กัณฑ์ที่ ๒๒๑      ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๘

คู่มือชีวิต

 

วันนี้จะได้ฟังเรื่องชีวิตของพวกเรา ซึ่งเปรียบเหมือนกับการเดินทาง เวลาเดินทางไปไหนมาไหน ถ้ามีข้อมูลรู้ล่วงหน้าก่อนว่า สถานที่ที่จะไปอยู่ในสภาพอย่างไร ถนนหนทางที่จะไปเป็นอย่างไร ถ้ารู้สภาพต่างๆว่าเป็นอย่างไร ก็จะสามารถเตรียมการ เตรียมตัว เตรียมข้าวเตรียมของ ไว้รับกับสถานการณ์ได้ ถ้ารู้ว่าถนนหนทางที่จะไป เป็นแบบขึ้นเขาลงห้วย เป็นถนนที่ขรุขระ ไม่ราบเรียบ ไม่ได้ลาดยาง ก็ต้องคิดถึงรถยนต์ที่จะเอาไป ว่าควรจะเอารถยนต์ชนิดไหนไปดี สถานที่ที่จะไป อุดมสมบูรณ์ หรือแห้งแล้ง อดอยากขาดแคลน ถ้ารู้ล่วงหน้า จะได้เตรียมเสบียง เตรียมอะไรไปให้พร้อม สภาพอากาศเป็นอย่างไร รู้ไว้ก็ดี ว่าร้อนหรือหนาว ฝนตกน้ำท่วม หรือแห้งแล้ง ถ้ามีข้อมูลแล้ว จะได้เตรียมตัวเตรียมสิ่งของต่างๆ ไว้รับกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ จะได้ไม่เดือดร้อน ไม่ลำบากลำบน เพราะมีทุกสิ่งทุกอย่าง ไว้รับกับสถานการณ์นั่นเอง

ชีวิตของพวกเราก็เช่นเดียวกัน  เป็นการเดินทางเหมือนกัน เราต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า ถ้ารู้ล่วงหน้าก่อนว่า จะมีอะไรเกิดขึ้น ถ้าได้เตรียมตัวรับไว้ก่อน  เวลาเกิดขึ้นก็จะไม่เดือดร้อน จะรับได้ ฟันฝ่าไปได้อย่างไม่สะทกสะท้าน อย่างไม่เดือดร้อนใจแต่อย่างใด คู่มือของชีวิตที่ดีที่สุดก็คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เป็นเหมือนแผนที่ เป็นข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ถ้าได้ศึกษาดีแล้ว จดจำดีแล้ว ไม่หลงไม่ลืม เราก็จะพร้อมรับกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น แต่ถ้าไม่มีข้อมูลเตือนไว้ล่วงหน้า ก็จะไปแบบคนตาบอดไป ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า ก็เลยไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจ ไว้รับกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะต้องเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็จะต้องว้าวุ่นขุ่นมัว ระส่ำระสาย เกิดความทุกข์อย่างมากตามมา

ชีวิตของเราจะดำเนินไปได้ด้วยดีหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวเตรียมใจ รับกับเหตุการณ์ต่างๆได้หรือไม่ มีข้อมูลพร้อมเพรียง พอที่จะบอกให้รู้ว่า ควรทำตัวอย่างไร เตรียมตัวอย่างไร ให้รับกับสภาพต่างๆ เช่นถ้ารู้ว่าฝนจะตก ก็เตรียมร่มไว้ เตรียมเสื้อฝนไว้ เตรียมที่กักเก็บน้ำไว้ เพื่อจะได้มีน้ำใช้ ถ้ารู้ว่าไปข้างหน้าจะแห้งแล้ง ก็เตรียมเอาน้ำเอาท่าติดตัวไปด้วย จะได้ไม่เดือดร้อน ชีวิตของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน ข้างหน้าจะมีเหตุการณ์ต่างๆรอเราอยู่ ที่จะต้องพบ จะต้องเผชิญ ถ้ารู้แล้วและเตรียมตัวไว้ก่อน ก็เท่ากับมีอาวุธไว้ต่อสู้กับศัตรู ศัตรูก็จะไม่สามารถทำลายเราได้ พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ว่า พวกเราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงความแก่ไปไม่ได้ ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา  หลีกเลี่ยงความเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ได้ ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงความตายไปไม่ได้ ย่อมมีการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง ย่อมมีการประสบพบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนา เป็นเรื่องที่รอเราอยู่ข้างหน้า

เมื่อรู้แล้วว่าจะต้องเกิดขึ้น ถ้าได้เตรียมตัวเตรียมใจรับกับเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะไม่ทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจ เช่นรู้ว่าสักวันหนึ่งเราอาจจะต้องอยู่ตามลำพัง อยู่คนเดียว เราก็ฝึกหัดอยู่คนเดียวไปก่อน อย่าไปหวังพึ่งอะไรจากใครให้มากจนเกินไป หัดพึ่งตนเองที่เรียกว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน อย่าไปหวังพึ่งใคร แต่ถ้ามีใครยินดีที่จะให้ความอุปการะ ให้การช่วยเหลือ ก็ไม่ขัดข้อง แต่ต้องพร้อมเสมอที่จะยืนหยัดบนลำแข้งลำขาของเราให้ได้ ถ้าได้เตรียมตัวไว้แล้ว ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้น ก็จะไม่เดือดร้อน เพราะมีที่พึ่งอยู่ในตัว แต่ถ้าหวังพึ่งคนอื่น หวังพึ่งสิ่งอื่น มาให้ความสุขกับเรา เมื่อบุคคลอื่น สิ่งอื่นนั้นเกิดมีการสูญเสีย เกิดมีการแยกจากเราไป เราก็จะลำบากลำบน เพราะเราไม่เคยอยู่ด้วยลำแข้งลำขา ด้วยกำลังของเรานั่นเอง เราเคยแต่พึ่งพาอาศัยผู้อื่นมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้ที่เราได้พึ่งพาอาศัย เกิดมีความจำเป็นที่จะต้องจากเราไป เราก็จะไม่รู้จะทำอย่างไร ถ้าเป็นคนอ่อนแอมากๆ ก็อาจจะไม่มีกำลังจิตกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป ถึงกับต้องทำลายชีวิตของตนเลย ก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพราะไม่รู้ว่าจะอยู่อย่างไรนั่นเอง ทำมาหากินก็ไม่เป็น อยู่คนเดียวก็รู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงา ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม ชีวิตแทบจะไม่มีความหมายเลย อยู่ไปก็มีแต่ความทุกข์รุมเร้าอยู่ตลอดเวลา เลยเกิดความเห็นผิดขึ้นมา คิดว่าการทำลายชีวิตของตนเอง จะเป็นวิธีพาให้ตนพ้นจากความทุกข์

แต่ในทางพระพุทธศาสนาได้แสดงไว้ว่า การทำลายชีวิตของตนเอง เป็นการส่งตนเองให้ไปตกนรกอย่างยาวนาน เมื่อได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็จะต้องทำลายชีวิตของตนอีก เพราะเป็นนิสัยติดตัวมา เกิดภพไหนชาติไหนก็จะไม่รู้จักวิธีแก้ปัญหา เพราะไม่รู้จักวิธีพึ่งตนเอง ชอบพึ่งคนอื่น ชอบอาศัยคนอื่นอยู่เรื่อยๆ เมื่อถึงเวลาที่ไม่มีที่พึ่งแล้ว ก็จะต้องแก้ปัญหาแบบเดิมๆ คือทำลายชีวิตของตนเองเสมอ ไม่มีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้ารุ่งเรือง แต่จะวนเวียนอยู่กับการตกนรกหมกไหม้ กับการมาเกิดเป็นมนุษย์ มาฆ่าตัวเองอยู่อย่างนี้ แล้วก็ไปตกนรกต่อ วนไปเวียนมาอยู่อย่างนี้ ไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ถ้าเป็นคนที่รู้ถึงเหตุการณ์ต่างๆของชีวิต ว่าไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน จะไปหวังพึ่งพาทุกสิ่งทุกอย่าง ไปตลอดเวลาไม่ได้ ชีวิตมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา มีได้มีเสียเป็นธรรมดา ก็จะฝ่าวงจรอุบาทว์นี้ไปได้

เราจึงต้องหัดรับกับเหตุการณ์ต่างๆ อย่าไปคิดว่าจะต้องสุขเสมอไป ชีวิตมีทั้งความทุกข์ มีทั้งความสุขควบคู่กันไป มีความสุขได้ก็หมดได้ เมื่อความสุขหมดไป ความทุกข์ก็เข้ามาแทนที่ ความทุกข์เข้ามาแทนที่ไม่นาน เดี๋ยวก็ออกไปอีก ความสุขก็กลับมาอีก ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ ส่วนของใจผู้ดำเนินชีวิตนี้ ความจริงแล้วก็ไม่มีอะไรสามารถทำลายได้ จะมีความทุกข์ขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถทำลายใจนี้ได้  แต่สิ่งที่จะทำลาย หรือสร้างความทุกข์ให้กับใจได้ก็คือ ความหลงนั่นเอง ไม่รู้ล่วงหน้าก่อนว่า จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น เพราะเมื่อไม่รู้แล้วก็จะไม่เตรียมตัว ไม่รู้ว่าใจเป็นธรรมชาติอย่างไร ถ้ารู้ว่าใจเป็นธรรมชาติอย่างไร จะรับกับเหตุการณ์ได้อย่างไร ก็จะเตรียมตัวเตรียมใจรับกับสภาพเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นได้ เพราะใจเป็นธรรมชาติที่รูเท่านั้น

ถึงแม้จะสัมผัสรับรู้ความทุกข์มากน้อยเพียงไร หรือความสุขมากน้อยเพียงไร ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ไม่ได้ทำให้ใจใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง หรือหายไป ใจก็เป็นใจอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา เป็นธรรมชาติที่ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่สูญหาย เป็นเพียงแต่รับรู้เรื่องราวต่างๆ ที่มากระทบกับใจเท่านั้นเอง ถ้าเป็นใจที่ฉลาด ก็จะรับรู้เฉยๆ แล้วก็ปล่อยวาง คืออะไรมาสัมผัสก็รู้ว่าได้สัมผัส สัมผัสแล้วก็ผ่านไป เหมือนกับโลหะเหล็ก เวลาเอาค้อนไปทุบ ก็บุบไปหน่อย แต่เหล็กก็ไม่สูญหายไปไหน เอาอะไรนิ่มๆไปลูบไปทา ก็ยังคงสภาพเดิมอยู่ ใจก็เป็นอย่างนั้น ถ้ามีปัญญารู้ว่าธรรมชาติของใจเป็นอย่างไร ก็จะไม่วิตก ไม่หวาดผวา เวลาที่จะต้องสัมผัสกับสิ่งต่างๆที่เลวร้าย  ก็จะสัมผัสรับรู้เท่านั้น รู้แล้วก็ผ่านไป เช่นวันนี้มีความทุกข์มาก มีเรื่องวุ่นวายมาก มีไฟไหม้บ้าน มีขโมยขึ้นบ้าน มีคนคอยทำร้าย ใจก็รับรู้ตามความเป็นจริง พอเหตุการณ์ผ่านไป ใจก็ยังเป็นใจอยู่เหมือนเดิม

แต่ถ้าใจไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา ไม่รู้ล่วงหน้าก่อนว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พอเกิดขึ้นมาก็ตกอกตกใจ คิดว่าจะต้องตาย จะต้องสูญเสียสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย  ใจไม่ใช่เป็นสิ่งที่จะถูกทำลายให้หายไปได้ แต่เพราะใจมีความหลง จึงหลงยึดติดกับร่างกาย ว่าเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา พอมีใครจะมาทำร้ายร่างกาย ก็เกิดความหวั่นวิตก เกิดความกลัวขึ้นมา จนเกิดความทุกข์ขึ้นมาอย่างมากมาย แต่ถ้าได้รับการศึกษา ได้รับการอบรม จากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะรู้ว่าใจเป็นธรรมชาติที่รับรู้เรื่องราวต่างๆเท่านั้น ส่วนร่างกายก็เป็นเพียงสมบัติชิ้นหนึ่งของใจ  เหมือนกับสมบัติชิ้นอื่นๆ เช่นรถยนต์ บ้าน สามี ภรรยา ลูก หลาน ล้วนเป็นสมบัติที่ไม่จีรังถาวร มีการเปลี่ยนแปลง มีการเจริญ มีการเสื่อม มีการเกิด แล้วมีการดับไปเป็นธรรมดา

แต่ใจผู้รู้ ผู้เป็นเจ้าของสมบัติเหล่านี้ ไม่ได้สูญหาย ไม่ได้เกิด ไม่ได้ดับไปกับสมบัติต่างๆเหล่านี้ ใจก็ยังอยู่เหมือนเดิม สมบัติต่างๆถึงแม้จะมีมากมายก่ายกอง ก็ไม่ได้ทำให้ใจใหญ่ขึ้น หรือวิเศษขึ้น เวลาสูญเสียสมบัติอะไรไป มากน้อยเพียงไร ก็ไม่ได้ทำให้ใจเสื่อมลง เล็กลงแต่อย่างใด ใจก็ยังคงเดิมอยู่อย่างนั้น นี่เป็นธรรมชาติของใจ ใจมีหน้าที่อย่างเดียว คือรับรู้เรื่องราวต่างๆ ถ้ามีปัญญาก็จะทำหน้าที่นี้ได้สมบูรณ์ แต่ถ้าขาดปัญญามีความหลงแล้ว ก็จะเริ่มยึดติดกับสมบัติข้าวของเงินทอง ต่างๆ รวมถึงร่างกาย ว่าเป็นตัวตน เป็นของตน แล้วก็เกิดความวิตก เกิดความกังวล เมื่อร่างกายจะต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่มีข้อมูลคอยสอน คอยบอก คอยเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนว่า เวลาดำเนินชีวิตไปแล้ว จะต้องมีอะไรเกิดขึ้น

แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะได้ยินเรื่องเหล่านี้ เรื่องสมบัติข้าวของเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุ หรือบุคคล ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีความจีรังยั่งยืน เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วต้องดับไปเป็นธรรมดา  เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถควบคุมบังคับให้เป็นของของตน ให้อยู่กับตน ให้เป็นไปตามความต้องการของตนได้ตลอดไป เพราะเป็นของธรรมชาตินั่นเอง ธรรมชาติเช่นฝนฟ้า เราก็รู้อยู่ว่าไปควบคุมบังคับไม่ได้ ฝนจะตกก็ห้ามไม่ได้ เวลาฝนหยุด อยากให้ฝนตก ก็ไม่ตก เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา ที่จะไปควบคุมบังคับได้นั่นเอง ฉันใด ทุกสิ่งทุกอย่างที่ใจเข้าไปเกี่ยวข้อง เข้าไปครอบครองก็เป็นเหมือนกัน แต่สิ่งเดียวที่ใจสามารถควบคุมได้ บังคับได้ ก็คือใจของตนเอง

ถ้ารู้จักควบคุมบังคับใจ ไม่ให้หลงระเริงไปกับสิ่งต่างๆ ที่ได้มาเป็นสมบัติแล้ว ก็จะไม่ทุกข์ จะไม่วุ่นวาย  จะไม่เศร้าโศกเสียใจ เมื่อสิ่งต่างๆเหล่านั้นต้องพลัดพรากจากใจไป นี่แหละคือเรื่องราวของชีวิตของพวกเรา ที่เราต้องเผชิญ ต้องประสบ ต้องพบเห็น ถ้าไม่มีใครมาสอน มาบอก ก็จะเดินไปแบบคนลุ่มหลง คนไม่มีปัญญา ได้อะไรมาก็ดีอกดีใจแทบจะตัวลอยขึ้นสวรรค์ แต่พอสูญเสียอะไรไป ก็เศร้าโศกเสียใจแทบจะตกนรกไป เพราะใจไปหลง ไปยึด ไปติด กับสิ่งต่างๆ ไม่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นของชั่วคราวทั้งนั้น ไม่ได้มีอะไรที่จะอยู่กับเราไปได้ถาวรตลอดเลย มีมาแล้วเดี๋ยวสักวันหนึ่งก็ไป เขาไม่ไปเราก็ไป เรื่องก็มีอยู่เท่านี้ ถ้าได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน แล้วนำมาสอนจิตสอนใจ พยายามปรับใจ ให้ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง คือไม่ลุ่มหลง ให้รู้เฉยๆ ให้รู้ว่ามีอะไรแล้ว สักวันหนึ่งก็ต้องหมดไป

รู้เท่าแล้วใจก็จะปล่อยวาง จะไม่ยึดไม่ติด ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ เพราะรู้ว่าบังคับควบคุมไม่ได้ เราไม่ควบคุมบังคับฝนฟ้า ดินฟ้าอากาศฉันใด ก็ไม่ควรไปควบคุมบังคับสิ่งต่างๆ ที่ครอบครองอยู่ ถ้ายังมีหน้าที่ต้องดูแลรักษา ก็ดูแลไป รักษาไป เท่าที่จะสามารถทำได้ แต่ถ้าถึงเวลาที่จะเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามเรื่องของเขา เราก็อย่าไปวิตก อย่าไปกังวล ปล่อยไปตามความเป็นจริง เช่นสามีหรือภรรยาเกิดนอกใจ อยากจะทิ้งเราไป ก็ปล่อยเขาไป ไปห้ามเขาไม่ได้ แต่สิ่งที่ห้ามได้ก็คือใจของเรา เมื่อก่อนนี้ไม่มีสามีคนนี้ ไม่มีภรรยาคนนี้ เราก็อยู่ได้ ไม่เห็นเดือดร้อนอะไรเลย แล้วเมื่อเขาจะจากไป ทำไมจะต้องเดือดร้อนด้วย คนในโลกนี้ไม่ใช่มีอยู่คนเดียว มีอยู่เป็นล้านๆคนด้วยกัน  คนนี้ไป หาใหม่ก็ได้ ถ้ายังอยากจะมีใหม่

ถ้าเป็นคนฉลาดก็จะคิดว่า หาคนใหม่มาเดี๋ยวก็เหมือนคนเก่าอีก ใหม่ๆก็ดีทั้งนั้น พออยู่กันไปสักพักหนึ่งแล้ว สันดานเก่าก็จะออกมา ธาตุแท้ก็จะออกมา ซึ่งคนเราส่วนใหญ่แล้ว ธาตุแท้ก็เป็นของไม่ดีทั้งนั้น เป็นคนขี้เกียจ เห็นแก่ตัว อย่างนี้เป็นต้น ไปอยู่กับใครที่ไหนก็จะสร้างความเอือมระอา ให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ ถ้าคิดได้อย่างนี้แล้ว อยู่คนเดียวดีกว่า เรื่องอะไรเอาเหามาใส่หัวทำไม ในเมื่ออยู่คนเดียวก็อยู่ได้  ในโลกนี้ก็มีความสุขอยู่ ๒ แบบด้วยกัน ความสุขที่เกิดจากสิ่งของบุคคลต่างๆ กับความสุขที่เกิดจากการปล่อยวาง คืออยู่คนเดียว ไม่ต้องมีอะไรก็อยู่ได้ อยู่ตามความเป็นจริงของใจ ถ้ารู้ว่าใจสามารถอยู่ตามลำพังได้ โดยไม่ต้องมีอะไร และจะอยู่อย่างมีความสุข มากกว่าการมีอะไรมาครอบครองเสียอีก เพราะเมื่อมีแล้ว ก็ต้องห่วง ต้องกังวล ต้องพลัดพรากจากกัน ต้องเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่ม ร้องไห้ แต่ถ้าอยู่คนเดียว จะไม่มีอะไรมาให้ความทุกข์กับเรา อยู่ตามลำพังก็มีความสุขได้

ถ้ารู้จักทำใจให้ปล่อยวาง อย่าไปอยากในสิ่งนั้นสิ่งนี้ เห็นอะไร อยากอะไร ก็ต้องสอนตนเองว่า เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น ได้อะไรมาเดี๋ยวก็เปลี่ยนไป ดีเดี๋ยวเดียว แล้วก็กลายเป็นของไม่ดีไป ได้มาไม่นาน เดี๋ยวก็จากไป ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ถ้ามีปัญญาสอนใจอยู่เสมอ ว่าเรื่องราวต่างๆมันเป็นอย่างนี้ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป ไม่มีอะไรคงเส้นคงวา ควบคุมบังคับไม่ได้ ได้อะไรมา อยากจะให้อยู่กับเราไปนานๆ แต่เขาไม่อยากจะอยู่ เราจะทำอย่างไร ถ้าทำใจได้ก็ไม่มีปัญหาอะไร ไปก็ไป อยู่ก็อยู่ ต้องพยายามทำใจให้ได้ เพราะใจเป็นสิ่งที่ทำได้ แต่ไม่ค่อยชอบทำกัน เพราะไม่รู้ว่าการทำใจเป็นสิ่งที่เลิศ ที่วิเศษ เป็นการสร้างสรณะที่พึ่งให้กับตน เพราะถ้าสามารถยืนหยัดอยู่ตามลำพังได้แล้ว ไม่ว่าอะไรจะมา อะไรจะไป ก็จะไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้กับเรา จะไม่ดีอกดีใจ เหมือนกับคนที่มีความลุ่มหลง เวลาได้อะไรมาก็จะดีอกดีใจ เพราะมองด้านเดียว มองแต่ด้านได้ ไม่คิดถึงด้านเสียที่จะตามมา 

แต่คนฉลาดจะมองทั้ง ๒ ด้าน มองด้านได้ด้วยและมองด้านเสียด้วย เพราะเป็นของคู่กัน ได้อะไรมามากน้อยเพียงไร เมื่อตายไปแล้วก็ต้องเสียทุกอย่างไป เกิดมาก็ไม่ได้เอาสมบัติอะไรมาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว เสื้อผ้ายังไม่มีติดตัวมาเลยเวลาเกิด เวลาตายไปก็ให้เราไว้ชุดเดียวเท่านั้นเอง เพื่อจะไม่ดูอุจาดตาเท่านั้น นอกจากนั้นแล้วก็ไม่ได้อะไรไป ในบรรดาสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ สิ่งที่จะได้ไปก็มีแต่บุญกับบาป ความโง่กับความฉลาดเท่านั้นเอง ถ้ามีบุญมีความฉลาดติดตัวไป ก็จะทำให้เราดำเนินชีวิตไป อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย จนถึงจุดหมายปลายทางที่ประเสริฐเลิศโลก ที่บรรดานักปราชญ์ผู้ฉลาดทั้งหลาย ได้ดำเนินไปถึง นั่นก็คือพระนิพพานนั่นเอง นั่นแหละคือจุดหมายปลายทางของพวกเราทุกคน

ถ้ามีปัญญา มีบุญ มีความฉลาด ก็จะพาเราไปสู่จุดนั้น ถ้ามีความโง่เขลาเบาปัญญา ก็จะพาเราวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพน้อยภพใหญ่ เมื่อมีความโง่ เกิดความทุกข์ก็ฆ่าตัวตาย ก็ต้องไปตกนรกหมกไหม้ กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะใช้นิสัยเดิมๆ ดำเนินชีวิตเดิมๆ พึ่งสิ่งนั้นพึ่งสิ่งนี้อยู่เรื่อยไป พอขาดสิ่งนั้นขาดสิ่งนี้ก็อยู่ไม่ได้ ก็ต้องทำลายชีวิตของตนเอง นี่คืออยู่แบบโง่เขลาเบาปัญญา อยู่แบบไม่มีความรู้ ไม่สนใจที่จะศึกษาร่ำเรียน ฟังเทศน์ ฟังธรรม ฟังคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ถ้าหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ แล้วนำสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาใคร่ครวญพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ก็จะเกิดปัญญาขึ้นมา เป็นอาวุธไว้ต่อสู้กับความหลง ที่ชอบหลอกให้ใจ ไปยึดไปติด ไปอยากสิ่งนั้น ไปอยากสิ่งนี้ แล้วก็ต้องไปทุกข์ ไปเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ 

ถ้ามีปัญญาคอยสอนจิตสอนใจแล้ว ก็จะบอกว่าอย่าไปอยาก อย่าไปเอาอะไรมาทั้งสิ้น ใจไม่ต้องมีอะไรก็อยู่ได้ ทำใจให้สงบเท่านั้นก็พอ เพราะเมื่อสงบแล้วจะมีความอิ่มเอิบใจ มีความสุข มีปีติ การที่จะทำใจให้อิ่มเอิบ มีความสุข มีความฉลาดรอบรู้ ก็ต้องทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ให้ปฏิบัติกันอย่างสม่ำเสมอ นั่นก็คือ  . ให้หมั่นทำบุญให้ทานอยู่เรื่อยๆ   . ให้รักษาศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ทำอะไรก็ต้องคำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ชีวิตของผู้อื่น สมบัติของผู้อื่นเป็นสิ่งที่รักที่สงวน ถ้าไปทำลายหรือไปแย่งชิงมา เขาก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ วุ่นวายใจ แล้วเขาก็จะต้องมาชำระแค้นกับเรา จะทำให้เราไม่สามารถอยู่อย่างสงบร่มเย็นเป็นสุขได้ การดูแลรักษาร่างกายของเรา ต้องทำด้วยวิธีที่สุจริต ทำมาหากินด้วยสัมมาอาชีพ   . ให้ปฏิบัติธรรม พยายามฝึกฝนอบรมจิตใจของตนให้สงบ สอนจิตสอนใจให้เกิดปัญญา

คอยเตือนตนเองอยู่เรื่อยๆว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากของรัก ของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่ปรารถนา เป็นคติธรรมดาของโลก ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อเกิดมาในโลกนี้แล้ว จะต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้ทั้งนั้น ถ้าเจอด้วยปัญญา ก็จะไม่ทุกข์ ถ้าเจอด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ก็จะต้องทุกข์ ต้องเศร้าโศกเสียใจ ถ้าต้องการดำเนินชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีความทุกข์มารุมเร้าจิตใจ ก็ต้องหมั่นประพฤติปฏิบัติ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า สอนจิตสอนใจอยู่เรื่อยๆ เพราะถ้าไม่สอนแล้ว ก็จะลืมความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่าไปคิดว่าจะไม่ลืม พอออกจากวัดไปปั๊บ เห็นอะไรสวยๆงามๆ ก็อยากได้แล้ว โดยไม่คิดเลยว่า สักวันหนึ่งสิ่งที่ได้มาก็ต้องจากเราไป  ถ้าเคยสอนตนอยู่ตลอดเวลาว่า เดี๋ยวก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายแล้ว ได้อะไรมามากน้อยเพียงไร ก็ต้องทิ้งหมด ต้องจากกันไป สู้อย่าเอามาดีกว่า อยู่เฉยๆ อยู่ตามลำพัง ไม่มีสมบัติอะไร เป็นการอยู่ที่สบายที่สุด เป็นการอยู่ที่สุขที่สุด เพราะไม่ต้องเป็นภาระกับการดูแลรักษา ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งต่างๆไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้