กัณฑ์ที่ ๒๒๓     ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๔๘

มงคล ๔ ขั้น

 

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ มีเวลาว่างจึงได้มาวัด เพื่อมาเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต เพราะเมื่อมาวัดแล้ว ก็จะได้บูชาสิ่งหรือบุคคล ที่สมควรแก่การบูชา คือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆสาวก อันเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ดังในพระบาลีที่แสดงไว้ว่า ปูชา จะ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง  การได้บูชาบุคคลที่สมควรแก่การบูชา เป็นมงคลอย่างยิ่งแก่ชีวิต  การบูชาในพระพุทธศาสนานั้น ได้ทรงแสดงไว้เป็น ๒ ลักษณะด้วยกันคือ  . อามิสบูชา การบูชาด้วยเครื่องสักการะ เช่นดอกไม้ ธูป เทียน  . ปฏิบัติบูชา คือ การบูชาด้วยการประพฤติทางกาย วาจา ใจ ให้ดีให้งาม  ได้ทรงยกย่องปฏิบัติบูชา ว่าเป็นการบูชาที่แท้จริง

ผู้ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาและเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ถ้าจะบูชาพระคุณของท่าน ก็ให้บูชาด้วยปฏิบัติบูชา  ตั้งตนอยู่ในความดีทั้งหลาย ละเว้นจากการประพฤติบาปกรรมทั้งหลาย ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ที่มีอยู่ในจิตในใจ ให้เบาบางลงไป และให้หมดไปในที่สุด เพราะนี่แหละคือมงคลที่สูงสุดของชีวิต มงคลนี้มีอยู่ ๔ ขั้นด้วยกันคือ  ๑. โสดาบัน  ๒. สกิทาคามี  ๓. อนาคามี  ๔. อรหันต์ เป็นสภาวะของจิตใจที่พัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ  รักษาศีลอย่างเคร่งครัด บำเพ็ญจิตตภาวนา เจริญสมาธิ และปัญญา เพื่อให้เกิดดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา เพื่อจิตจะได้หลุดพ้นจากความลุ่มหลง อันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความทุกข์ เป็นเหตุที่ทำให้เกิด แก่ เจ็บ ตาย เวียนว่าย ตายเกิดในสังสารวัฏ อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น

เมื่อได้ปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนาอย่างสม่ำเสมอแล้ว มงคลทั้ง ๔ ขั้นก็จะปรากฏขึ้นมาตามลำดับ  ขั้นแรกบรรลุเป็นพระโสดาบัน อานิสงส์ของพระโสดาบันมีอะไรบ้าง จะมีภพชาติเหลือไม่เกิน ๗ ชาติ  จะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีกไม่เกิน ๗ ชาติ และจะไม่ไปเกิดในอบาย  ไม่ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกอีกต่อไป จะได้เกิดเป็นมนุษย์หรือเทพเท่านั้น แล้วก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ถ้าได้ปฏิบัติต่อเนื่องไปอีก ก็จะบรรลุถึงมงคลขั้นที่ ๒  คือพระสกิทาคามี เมื่อได้ถึงขั้นที่ ๒ แล้ว ภพชาติจะเหลือเพียงชาติเดียว แล้วก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าปฏิบัติได้ยิ่งๆขึ้นไปอีก ก็จะบรรลุถึงมงคลขั้นที่ ๓ คือพระอนาคามี เป็นผู้ที่ไม่กลับมาเกิดในโลกของมนุษย์ และโลกของเทวดาผู้เสพกามอีกต่อไป  แต่จะไปจุติอยู่บนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส แล้วก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในลำดับต่อไป ถ้ายังปฏิบัติได้สูงขึ้นไปอีก ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เลย ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป

ถ้าหมั่นปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนาอย่างต่อเนื่อง  จนกว่าชีวิตจะหาไม่แล้ว จะทำให้บรรลุมงคลทั้ง ๔ ขั้นได้ในชาตินี้ ไม่ต้องรอถึงชาติต่อๆไป แต่ถ้าเกิดหมดบุญไปเสียก่อน  และได้เป็นพระโสดาบันแล้ว ก็จะมีภพชาติเหลืออีกไม่เกิน ๗ ชาติ ต้องกลับมาเกิดอีก เพื่อมาบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ต่อไปอีก เช่นเดียวกับพระสกิทาคามี ที่มีภพชาติเหลืออีกเพียงชาติเดียว ถ้าได้บรรลุเป็นพระสกิทาคามีแล้ว แต่ยังไม่ได้บรรลุมงคลที่สูงกว่านี้ ต้องตายไปเสียก่อน ก็จะกลับมาเกิดอีกครั้งเดียวเท่านั้น จะมีบุญบารมีคอยผลักดันให้เข้าวัด ให้ปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง บรรลุธรรมขั้นสูงขึ้นไป จนถึงขั้นพระอรหันต์ในที่สุด ถ้าได้บรรลุเป็นพระอนาคามีแล้ว แต่ต้องตายไปเสียก่อน  ก่อนจะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ก็จะไปเกิดอยู่บนพรหมโลกชั้นสุทธาวาส  จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่เกิดเป็นเทพผู้เสพกามอีกต่อไป  แล้วก็จะปฏิบัติต่อไปจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ 

ส่วนผู้ที่มีบุญมีวาสนา ที่ยังมีชีวิตอยู่ ยังปฏิบัติธรรมได้อย่างต่อเนื่อง  ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ในชาตินี้  ดังที่มีปรากฏในสมัยพุทธกาล มีผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์กันเป็นจำนวนมาก นี่คือมงคลที่จะเกิดขึ้น กับผู้ที่บูชาบุคคลที่สมควรแก่การบูชา จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด การเป็นพระอรหันต์เป็นอย่างไร ก็เป็นจิตใจที่สะอาดหมดจด ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ เมื่อไม่มีสิ่งเหล่านี้แล้ว ก็ไม่มีเชื้อที่ทำให้ไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกต่อไป การเวียนว่ายตายเกิดก็หมดสิ้นลง มีแต่ความสุขอย่างเดียว  เพราะตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่  ตราบนั้นก็ยังมีการแก่ การเจ็บ การตาย ยังมีความทุกข์อยู่ แต่ผู้ที่ไม่ไปเกิดอีก ก็จะไม่มีความทุกข์อีกต่อไป ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า ทุกข์ย่อมไม่มีกับผู้ไม่เกิด

แต่การไม่เกิดไม่ได้หมายความว่า สูญหายไป เป็นจิตที่บริสุทธิ์ที่ไม่ต้องไปเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรกอีกต่อไปเท่านั้นเอง แต่จิตก็ยังเป็นจิตอยู่อย่างเดิม เป็นกายทิพย์ที่อยู่ในขั้นนิพพาน  ขั้นที่สะอาดหมดจด เหมือนกับท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอก ไม่มีควันหลงเหลืออยู่ในท้องฟ้า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า  ท้องฟ้าสูญหายไปด้วย ท้องฟ้าก็ยังอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ไม่มีเมฆ ไม่มีหมอก ไม่มีควันเท่านั้นเอง จิตของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ก็เป็นแบบนั้น เป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์  ไม่มีกิเลสตัณหาหลงเหลืออยู่ภายในจิต แต่ไม่ได้สูญหายไปไหน เพราะยังเสวยบรมสุขอยู่ ดังที่ได้ทรงตรัสไว้ว่า นิพพานัง ปรมังสุญญังง นิพพานเป็นความว่างอย่างยิ่ง สูญจากกิเลส สูญจากตัณหาทั้งหลาย  นิพพานัง ปรมังสุขัง นิพพานเป็นบรมสุข คือมีความสุขอย่างยิ่ง ไม่มีความสุขของภพไหนๆ จะเท่ากับความสุขของพระนิพพาน เพราะเป็นความสุขที่ถาวร ตลอดอนันตกาล ไม่เสื่อม ไม่หายไป

ไม่เหมือนกับความสุขของพวกเรา ที่สุขแล้วเดี๋ยวก็หายไป แล้วก็มีความทุกข์เข้ามาแทนที่  ถ้าตราบใดยังอยู่ในภพน้อยภพใหญ่อยู่  ความสุขก็จะเป็นในลักษณะอย่างนี้ มีแล้วก็หายไป แล้วก็กลับมาอีก ขึ้นอยู่กับภพที่ไปอยู่ ถ้าเป็นภพที่ดีที่เรียกว่าสุคติ ก็จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์  ถ้าเป็นภพที่เรียกว่าอบายหรือทุคติ  ก็จะมีความทุกข์มากกว่าความสุข ถ้าไปเกิดเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นผี เป็นสัตว์นรก ก็จะมีความทุกข์มากกว่าความสุข  แต่ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้เป็นเทพ เป็นพรหม ก็จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ แต่ก็ยังหนีไม่พ้นจากความทุกข์ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงนั่นเอง ยังอยู่ภายใต้กฎของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิตที่ได้หลุดพ้นถึงขั้นพระนิพพานแล้ว จะอยู่เหนือกฎของไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา 

จิตของพระอรหันต์ จิตของพระพุทธเจ้า เป็นจิตที่ไม่มีไตรลักษณหลงเหลืออยู่แล้ว  ไม่มีอนิจจัง ความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีความทุกข์ ไม่มีการถืออัตตาตัวตน หลงเหลืออยู่ในจิตนั้นๆ เป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นปรมังสุขัง เป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นผลที่จะได้รับจากการปฏิบัติบูชา จึงไม่ควรมองข้าม การประพฤติปฏิบัติบูชา ด้วยกายวาจาใจของเรา พยายามน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ที่ได้ทรงสั่งสอนมาปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะได้ทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม ผู้นั้นแลคือผู้บูชาเราตถาคต เป็นการบูชาตถาคต ต้องบูชาด้วยการปฏิบัติบูชา ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ที่เรียกว่าสุปฏิปันโนนั่นเอง จึงต้องให้ความสำคัญต่อการปฏิบัติ อย่าสักแต่ว่าฟังเทศน์ฟังธรรม เสร็จแล้วก็ไม่สนใจที่จะนำไปปฏิบัติ อย่าสักแต่ว่าสมาทานศีล แล้วก็ไม่รักษา สมาทานศีล ๕ แล้วตกเย็นก็ไปดื่มสุรา  อย่างนี้ใช้ไม่ได้

ถ้าสมาทานศีลแล้วต้องรักษาให้ได้  ถ้าสมาทาน ปาณาติปาตา เวรมณี ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ต้องละเว้น ถึงแม้จะถูกมดกัด ถูกยุงกัด ก็จะไม่ตบมด ตบยุง อย่างมากก็จะสลัดไป ปัดไป แต่จะไม่ทำลายชีวิตของเขา ถ้าสมาทาน อทินนาทานา เวรมณี ละเว้นจากการลักทรัพย์ ก็จะไม่ไปเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นที่เขาไม่อนุญาต ถ้าเขาให้ เขาบอกว่าเอาไปเถิดไม่เป็นไร อย่างนี้รับไปก็ไม่ถือว่าผิดศีลข้อ ๒ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ถ้าสมาทาน กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม ก็จะต้องไม่ไปยุ่งกับสามีภรรยาของผู้อื่น ไม่ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่เป็นภรรยาหรือสามีของเรา ถ้ายังไม่แต่งงานก็อย่าเพิ่งไปริ อดรนทนใจไว้ก่อน รอให้โตเสียก่อน เมื่อสมควรแก่เวลา พ่อแม่ก็จะจัดการสู่ขอ จัดพิธีแต่งงานแต่งการให้ เมื่อเป็นสามีเป็นภรรยากันแล้ว จะร่วมหลับนอนกัน ก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดศีลข้อ ๓ แต่ถ้ายังไม่แต่งงานแต่งการ เป็นโสดอยู่ แล้วไปร่วมหลับนอนกับผู้อื่น อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการผิดศีล หรือไปยุ่งกับสามีภรรยาของผู้อื่น ทั้งๆที่ตนเองก็มีสามีมีภรรยาอยู่แล้ว ก็เป็นการผิดศีลเหมือนกัน

ถ้าสมาทาน มุสาวาทา เวรมณี ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ  ก็จะต้องพูดแต่ความจริง ไม่พูดโกหกโดยเด็ดขาด ถ้าพูดไม่ได้ก็อย่าพูด นิ่งเสีย ไม่ต้องพูด ไม่มีใครว่าเราหรอกถ้าเราไม่พูด คนใบ้เขาไม่พูดยังไม่มีใครไปว่าเขาเลย แล้วเราทำไมจะทำเป็นคนใบ้บ้างไม่ได้หรือ ทำไมต้องไปอวดฉลาด อวดพูด แต่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นความจริง ยิ่งแย่กว่าคนใบ้อีก คนใบ้อย่างน้อยเขาก็ไม่โกหก แต่เราเป็นคนไม่ใบ้ แต่กลับใช้ปากของเราไปในทางที่ไม่ดี อย่างนี้ฉลาดหรือโง่กันแน่ ถ้าเป็นคนฉลาดต้องรู้ว่ากำลังพูดอะไร ถ้าพูดไม่จริง  ถ้ามีสติรู้อยู่ รู้ว่าไม่ดี ก็อย่าไปพูด ก็เท่านั้นเอง ส่วนคนอื่นจะคิดอย่างไรก็ห้ามเขาไม่ได้ เขาอาจจะคิดว่า ถ้าไม่พูดก็แสดงว่าไม่ได้ทำใช่ไหม ก็แล้วแต่คุณจะคิด แต่เราไม่ได้พูดว่า ทำหรือไม่ได้ทำ เราอยู่เฉยๆ คุณจะคิดอย่างไรก็ได้  แต่จะมาบังคับให้พูดในสิ่งที่ไม่อยากจะพูดไม่ได้ 

ถ้าสมาทาน สุราเมรยมัชชปมาทัฏฐานา เวรมณี ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา หรือสิ่งที่เสพเข้าไปแล้ว ทำให้ขาดสติควบคุมกายวาจาใจ ให้เป็นปกติ  ก็ควรหลีกเลี่ยง อย่าไปเสพ ถึงแม้มีงานเลี้ยงที่ต้องไป  ก็ดื่มอย่างอื่นก็ได้ น้ำหวาน น้ำเปล่าก็ได้ ถ้าใครบังคับให้ดื่ม ก็บอกเขาว่า กำลังทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทำไมคนที่นับถือศาสนาอื่น เช่นไม่กินหมู ทำไมไม่บังคับให้เขากินหมู เป็นชาวพุทธไม่ดื่มเหล้า ทำไมปล่อยให้เขาบังคับให้ดื่ม ไม่ต้องไปกลัวว่าจะเสียเพื่อน เพื่อนแบบนี้เสียไปได้ก็ดี มีไว้ทำไมเพื่อนแบบนี้ มีแต่จะพาให้ล่มจมเท่านั้นเอง ชวนไปกินเหล้าเมายากัน เดี๋ยวก็มึนเมา เดี๋ยวก็ไปขับรถคว่ำ ขับรถชนกันตาย อย่างนี้ดีหรือไม่ สู้ไม่กินเหล้าไม่ดีกว่าหรือ  มีสติสัมปชัญญะครบถ้วนบริบูรณ์ จะได้ควบคุมการพูดการกระทำให้ดีให้งาม คนที่เสพสุรายาเมาแล้ว จะไม่มีสติควบคุมกายวาจาใจ ให้อยู่ในกรอบของความดีงาม คิดจะพูดอะไรออกมาก็พูดออกมา ทั้งๆที่เป็นสิ่งที่ไม่น่าพูด พูดไปแล้วก็ทำให้คนอื่นไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ทำให้ต้องโต้ตอบกัน  ทะเลาะวิวาททุบตีกัน เพราะการเสพสุรายาเมาเป็นเหตุ ไม่มีสติควบคุมกายวาจาใจ ให้เป็นปกติ

นี่คือการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ตั้งตนอยู่ในศีล ๕ คือ  ๑. ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ๒. ละเว้นจากการลักทรัพย์  ๓. ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี  ๔. ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ  ๕. ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา นี่คือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนเราจะเป็นคนที่น่าเคารพเลื่อมใส ก็ต้องมีศีล คนที่ไม่มีศีล ไม่มีใครอยากจะกราบไหว้บูชา ไม่มีใครอยากจะยกมือไหว้ มีแต่อยากจะเดินหนี แต่คนที่มีศีล แม้จะเป็นลูก พ่อแม่ก็ยังกราบลูกได้ เช่นเมื่อลูกบวชเป็นพระ มีศีล ๒๒๗ ข้อ เวลาพ่อแม่กราบ ก็ไม่ได้กราบผ้าเหลือง ไม่ได้กราบเพราะโกนหัว แต่กราบเพราะมีศีล ๒๒๗ ข้อต่างหาก ถ้าโกนหัวห่มผ้าเหลืองแล้ว แต่ทำตัวเหมือนลิง ใครจะกราบลง มีแต่จะเดินหนี ถ้าเห็นกิริยาอาการที่ไม่สมกับความเป็นสมณะ ไม่สำรวม กายวาจา ก็ไม่มีใครอยากจะเข้าใกล้ ไม่มีใครอยากจะทำบุญด้วย เพราะไม่มีอะไรดึงดูดใจ ความสวยงามของคนอยู่ที่ความประพฤติดี มีศีลธรรม ไม่ใช่อยู่ที่เสื้อผ้าอาภรณ์ ไม่ได้อยู่ที่การตบแต่งหน้าตา ใส่น้ำหอม สิ่งเหล่านี้อาจจะหลอกคนที่ไม่รู้จักแยกแยะ ว่าคนสวยกับคนไม่สวยที่แท้จริงอยู่ตรงไหน

ถ้าเป็นคนฉลาดมีปัญญา จะหลอกไม่ได้ จะแต่งตัวสวยงามขนาดไหนก็ตาม จะใส่น้ำหอมให้หอมขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีศีล ชอบพูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง ฉ้อโกงผู้อื่น ก็จะไม่คบค้าสมาคมด้วย ไม่หลงรักว่าเป็นคนสวย เป็นคนงาม ถ้ายังไม่รู้จักนิสัย ยังไม่เห็นความประพฤติ ก็ต้องรอไปก่อน คนเราเวลาคบกันใหม่ๆ ยังไม่รู้ว่าเป็นคนดีหรือไม่ แต่ถ้าได้อยู่ร่วมกันแล้ว จะเห็นนิสัย จะรู้ว่าเป็นคนแบบไหน เป็นคนลักเล็กขโมยน้อย พูดปดมดเท็จ ประพฤติผิดประเวณีหรือไม่ จะไม่พ้นสายตาของผู้ที่อยู่ร่วมกัน จะต้องเห็น ไม่ช้าก็เร็ว ปิดบังกันไม่ได้ แต่ถ้ารู้จักกันแบบผิวเผิน เช่นไปเจอกัน ในงานเลี้ยง ได้ทักทายกัน จะไม่รู้ว่าเป็นคนอย่างไร เพราะจะแสดงบทที่สวยงามออกมา พูดจาหวาน คะขา แต่งตัวสวยงาม แต่จะไม่รู้ว่าธาตุแท้เป็นอย่างไร จนกว่าจะได้อยู่ร่วมกัน

เวลาที่จะเลือกคนมาเป็นคู่ครอง จึงไม่ควรรีบร้อน พอได้เห็นหน้าตาแล้วถูกอกถูกใจ ก็อย่าเพิ่งตัดสินใจอยู่ร่วมกันเลย ใช้เวลาทำความรู้จักกันก่อน  ให้รู้ถึงแก่นแท้ก่อน อย่ารู้เพียงผิวเผิน ต้องศึกษาให้รู้ถึงแก่นแท้ ให้รู้นิสัยสันดานว่าดีจริงหรือไม่ มีศีลทั้ง ๕ ข้อหรือไม่ ถ้ามีก็ถือว่าเป็นคนดี น่าใช้ชีวิตร่วมกัน ถ้าจะให้เลือกระหว่างคนที่ร่ำรวยแต่ไม่มีศีลธรรม กับคนที่มีศีลธรรมแต่ไม่ร่ำรวย ก็ขอให้เลือกคนที่มีศีลธรรมจะดีกว่า จะไม่ผิดหวัง จะไม่เสียใจ ถ้าเลือกคนที่ร่ำรวยแต่ไม่มีศีลธรรม สักวันหนึ่งอาจจะทิ้งเราไปมีใหม่ก็ได้ เพราะเขามีเงินทอง เขาต้องการหาใหม่เมื่อไหร่ก็หาได้  จึงต้องใช้ปัญญาวิเคราะห์ศึกษา จะมีปัญญาได้ ก็ต้องมีศีล มีสมาธิ มีทานเป็นผู้ให้การสนับสนุน

เราจึงต้องปฏิบัติตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ต้องทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญปัญญา ใช้เหตุใช้ผล เวลาต้องการอะไร ต้องใช้เหตุใช้ผล ถามตัวเองว่าสิ่งที่อยากได้ เป็นสิ่งที่ดีจริงหรือไม่ เวลาไปซื้อของเช่นผลไม้ ยังเลือกกันเลย ว่าสดหรือไม่สด  เน่าหรือไม่เน่า ไม่ซื้อมาแบบสุ่มสี่สุ่มห้าฉันใด เวลาจะเลือกใครมาเป็นคู่ครอง  ก็ต้องพิถีพิถัน ต้องเลือกให้ดีเสียก่อน การที่จะเลือกได้ดีก็ต้องมีปัญญา แล้วจะรู้จักแยกแยะ ว่าคนดีเป็นอย่างไร คนไม่ดีเป็นอย่างไร จะได้คนดีมาเป็นคู่ครอง เป็นเพื่อน ก็จะมีความสุข เพราะคนดีจะไม่สร้างความทุกข์ให้กับใคร

ถ้าได้คนไม่ดีมาเป็นเพื่อน มาเป็นคู่ครอง ก็จะมีแต่ความช้ำอกช้ำใจไปตลอด เพราะคนไม่ดีย่อมไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่น จะเป็นคนเห็นแก่ตัว อยากจะทำอะไรก็ทำ โดยไม่สนใจว่าจะไปสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับผู้อื่นหรือไม่ แต่คนที่มีศีลมีธรรมจะคิดอยู่เสมอว่า การกระทำทางกายวาจา จะสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่ ถ้าสร้างก็จะไม่ทำ จะไม่ทำลายชีวิตของผู้อื่น จะไม่เอาทรัพย์ของผู้อื่น จะไม่ยุ่งกับสามีภรรยาของผู้อื่น จะไม่โกหกหลอกลวง จะไม่เสพสุรายาเมา เมื่อไม่ทำสิ่งเหล่านี้แล้ว จะสร้างความเดือดร้อนให้กับใครได้อย่างไร จึงเป็นคนที่น่าชื่นชมยินดี มีคนอยากจะคบค้าสมาคมด้วย เพราะมีความสุขใจ มีความปลอดภัย

จึงอยากจะให้ท่านทั้งหลาย น้อมจิตน้อมใจ  เข้าสู่พระธรรมคำสอน น้อมเอามาประพฤติปฏิบัติ  เพื่อจะได้เป็นคนดี เป็นคนฉลาด จะทำให้การดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นดีงาม มีแต่ความสุขความเจริญ เป็นสิริมงคล ถ้ายังไม่ได้ออกบวชปฏิบัติธรรม  ก็จะมีความสุขกับเพื่อนฝูง มีความสุขกับคู่ครอง มีความสุขกับญาติพี่น้อง  เมื่อได้ออกบวชปฏิบัติธรรม ก็จะยกระดับของจิตเข้าสู่มงคลทั้ง ๔ ขั้นตามลำดับคือ  ๑. พระโสดาบัน  ๒. พระสกิทาคามี  ๓. พระอนาคามี  ๔. พระอรหันต์ เมื่อได้เข้าถึงขั้นพระอรหันต์แล้ว  ก็จะถึงมงคลขั้นสูงสุด  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้