กัณฑ์ที่ ๒๒๐     ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๘

หน้าที่ของมนุษย์

 

วันนี้เป็นวันที่พวกเรามีเวลาว่างจึงได้มาวัดกัน เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์  พวกเราอาจจะไม่ทราบว่ามนุษย์มีหน้าที่อะไรบ้าง มีแต่พระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกเท่านั้นที่รู้  และได้ทำหน้าที่ของมนุษย์อย่างสมบูรณ์เต็มที่ จนได้รับประโยชน์อันสูงสุด ที่สัตว์โลกคือมนุษย์อย่างพวกเราจะรับได้ คือพัฒนาจิตใจของตน ให้ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดคือพระนิพพาน  นี่แหละคือหน้าที่ของมนุษย์ เกิดมาเพื่อมากระทำหน้าที่ ๓ ประการด้วยกัน ที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ได้มาตรัสรู้ จะทรงสอนให้กับสัตว์โลกทุกครั้งไป  คือ ๑. ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม   . ละการกระทำความชั่วทั้งหลายเสีย   . ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ กำจัดกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆทั้งหลาย ที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป

เพราะไม่มีสัตว์โลกในภพไหน ในบรรดาภพที่มีอยู่ทั้งหมด ที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ มีภพของมนุษย์เพียงภพเดียวเท่านั้น ที่สามารถจะทำความดี ละความชั่ว และชำระจิตใจของตนให้สะอาดบริสุทธิ์ได้ ภพอื่นๆนั้นเป็นภพสำหรับไปเสวยบุญ เสวยกรรม  ถ้าไปเกิดในสวรรค์ เป็นเทพ เป็นพรหมก็ได้แต่เสวยบุญ คือความสุขที่ตนได้ทำไว้ ในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์  ถ้าไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ไปตกนรก ก็ต้องไปเสวยกรรม ที่เคยทำไว้ แต่จะไม่สามารถทำบุญ ละบาป ชำระจิตใจในภพเหล่านั้นได้เลย เพราะไม่ใช่วิสัยที่จะทำได้นั่นเอง  มีภพเดียวภูมิเดียวในไตรภพนี้ คือภพของมนุษย์นี้เท่านั้น ที่จะสามารถสร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นจากการกระทำบาปทั้งหลาย ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดได้  มีภพของมนุษย์นี้เพียงภพเดียวเท่านั้น

ถ้าได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ไม่ได้ทำบุญ ไม่ได้ละบาป ไม่ได้ชำระจิตใจของตนให้สะอาด ก็เสียชาติเกิด ไม่ได้รับประโยชน์อันพึงจะได้รับ เป็นประโยชน์ที่ดีที่สุด ที่เลิศที่สุด ไม่มีอะไรในโลกนี้จะมีคุณค่า มีความประเสริฐเลิศโลก เท่ากับการได้บรรลุถึงพระนิพพาน ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัยของพวกเรา ที่จะสามารถทำกันได้ ถ้าไม่ทำ ก็เท่ากับปล่อยโอกาสอันดีงาม ให้หลุดจากมือไป เป็นการเสียชาติเกิด  เหมือนกับเวลาที่ได้เข้าไปในร้านเพชร ร้านพลอย ร้านขายทอง แล้วเจ้าของอนุญาตให้หยิบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่มีอยู่ในร้านไปได้ แต่เรากลับไม่สนใจ กลับไปสนใจกับของสกปรก สิ่งต่างๆที่ถูกทิ้งไว้ในถังขยะ ไปขุดคุ้ยหาแต่ของที่สกปรก แทนที่จะเปิดตู้เก็บเพชร เก็บพลอย เก็บเงิน เก็บทองไว้ กลับไปสนใจกับเรื่องขยะทั้งหลาย อย่างนี้เป็นการเสียโอกาสที่ดี เจ้าของร้านอุตส่าห์มีจิตใจกว้าง อยากจะให้เราได้เอาของดีๆไปกัน แต่ความโง่เขลาเบาปัญญาของเรา กลับเห็นเพชร พลอย เงิน ทอง เป็นของไม่มีคุณค่า กลับเห็นสิ่งที่อยู่ในกองขยะนั้น มีคุณค่า

ชีวิตของพวกเราจึงไม่ค่อยได้ดิบได้ดีสักเท่าไหร่ ไม่ได้รับประโยชน์เท่าที่ควร ในฐานะที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะภพภูมิของมนุษย์มีไว้สำหรับเติมน้ำมันให้กับชีวิต เหมือนกับสถานีบริการ ที่มีไว้สำหรับเติมน้ำมัน เติมลม เติมน้ำให้กับรถยนต์ เพื่อจะได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางที่ดีได้ เช่นเรากำลังจะเดินทางกลับบ้าน น้ำมันใกล้จะหมด ก็ต้องมองหาปั๊มน้ำมัน เมื่อเจอปั๊มก็ต้องรีบเลี้ยวเข้าไป รีบเติมน้ำมัน เติมน้ำ เติมอะไรเสียก่อน เมื่อรถมีน้ำมัน มีน้ำ มีลม ก็พร้อมที่จะพาเราเดินทางไปสู่จุดหมายปลายทาง ที่ต้องการไปได้ แต่ถ้ากลับมัวโอ้เอ้ ถึงปั๊มน้ำมันแล้วแทนที่จะไปซื้อน้ำมัน กลับไปซื้อสุรามาดื่ม ซื้อบุหรี่มาสูบ ซื้อขนมมารับประทาน จนไม่มีเงินเหลือซื้อน้ำมันเติมใส่รถ พอขับรถออกไปได้ไม่ไกล น้ำมันหมดก็ต้องจอด ไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง

นี่คือภพชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้  เป็นที่มาเติมน้ำมันของชีวิต เราเป็นนักท่องเที่ยว นักเดินทาง ในภพน้อยภพใหญ่ ในสังสารวัฏ เวียนว่ายตายเกิด เกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้าไม่มีผู้วิเศษอย่างพระพุทธเจ้า มาบอกเราว่าควรจะทำอะไร ควรจะตั้งเป้าไว้ที่ไหน เราก็จะไม่รู้ เราก็จะใช้ชีวิตของเราแบบสุรุ่ยสุร่าย แบบไม่มีสาระ ใช้ไปตามอำนาจของกิเลส ตัณหา ความโลภ ความอยากทั้งหลาย ถ้าปล่อยให้เป็นไปอย่างนี้ ผลก็คือการเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ แบบไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ถ้ามีโอกาส มีวาสนา ได้เกิดมาเจอพระพุทธเจ้าก็ดี พระศาสนาที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศไว้ก็ดี ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จนรู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือ การทำความดี ละความชั่ว ชำระจิตใจของตนให้สะอาดหมดจด เมื่อรู้แล้ว ก็ควรรีบนำไปปฏิบัติ เพราะเมื่อได้ปฏิบัติแล้ว ผลอันดีเลิศที่พระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้บรรลุถึง ก็จะกลายเป็นผลที่พวกเราจะได้บรรลุกัน

พวกเรากำลังแสวงหาความสุข พยายามหนีความทุกข์ด้วยกันทุกคน แต่ไม่รู้จักวิธีที่ถูกต้อง จึงมักเดินไปพบกับความทุกข์อยู่เรื่อยๆ ความสุขจะไม่ค่อยได้เจอเท่าไหร่  ถ้าเป็นความสุขก็เป็นแบบจอมปลอม เป็นความสุขที่มีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่ภายใน ได้มาใหม่ๆก็มีความสุข แต่หลังจากนั้นแล้ว สิ่งที่ได้มาก็กลายเป็นความทุกข์ไป ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือบุคคล ล้วนเป็นเช่นนั้นทั้งสิ้น เวลาได้ใครมาใหม่ๆ เป็นสามี เป็นภรรยา เป็นคู่ครอง เราจะมีความดีอกดีใจ มีความสุข แต่หลังจากอยู่กันไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา เกิดความจำเจ เกิดความชินชา เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง เกิดการขัดใจกันขึ้นมา คนที่เคยรักก็เลยกลายเป็นคนที่น่าเกลียด น่าชังไป คนที่ให้ความสุข ก็กลายเป็นคนที่ให้ความทุกข์ไป เพราะนี่คือธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่พวกเราเข้าไปเกี่ยวข้อง ไปแสวงหา

แต่เนื่องจากเรามีความมืดบอด คือโมหะความหลง อวิชชาความไม่รู้จริง จึงทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นความทุกข์ว่าเป็นความสุข เห็นว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้จะให้ความสุขกับเรา จึงตะเกียกตะกายพยายามแสวงหากัน แบบแทบเป็นแทบตาย เกือบแทบทุกลมหายใจก็ว่าได้ พยายามจะหาสิ่งนั้นมา สิ่งนี้มา หาบุคคลนั้นมา หาบุคคลนี้มา เพราะคิดว่าเมื่อได้มาแล้ว จะทำให้มีความสุขนั่นเอง แต่เราไม่มีปัญญา ไม่พิจารณา ไม่รู้ถึงธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ที่เราอยากได้มาครอบครองว่า เป็นไตรลักษณ์  คือ  . เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ๒. เป็นทุกข์ . เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่สามารถควบคุมบังคับ ให้เป็นไปตามความต้องการของเราได้ พอได้อะไรมาปั๊บ ก็จะเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทันที เปลี่ยนแปลงอยู่ทุกขณะ จากของใหม่ก็จะกลายเป็นของเก่า จากของดีก็จะกลายเป็นของชำรุด เมื่อชำรุดแล้ว จะให้ความสุขได้อย่างไร มีแต่จะกลายเป็นภาระ ที่เราจะต้องหาเงินหาทองมาซ่อมแซม เวลาซื้อรถยนต์มาใหม่ๆ ขับไปไหนมาไหนก็สะดวกดี เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ก็เริ่มชำรุดขึ้นมา ต้องเสียเงินเสียทองไปซ่อมแซม บำรุงรักษา กลายเป็นภาระ กลายเป็นความทุกข์ขึ้นมา นี่เป็นธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง เราห้ามไม่ได้ ไม่อยู่ในความควบคุมของเรา จะไปอธิษฐานจิตขอกับพระว่า ขอให้ได้สิ่งที่ดีมา แล้วขอให้สิ่งนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ให้เป็นไปตามความต้องการของเราเสมอ ไม่ใช่วิสัยที่จะขอได้ เพราะโดยธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นข้าวของต่างๆ ล้วนอยู่ในกรอบของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น ล้วนเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ควบคุมบังคับให้เป็นไปตามความต้องการได้

แต่พวกเราขาดปัญญากัน ไม่เห็นไตรลักษณ์  ผู้ที่จะเห็นไตรลักษณได้ ต้องเป็นคนระดับพระพุทธเจ้าเท่านั้น คนที่มีบุญบารมีแก่กล้า พอที่จะมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้เท่านั้น ถึงจะเห็นได้ แล้วรู้ว่าควรจะปฏิบัติกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร รู้ว่าต้องหักห้ามจิตใจ ไม่ให้ไปหลง ไปชอบ ไปยินดีกับสิ่งต่างๆทั้งหลาย ที่มีอยู่ในโลกนี้ อย่าไปหวังหาความสุขจากสิ่งต่างๆเหล่านี้ แต่ให้หันเข้ามาหาความสุขภายในจิตใจของตน นี่แหละจึงเป็นเหตุที่มาของหน้าที่ของพวกเรา ที่มีอยู่ ๓ ประการด้วยกัน คือ ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม ละการกระทำบาปทั้งหลาย แล้วก็ชำระจิตใจ ชำระกิเลสตัณหาทั้งหลาย ให้หมดออกไปจากจิตจากใจเสีย เพราะถ้าได้ทำแล้ว จิตใจจะเข้าสู่ความสงบ เข้าสู่ความร่มเย็นเป็นสุข เข้าสู่ความอิ่มหนำสำราญใจ เข้าสู่ความพอ

นี่คือธรรมชาติของจิตใจ เป็นอย่างนี้  ไม่ได้อิ่ม ไม่ได้สุขกับวัตถุข้าวของ เงินทอง กับสัตว์ กับบุคคลต่างๆ แต่สุขเพราะทำความดี ละความชั่ว ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด เราจึงต้องทำหน้าที่ของเราให้ครบถ้วนให้จงได้ ถ้าไม่ได้ทำ ก็เท่ากับเกิดมาเสียชาติเกิดนั่นเอง ชาติอันดีชาติอันวิเศษ แต่กลับไม่เอามาใช้ ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ เหมือนกับไก่ที่ได้พลอย แต่ไม่สนใจเพราะกินไม่ได้ จะหาแต่ตัวหนอนกินอย่างเดียว เวลาคุ้ยเขี่ยไปเจอเพชรเจอพลอยเข้า ก็เขี่ยทิ้งไป เพราะไม่มีปัญญาที่จะเห็นคุณค่าของเพชรของพลอย แต่พวกเราไม่ใช่ไก่ ถึงแม้จะเป็นไก่มาก่อน แต่ก็เป็นไก่ที่ฉลาด เพราะมีครูมีอาจารย์ มีพระพุทธเจ้า มีพระอริยสงฆสาวกคอยสั่งคอยสอน ให้รู้ว่าอะไรเป็นเพชร อะไรเป็นพลอย อะไรเป็นไส้เดือน อะไรเป็นตัวหนอน ให้รู้จักแยกแยะ แล้วจะได้สมบัติอันวิเศษ อันประเสริฐติดตัวไปตลอดอนันตกาล คือความสุขที่เรียกว่า ปรมัง สุขังนั่นเอง

การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด การอยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลาย นี่แหละคือสิ่งที่วิเศษ สิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายใฝ่ฝัน ใฝ่หากัน แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน เป็นอย่างไร มีแต่ความเห็นผิดเป็นชอบ เพราะขาดครู ขาดอาจารย์ที่จะมาชี้บอก กลับชอบหาของในกองขยะ แทนที่จะหยิบเพชรพลอยเงินทองในตู้  กลับไม่สนใจ  กลับไปสนใจคุ้ยเขี่ยหาเศษหาเดน ที่มีอยู่ในถังขยะนั่นแหละ นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ ผู้ที่ยังมีความมืดบอด มีความลุ่มหลง ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน อันประเสริฐของพระพุทธเจ้า จึงเห็นขยะทั้งหลายเป็นสิ่งมีคุณค่า จึงพยายามแสวงหาแต่ขยะ แล้วในที่สุดก็ต้องมาร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ ว้าวุ่นขุ่นมัว มีแต่ความทุกข์รุมเร้าจิตใจอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่มีของดีของวิเศษมาปกป้อง มาทำลายความทุกข์ ความรุ่มร้อนของจิตใจ

สิ่งที่พวกเราทั้งหลายเห็นว่าเป็นสิ่งที่เลิศ ที่วิเศษ แต่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายกลับเห็นเป็นเศษขยะ ก็คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  เป็นสิ่งที่พวกเราทั้งหลายอุตส่าห์หากันแทบเป็นแทบตาย อยากจะร่ำ อยากจะรวย อยากจะใหญ่อยากจะโต อยากจะให้คนยกย่องสรรเสริญเยินยอ อยากจะมีเงินไว้ไปเที่ยวเตร่อย่างเต็มที่ อยากจะดู อยากจะฟัง อยากจะกิน อยากจะดื่ม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นขยะทั้งสิ้น ในสายตาของนักปราชญ์อย่างพระพุทธเจ้า และพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เพราะเหตุใด เพราะไม่เป็นความสุขที่จีรังถาวร แต่เป็นความสุขที่ซ่อนเร้นด้วยยาพิษ คือความทุกข์อย่างรุนแรง  สังเกตดูมีใครในโลกนี้บ้างที่ไม่ร้องห่มร้องไห้ ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่กระโดดตึกตาย ฆ่าตัวตายกัน คนพวกนี้ก็ล้วนมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุขด้วยกันทั้งนั้น แต่เมื่อถึงเวลาที่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมไป สูญไป หมดไป ก็เหมือนกับตกนรกทองแดง ไม่สามารถอยู่อย่างปกติสุขได้  ทนอยู่ไม่ได้

คนเคยรวยแล้วต้องมาจน จะอยู่สู้หน้าชาวบ้านไม่ได้  คนที่เคยเป็นใหญ่เป็นโต ต้องกลายเป็นคนธรรมดาสามัญ จะรู้สึกว่าอับอายขายหน้า ทนที่จะไปเผชิญหน้ากับคนอื่นไม่ได้ คนที่เคยมีแต่คนยกย่องสรรเสริญเยินยอ แล้วอยู่ดีๆก็ไม่มีใครยกย่องสรรเสริญเยินยอ จะมีความรู้สึกว้าเหว่ เปล่าเปลี่ยวใจ คนที่เคยได้กิน ได้เที่ยว ได้ใช้เงินใช้ทองอย่างสุรุ่ยสุร่าย อย่างเต็มที่ เมื่อขาดเงินขาดทองแล้ว จะไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ นี่แหละคือความทุกข์ คือยาพิษ ที่ซ่อนเร้นอยู่ในความสุข แห่งลาภ ยศ สรรเสริญ สุข นี่เอง พวกเราถ้าไม่คิดกัน จะไม่เห็น ต้องอาศัยคนช่างคิด ช่างพิจารณาอย่างพระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะมองทะลุเห็นยาพิษที่ซ่อนเร้นอยู่ในกองขยะ ที่พวกเราทั้งหลายกำลังหลงระเริงกันอยู่

นี่แหละคือความแตกต่างระหว่างพวกเรากับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีเมฆหมอกปิดบัง เหมือนกับสายตาของพวกเรา ที่มีโมหะอวิชชา เมฆหมอกแห่งความมืดบอด ปกปิดใจของเรา ทำให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างกลับตาลปัตรไป เห็นสิ่งที่ดีกลายเป็นสิ่งที่ไม่ดีไป เห็นสิ่งที่ไม่ดีกลายเป็นสิ่งที่ดีไป เราจึงตะครุบแต่สิ่งที่ไม่ดีอยู่เรื่อยไป เมื่อมัวแต่ไปทำสิ่งที่ไม่ดี ทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วเราจะดีขึ้นได้อย่างไร พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ทำความดี  กลับไปทำความชั่ว พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ละการกระทำความชั่ว กลับไปทำความชั่วกัน พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชำระกิเลสตัณหา กลับไปส่งเสริมกิเลสตัณหา ให้มีมากยิ่งๆขึ้นในจิตใจ แล้วจะไปหาความสุขความเจริญมาจากที่ไหน เพราะสิ่งต่างๆที่ประพฤติปฏิบัตินั้น ล้วนเป็นการสร้างความทุกข์ สร้างความเสื่อมเสียให้กับเราทั้งนั้น แล้วจะไปเอาความสุขความเจริญมาได้อย่างไร

ถ้าต้องการความสุขความเจริญ ก็ต้องทำหน้าที่ของมนุษย์ให้สมบูรณ์ คือต้องทำความดีให้ถึงพร้อม ต้องละความชั่ว ละบาปกรรมทั้งหลาย ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด เวลาโลภก็อย่าไปโลภตาม เวลาอยากก็อย่าไปอยากตาม ให้ใช้เหตุใช้ผล ว่าสิ่งที่ต้องการนั้นมีความจำเป็น ต่อการดำรงชีพหรือไม่ ถ้าเป็นสิ่งที่จำเป็น ก็ไม่เป็นความโลภ ไม่เป็นความอยาก แต่เป็นความจำเป็น เช่นอาหารที่รับประทานเป็นสิ่งที่จำเป็น ต้องมีอาหารไว้รับประทาน แต่ต้องรู้จักประมาณ อย่าไปรับประทานมากเกินความจำเป็น เกินความต้องการของร่างกาย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็กลายเป็นความโลภขึ้นมาได้เหมือนกัน เวลาที่จะใช้สอยอะไร ที่เกี่ยวกับเรื่องปัจจัย ๔ ที่เป็นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ก็ยังต้องมีความรู้จักประมาณ อย่าใช้เกินความจำเป็

เช่นอาหารไม่จำเป็นจะต้องมีราคาแพงๆ อาหารทุกอย่างก็มาจากที่เดียวกัน มาจากไร่จากนาจากสวน แล้วก็มาขายที่ตลาด แล้วก็เอาไปทำที่บ้าน ที่ร้าน ที่โรงแรม เป็นอาหารชนิดเดียวกันทั้งสิ้น ต่างกันตอนรับประทานตามสถานที่ต่างๆ มีค่าใช้จ่ายอย่างอื่นบวกเข้าไปด้วย เลยทำให้มีราคาแพงขึ้นมา แต่คุณค่าไม่ได้แพงขึ้นตามราคา คุณค่าก็เท่าเดิม กินไข่เจียวที่บ้าน กับกินไข่เจียวที่โรงแรม ก็เป็นไข่เจียวเหมือนกัน แต่ไข่เจียวที่บ้านจานละสิบบาท แต่ที่โรงแรมกลายเป็นจานละร้อยบาท ขึ้นที่ราคาแต่ไม่ได้ขึ้นที่คุณค่า ถ้าคนไม่มีปัญญาก็จะหลงคิดว่า กินไข่เจียวที่โรงแรมนี่มันวิเศษเลิศโลก ยิ่งมีเชฟฝรั่งมาทำให้กินด้วยแล้ว โอย!ยิ่งวิเศษใหญ่ ที่แท้ก็ไข่เจียวเหมือนกัน กินเข้าไปในท้อง ออกมามันก็เป็นของที่ไม่มีใครปรารถนาเหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะกินที่ไหนมันก็เป็นเหมือนกันทั้งสิ้น

จะกินอะไรจึงต้องใช้ปัญญา อย่าไปหลง หลงแล้วจะกลายเป็นทาสของความหลง จะต้องเหนื่อยยากกับการหาเงินหาทอง เพื่อซื้อของแพงๆกิน ที่ไม่มีคุณค่าราคาอะไรเลย เพียงแต่มนุษย์สมมุติกันขึ้นว่า มีคุณค่า มีราคา ก็หลงตามสมมุติไปเท่านั้นเอง แต่ความเป็นจริงแล้ว คุณค่าก็เท่ากัน ถ้ามีปัญญาแล้ว จะสามารถมองทะลุสิ่งเหล่านี้ได้ ก็จะไม่หลงตาม เมื่อไม่หลงตาม ก็ไม่ต้องเหนื่อย เพราะว่าสิ่งต่างๆนั้น ต้องใช้เงินใช้ทอง ของยิ่งแพงก็ต้องใช้เงินมาก ใช้เงินมากๆ ก็ต้องหามากๆ หามากๆก็เหนื่อยมากน่ะสิ นี่คือปัญหา ถ้าไม่มีปัญญา ก็จะถูกหลอกให้ไปวุ่นอยู่กับสิ่งที่ไร้ค่า อย่างที่ได้พูดไว้ในเบื้องต้นว่า  เป็นเหมือนกับเศษขยะในถังขยะนั่นแหละ เรากำลังไปยุ่งกับพวกเศษขยะ กับถังขยะกัน แต่พวกเพชรนิลจินดา พวกเงิน พวกทอง กลับไม่สนใจกัน กลับปล่อยปละละเลย ชีวิตของเราจึงไม่ค่อยมีคุณค่าเท่าไหร่ มองดูตัวเองทีไรก็ไม่มีความรู้สึกภูมิอกภูมิใจเลย เพราะมองเข้าไปก็มีแต่กิเลส มีแต่ตัณหา มีแต่ความเห็นแก่ตัว มีแต่ความเกียจคร้าน มีแต่ความชั่วช้าต่างๆ ไม่มีศีล ไม่มีธรรมอยู่ในจิตในใจของตนเลย มองเข้าไปทีไร ก็ไม่มีความสุข 

ไม่เหมือนกับคนที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คอยทำแต่ความดี ละการกระทำบาปความชั่วทั้งหลาย ชำระกิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว ความเกียจคร้านทั้งหลายที่มีอยู่ในจิตในใจ ให้เบาบาง ให้หมดไป เวลามองดูตัวเอง ก็อดที่จะภูมิใจไม่ได้ ถึงแม้จะไม่มีใครมายกย่องสรรเสริญเยินยอ แต่ก็อดที่จะสรรเสริญตัวเองไม่ได้ เพราะเป็นอย่างนั้นจริงๆ มีอย่างนั้นจริงๆอยู่ในตัว ทำไมจะยกย่องสรรเสริญตัวเราเองไม่ได้ เมื่อเป็นความจริง ไม่ต้องให้คนอื่นมายกยอปอปั้น ถ้าไม่มีอะไร แล้ว ให้เขามายกยอปอปั้น เท่ากับหลอกตัวเอง โกหกตัวเอง หลงตัวเองนั่นเอง เพราะถ้าไม่มีความดี แล้วมีคนบอกว่าเรามีความดี แล้วไปหลงเชื่อ ก็เท่ากับเป็นคนตาบอดสอนคนตาบอด คนตาบอดนำคนตาบอด จะพาไปไหน ถ้าไม่พาไปตกหลุมตกบ่อตกเหว

ฉันใดโมหะอวิชชา ความมืดบอด ก็เป็นอย่างนั้น คนมืดบอด กับคนมืดบอดมาชมกัน โอ๊ย! เธอดีอย่างนั้น เธอดีอย่างนี้ ทั้งๆที่ทำแต่ความชั่วอยู่ตลอดเวลา ถ้าเป็นอย่างนี้จะพาไปไหนกัน เมื่อไปยกย่องสรรเสริญว่าเขาดีเพราะทำความชั่ว เขาก็ยิ่งได้อกได้ใจ ที่จะทำความชั่วต่อไป ทำความชั่วมากๆแล้วเวลาตายไป จะไปไหนถ้าไม่ไปตกนรกหมกไหม้ นี่แหละเป็นเรื่องของมนุษย์ที่ขาดศีลธรรม ขาดปัญญา ขาดธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า จะต้องมุ่งไปทางนั้นโดยถ่ายเดียว จะต้องมุ่งไปสู่สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นอบายมุขต่างๆ เช่นการเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน การคบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้าน เหล่านี้แหละเป็นทางเดินของคนชั่ว เป็นทางเดินที่จะพาไปสู่นรกต่อไป เพราะถ้าได้เกี่ยวข้องกับอบายมุขแล้ว สิ่งที่จะตามมาต่อไปก็คือการลักทรัพย์ การประพฤติผิดประเวณี การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การพูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง

จะเป็นสิ่งที่ถูกเรียกขึ้นมารับใช้ เพราะเมื่อเดือดร้อนจากการสูญเสียเงินทอง เช่นแพ้พนัน เมื่อไม่มีเงินทองแล้วจะทำยังไง ก็ต้องไปโกหกหลอกลวง ขอยืมเงินผู้อื่นมาก่อน แล้วจะเอาไปใช้ทีหลัง แต่ก็ไม่มีโอกาสใช้เพราะ เมื่อได้เงินมาแล้วก็เอาไปเล่นพนันต่อ เล่นจนหมดแล้วจะเอาเงินไปใช้ด้้อย่างไร หนักๆเข้าก็ต้องไปลักขโมย แล้วก็ต้องไปฆ่าผู้อื่น เพราะเวลาไปจี้ ไปปล้น แล้วมีการต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ต้องต่อสู้ จนถูกเขาฆ่า หรือต้องฆ่าเขา นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา ถ้าไปเกี่ยวข้องกับพวกอบายมุขทั้งหลาย ไปเกี่ยวข้องกับการกระทำความชั่ว จึงต้องระมัดระวัง ต้องพยายามยึดเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้า ทรงสั่งสอนมาปฏิบัติกับชีวิตให้ได้ เพราะเป็นสิ่งที่ดี มีแต่กำไรอย่างเดียว รับรองได้ว่าไม่ขาดทุน ถ้าเดินตามแนวทางของพระพุทธเจ้าแล้วไม่มีการขาดทุน มีแต่จะกำไรเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นมหาเศรษฐีอย่างพระพุทธเจ้าขึ้นมาเป็นเศรษฐีธรรม  เป็นผลที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ของมนุษย์อย่างสมบูรณ์  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้