองก็จะไม่เป็นปัญหากับเรา ทุกวันนี้เราอยู่กับอะไร เราก็อยู่กับเรื่องเงินเรื่องทองนี้แหละ ต้องคอยหามาให้พอใช้  ถ้าไม่พอก็วุ่นวายใจเพราะไม่รู้จักตัดนั่นเอง ไม่รู้จักลดละการใช้จ่าย เคยใช้จ่ายอย่างไร ก็ติดเป็นนิสัย ต้องใช้จ่ายอย่างนั้น  ถึงจะมีความสุข  ถ้าไม่ได้ใช้จ่ายอย่างนั้น ก็จะมีความทุกข์ตามมา 

แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าพิจารณาด้วยปัญญาว่า ชีวิตของเรานั้น มันก็ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินทองมากมายเลย เพียงแต่มีข้าวรับประทานไปวันๆ หนึ่ง  มีที่หลบแดดหลบฝน  มีเสื้อผ้าใส่สักชุดสองชุด มียารักษาโรคในขณะที่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็อยู่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสมบัติข้าวของเงินทองมากมาย อย่างที่คนอื่นเขามีกัน ถ้าคิดอย่างนี้ได้ ก็จะมีจาคะตามมา      จะเสียสละ จะตัดเรื่องวัตถุข้าวของเงินทองต่างๆได้  เมื่อตัดได้แล้ว เวลาจะตาย ก็จะไม่รู้สึกเสียดายอะไร  คนที่ตายไม่ลง ก็เพราะว่ายังมีความยึดติดอยู่กับสิ่งต่างๆนั่นเอง แต่คนที่ไม่ยึดไม่ติดแล้ว กลับเห็นว่าความตายเป็นสิ่งที่สบายกว่า อยู่ไปก็มีแต่ปัญหา ต้องคอยบำรุงรักษาร่างกายอยู่ตลอดเวลา  แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า จะฆ่าตัวตาย หมายถึงว่าถ้ายังอยู่ก็อยู่ไป อยู่แล้วก็ทำประโยชน์ เช่นพระพุทธเจ้าก็ทรงทำประโยชน์ให้กับโลก แต่เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายจะต้องแตก จะต้องดับไป  ใจก็พร้อมที่จะปล่อยให้เป็นไปตามความเป็นจริง ตามธรรมชาติ แต่จะไม่วิตกหวาดกลัว ไม่ทุกข์กับการตายเลย

เพราะใจเคยปล่อยวางวัตถุข้าวของมาแล้ว ปล่อยวางบุคคลต่างๆมาแล้วด้วยปัญญา  ไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราเอง หรือร่างกายของคนอื่นก็ดี เช่นของพ่อของแม่ ของพี่ของน้อง ของสามีของภรรยา ของลูก ก็ล้วนจะต้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น คือกลับคืนสู่สภาพเดิม เพราะร่างกายนี้ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นการรวมตัวของธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มาทางอาหารๆ ที่เรารับประทานเข้าไป ล้วนมาจากดิน น้ำ ลม ไฟทั้งสิ้น  เช่นข้าวก็ต้องมาจากดิน ผักก็ต้องมาจากดิน เมื่อเรารับประทานเข้าไปแล้ว ก็กลายเป็นอาการ ๓๒  เป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง แล้วก็อยู่ไปได้สักระยะหนึ่งจนอายุ ๘๐ - ๙๐ ก็ถึงเวลาที่จะต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม ร่างกายก็หยุดทำงาน น้ำก็ไหลออกจากร่างกาย ไฟก็ออกจากร่างกาย ลมก็แยกออกไป เหลืออยู่แต่ดิน ในที่สุดก็กลายเป็นดินไป ถ้าเอาไปฝังก็กลายเป็นดินไป เอาไปเผาก็กลายเป็นขี้เถ้าไป นี่คือเรื่องของร่างกายของคนเราทุกคน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน

ส่วนจิตของพวกเรากับร่างกายนั้น เป็นคนละส่วนกัน จิตเริ่มมาครอบครอง มายึดมาติดร่างกายนี้ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในครรภ์ของมารดา ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ตัวเราของเรา เรียกว่าเป็นอนัตตา ไม่มีตัว ไม่มีตน จิตถ้าได้รับการอบรมสั่งสอนแล้ว ก็จะเกิดวามรู้ เกิดความฉลาดขึ้นมา ก็สามารถปล่อยวางร่างกายนี้ได้ ยอมรับความจริงอย่างที่พระโสดาบันรับได้  ก็คือเมื่อมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมก็มีการดับไปเป็นธรรมดา ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เป็นเช่นนี้ เมื่อจิตรู้ได้ด้วยปัญญาแล้ว ก็ปล่อยวางได้ ไม่เศร้าโศกเสียใจ เพราะรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานั่นเอง เหมือนกับมีใครให้อะไรเรายืมใช้ พอถึงเวลาเขามาเอาคืนไป  เราก็ไม่รู้สึกเสียอกเสียใจอะไร  เพราะรู้อยู่ตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า ไม่ใช่เป็นของของเรานั่นเอง  เช่นใครเอาลูกมาฝากเราเลี้ยงไว้สักปีสองปี พอถึงเวลาเขาขอเอาลูกกลับคืนไป เราก็ไม่รู้สึกเสียอกเสียใจอะไร เวลาเขาขอลูกของเขาคืนไป  ฉันใดลูกของเราก็เป็นอย่างนั้น ลูกของเราก็เป็นของดิน น้ำ ลม ไฟนั่นเอง ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แหละคือพ่อแม่ของลูกของเราที่แท้จริง สักวันหนึ่งดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะต้องมาขอเอาลูกของเราคืนไป เราก็ไม่ร้องห่มร้องไห้ ถ้าเรามีปัญญา มีธรรมะเข้าอกเข้าใจในหลักของความเป็นจริงแล้ว เราจะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจเลย เพราะรู้ว่าต้องกลับไปสู่เจ้าของเดิมนั่นเอง

เราเพียงแต่ยืมของเหล่านี้มาดูแลรักษาไปวันๆหนึ่งเท่านั้นเอง เช่นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของพ่อแม่ของเราก็ดี ของลูกก็ดี ของสามีของภรรยาหรือของใครก็ดี ก็ล้วนเป็นแบบนี้ด้วยกันทั้งสิ้น ถ้าเราศึกษาพิจารณาอยู่เรื่อยๆแล้ว สักวันหนึ่งก็จะเห็นตามความเป็นจริง เมื่อเห็นจริงแล้ว ก็จะปล่อยวางได้ ปล่อยวางแล้ว ใจก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ จากความกังวลเกี่ยวกับความเป็นความตายทั้งของเราและของผู้อื่น เพราะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ไม่มีอะไรตาย เป็นเพียงแต่การกลายสภาพเท่านั้นเอง จากดินน้ำลมไฟมาเป็นร่างกาย จากร่างกายก็กลับไปสู่ดินน้ำลมไฟต่อไป ก็มีเพียงเท่านี้ ถ้าศึกษาสอนตัวเราอยู่เรื่อยๆ เกี่ยวกับความจริงนี้  ไม่ให้ห่างจากจิตจากใจ ไม่ให้หลงลืม เวลามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ก็จะไม่ทำให้เกิดความทุกข์ เกิดความเศร้าโศกเสียใจ  เพราะรู้ทันด้วยปัญญานั่นเอง  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้