กัณฑ์ที่ ๒๔๑     ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๙   

 

มนุษย์กับพระพุทธศาสนา 

 

 

 

ชีวิตของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่ยากเย็นมากที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์  การปรากฏขึ้นมาของพุทธศาสนาในแต่ละครั้งก็เป็นสิ่งที่ยากเย็นมากเช่นเดียวกัน  โอกาสที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาพบพระพุทธศาสนา จึงถือว่าเป็นลาภอันประเสริฐ เป็นสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะเหตุปัจจัยที่จะทำให้เกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง  คือผู้ที่จะมาเกิดนั้นจะต้องได้รักษาศีลมาอย่างสม่ำเสมอ  และเมื่อถึงเวลาจะมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ยังต้องมาแย่งคิวกัน เพราะการเกิดของมนุษย์นั้นมีจำนวนไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับพวกมดพวกแมลงพวกสัตว์ต่างๆ  เขาจะมีลูกออกมาครั้งละเป็นฝูง  เช่นปลาจะออกมาครั้งละเป็นฝูง  แมลงต่างๆก็จะออกมาครั้งละเป็นฝูง สัตว์อื่นๆก็ออกมาเป็นครอก ครั้งละหลายๆตัวด้วยกัน  แต่สำหรับมนุษย์เรานั้นโดยทั่วไปจะออกมาได้เพียงครั้งละหนึ่งคนเท่านั้นเอง  โอกาสที่เราจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่ยากกว่าการไปเกิดเป็นเดรัจฉานหลายร้อยเท่า  เพราะการเกิดเป็นเดรัจฉานนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีศีล ไม่ต้องละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดประเวณี  โกหกหลอกลวง  เพราะการประพฤติเหล่านี้เป็นเหตุปัจจัยให้ไปเกิดเป็นเดรัจฉานกัน เป็นแมลง  เป็นสัตว์ต่างๆ 

 

แต่จะมาเกิดเป็นมนุษย์นี้ต้องละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์  ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมาต่างๆ   ถ้าไม่สามารถรักษาข้อปฏิบัติทั้งห้าข้อนี้ได้  โอกาสที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์นี้แทบจะไม่มีเลย  เพราะศีลเป็นเหมือนกับตั๋ว  เวลาจะขึ้นรถหรือเครื่องบิน  ก่อนที่จะขึ้นไปได้เราต้องตีตั๋วก่อน  ถ้าไม่มีตั๋วเจ้าหน้าที่หรือพนักงาน ก็จะไม่ให้เราขึ้นไปนั่งบนรถหรือบนเครื่องบิน เพราะไม่มีตั๋ว  ฉันใดเหตุปัจจัยที่จะทำให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ก็คือศีลห้านี่เอง  นอกจากศีลห้าแล้วเรายังต้องไปเข้าคิวไปแย่งกับคนอื่น  เหมือนกับที่เขาสอบเอ็นทรานซ์กัน  ปีหนึ่งมีนักเรียนสอบเอ็นทรานซ์กันเป็นจำนวนแสน  แต่โรงเรียนรับได้เพียงไม่กี่หมื่นคนเท่านั้นเอง   ถึงแม้จะเรียนจบมาแล้วแต่เมื่อมาสอบก็ยังต้องมาแข่งกับคนอื่นอีก   เช่นเดียวกับการมาเกิดเป็นมนุษย์  ถึงแม้เราจะมีศีลแล้ว เราก็ยังอาจจะต้องมาแข่งกับคนอื่นอีก  ถ้าเขารักษาศีลได้มากกว่าเรา  บริสุทธิ์กว่าเรา  เขาก็มีโอกาสได้เกิดก่อนเรา  ถ้าศีลของเราสู้เขาไม่ได้เราก็ยังจะต้องรอไปก่อน   ยังต้องไปเกิดเป็นอย่างอื่นก่อน  ไปใช้กรรมอย่างอื่นก่อน จนกว่าจะมีโอกาสมาเกิดเป็นมนุษย์  นี่คือความยากเย็นของการเกิดเป็นมนุษย์ 

 

การเกิดของพระพุทธศาสนา ก็เป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการเกิดเป็นมนุษย์อีกหลายร้อยเท่าทีเดียว เพราะ ๑. จะต้องมีพระพุทธเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์    ๒. เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ยังต้องมาปฏิบัติธรรม จนกว่าจะบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา โดยไม่มีใครสามารถช่วยหรือสั่งสอนชี้ทางให้กับพระพุทธเจ้าได้เลย นอกจากพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นผู้คลำทางไปเอง  ทดสอบทดลองวิธีการต่างๆ ถูกบ้างผิดบ้าง จนกว่าจะได้บรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมา ๓. เมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่แน่ว่าจะประกาศศาสนาหรือไม่   พระพุทธเจ้าบางพระองค์เมื่อทรงบรรลุแล้วก็ไม่ทรงประกาศ ไม่ทรงสั่งสอนสัตว์โลก ก็ทรงเป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้าไป พระพุทธเจ้าบางพระองค์ทรงมีความสามารถมากในการประกาศสั่งสอนสัตว์โลก  ก็ทรงประกาศพระศาสนา เช่นพระพุทธเจ้าของพวกเราที่พวกเราให้ความเคารพกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวันนี้ ทรงเป็นผู้มีพระปัญญาบารมีมาก  ทรงสามารถประกาศสอนพระศาสนาให้แก่สัตว์โลกได้อย่างมากมาย จึงปรากฏมีพระพุทธศาสนาขึ้นมา 

 

เหตุปัจจัยสำคัญสองประการ ที่จะทำให้เราดำเนินหรือปฏิบัติตนให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้ ก็คือการได้เกิดเป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนา ความทุกข์ที่เกิดจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย จะได้รับการปลดเปลื้องให้หมดสิ้นไป ในขณะที่เราเป็นมนุษย์และได้พบกับพระพุทธศาสนา เพราะถ้าเกิดเป็นมนุษย์แต่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา โอกาสที่เราจะดำเนินให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ยากเย็นอย่างมาก  เพราะการที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ได้ เป็นการเดินทางที่เราไม่เคยไปมาก่อน  ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับเราหลงทางอยู่ในป่าใหญ่  หาทางออกจากป่าไม่ได้  ถ้าจะออกจากป่าได้โดยง่าย ก็ต้องมีผู้รู้จักทางนำทาง   ถ้ามีนายพรานที่ชำนาญป่า  เดินผ่านมาก็จะเป็นโชคของเรา  เพราะเขาจะพาให้เราออกจากป่าได้อย่างง่ายดาย   พระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนาก็เปรียบเหมือนกับนายพราน ที่สามารถพาคนที่หลงทางในป่า ให้ออกจากป่าได้อย่างปลอดภัย พวกเราจึงถือว่ามีโชคมีวาสนาอย่างยิ่ง คือหนึ่งได้เกิดมาเป็นมนุษย์ และสองได้พบพระพุทธศาสนา  ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำทางพาชีวิตของพวกเราให้อยู่ห่างไกลจากความทุกข์ทั้งหลาย  นี่คือความโชคดีของพวกเรา   แต่พวกเราจะรู้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง 

 

บางคนได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้เกิดในเมืองพุทธแล้ว  แต่กลับไม่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ของการได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา   กลับใช้ชีวิตแบบไร้ค่า ด้วยการยุ่งเกี่ยวกับพวกอบายมุขต่างๆ กินเหล้าเมายา  เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน  คบคนชั่วเป็นมิตร  การกระทำเหล่านี้ล้วนเป็นการกระทำที่จะฉุดลากให้ผู้กระทำไปสู่ที่ต่ำ  ไปสู่กองทุกข์นั่นเอง คนที่กระทำตนอย่างนี้เป็นเหมือนกับคนหูหนวกตาบอด  เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการเป็นมนุษย์  เพราะไม่สามารถทำกิจที่จะทำตนให้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ อย่างพระพุทธเจ้า  และพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้  แต่บางคนก็หูดีตาดี   เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา  ได้ยินคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย    ก็เกิดศรัทธา เชื่อว่าการประพฤติปฏิบัติตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น เป็นการกระทำที่ดีที่วิเศษที่เลิศที่สุด   ไม่มีอะไรที่จะดี ที่จะวิเศษ ที่จะเลิศ เท่ากับการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า  เพราะสิ่งที่เราจะได้รับนั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้  ไม่ว่าจะเป็นเงินทองมากน้อยเพียงไรก็ตาม  ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งฐานะที่สูงส่งขนาดไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะมีบริษัทบริวารมากน้อยเพียงใดก็ตาม  ไม่ว่าจะมีความสุขที่เกิดจากการได้เสพรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะต่างๆมากน้อยเพียงไรก็ตาม  สิ่งเหล่านี้เมื่อเปรียบเทียบกับความหลุดพ้นจากความทุกข์แล้ว   ก็เปรียบเทียบกันไม่ได้เลย  เหมือนสวรรค์กับนรก  

 

สิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกท่านได้บรรลุถึง คือพระนิพพาน  การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เปรียบเทียบแล้วเป็นเหมือนกับสวรรค์   ส่วนสิ่งที่พวกเรามีกันอยู่ทุกวันนี้   ไม่ว่าจะมีเงินทองมากน้อยเพียงไร  มีตำแหน่งฐานะสูงมากน้อยเพียงไร  มีบริษัทบริวารมากน้อยเพียงไร   มีความสุขจากการได้เสพรูป เสียง กลิ่น รส มากน้อยเพียงไร  ก็เหมือนกับความสุขในนรกนั่นแหละ  เพราะความสุขนี้มักมีความทุกข์มาคอยเพ่นพ่านให้เราได้สัมผัสอยู่เสมอ  พวกเราจึงบ่นกันทุกวันว่ามีความทุกข์กัน   อยู่ไม่เป็นสุขกัน   แต่แทนที่จะหาวิธีที่รักษาความทุกข์เรากลับไม่สนใจ  หรือถ้าสนใจก็ยังไม่สนใจเท่าที่ควร  ถ้าเราลองปฏิบัติดูตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว  เราจะเริ่มเห็นผลทีละเล็กทีละน้อย  แล้วต่อไปเราจะมีกำลังจิตกำลังใจ ที่จะปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ  จนสามารถปฏิบัติได้เต็มที่เลย   

 

ในเบื้องต้นเราก็ต้องอาศัยการถูไถ การฉุดลาก การบังคับ  เพราะการทำบุญทำทาน การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม การฟังเทศน์ฟังธรรมนี้ เป็นสิ่งที่ยากสำหรับพวกเรา   เพราะไม่เคยทำมาก่อนนั่นเอง ไม่ค่อยถนัด  เหมือนคนที่เคยใช้แต่มือขวา แล้วต้องมาใช้มือซ้าย จะรู้สึกว่าไม่ค่อยถนัด แล้วจะไม่อยากทำ  แต่ถ้าเรารู้ว่ามันจำเป็น เช่นมือขวาเสียไปใช้งานไม่ได้  เราก็ต้องมาหัดใช้มือซ้าย  เมื่อหัดใช้ไปเรื่อยๆ  ต่อไปเราก็จะถนัดกับการใช้มือซ้าย  เพราะมือซ้ายกับมือขวาก็ไม่มีความแตกต่างกัน  แตกต่างอยู่ที่ใจของเรา ที่เคยใช้เคยถนัดมือไหน ก็จะชอบใช้มือนั้น   ถ้าเราเคยใช้มือขวามาประจำ เราก็จะชอบใช้มือขวา จะไม่ค่อยชอบใช้มือซ้ายเท่าไร เพราะไม่สามารถใช้ได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ได้เหมือนกับการใช้มือขวา  

 

การประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นอย่างนั้น  พวกเราไม่ค่อยได้ทำกันมานั่นเอง  เราไม่ค่อยได้ทำบุญกันมาก  เราไม่ค่อยได้รักษาศีลกัน  เราไม่ค่อยได้เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมปฏิบัติธรรมกัน  พอจะต้องทำกันแต่ละครั้ง ก็รู้สึกว่ามันลำบาก มันยาก  ไม่เหมือนกับเวลาที่เราออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ  ไปดูหนังฟังเพลง  ไปกินอาหารตามร้านอาหารตามโรงแรมต่างๆ   แทบจะไม่ต้องมีคนชวนเลย  ขอให้รู้ว่าจะไปเท่านั้นแหละ ขึ้นไปนั่งรออยู่ในรถแล้ว เพราะนี่คือความถนัดของพวกเรา  ส่วนใหญ่พวกเราจะถนัดกับการหากามสุข  หาเงินหาทองกัน  แต่เราไม่ค่อยถนัดในการหาบุญหากุศล หาธรรมะกัน   ชีวิตของพวกเราจึงวนเวียนอยู่กับความทุกข์ อย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น   เพราะการกระทำของเราไม่ได้เป็นการชำระ เป็นการลดละความทุกข์ ที่มีอยู่ในใจของเราให้น้อยลงไป  แต่กลับเป็นการสะสม เป็นการเพิ่มความทุกข์ให้มีมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ  สะสมภพชาติให้มีต่อไปเรื่อยๆ  เพราะความไม่รู้นั่นเอง 

 

พวกเรายังเป็นพวกหูหนวกตาบอด  ยังไม่รู้จักทางที่จะพาพวกเราไปสู่ความสิ้นทุกข์นั่นเอง  เรายังคิดว่าความสิ้นทุกข์ของพวกเรา ก็คือการหาความสุขเล็กๆน้อยๆ จากสิ่งต่างๆในโลกนี้ เช่นหาความสุขจากคนนั้น หาความสุขจากคนนี้  หาความสุขจากสิ่งนั้น หาความสุขจากสิ่งนี้  หาความสุขจากการกระทำเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่มันก็เป็นความสุขชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  พอผ่านไปมันก็หมดไป  ปล่อยให้เราอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว  ปล่อยให้เรามีความอยาก มีความต้องการ ที่จะหาความสุขเพิ่มเติมขึ้นไปอีก   เพราะความสุขแบบนี้หามาได้มากน้อยเพียงไร ก็ไม่ทำให้เกิดความอิ่ม เกิดความพอขึ้นมาในจิตในใจ  นี่คือวิถีชีวิตของพวกเรา  ความถนัดของพวกเราอยู่ทางนี้  

 

แต่พวกเราโชคดีชาตินี้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาพบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนว่า วิถีชีวิตของพวกเราที่ดำเนินกันอยู่ทุกวันนี้เป็นทางที่ไม่ถูกต้อง   ไม่ได้เป็นทางที่พาไปสู่ความสิ้นทุกข์  ไม่ได้พาไปสู่การดับทุกข์  วิถีทางที่จะพาพวกเราไปสู่ความสิ้นทุกข์ดับทุกข์นั้นต้องเป็นวิถีทางของพระพุทธเจ้า  คือวิถีแห่งทาน ศีล และภาวนา  ทำบุญทำกุศล  ละเว้นจากการกระทำบาป  และชำระจิตใจ  ปฏิบัติธรรม  นั่งสมาธิ  เจริญวิปัสสนา  นี่เท่านั้นที่จะเป็นทางที่จะพาเราไปสู่ความสุขอย่างแท้จริง  เป็นทางที่จะพาเราไปสู่ความอิ่ม ความพอ  เป็นทางที่จะพาเราไปสู่ความสิ้นทุกข์อย่างสิ้นเชิง  ไม่มีทางอื่น มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น   พวกเราจะมาหรือไม่มา ก็ไม่มีใครบังคับเราได้ 

 

แต่คนที่ฉลาด  เมื่อต้องพิจารณา เมื่อต้องเลือกระหว่างทางสองทาง  ทางเก่าที่เราเคยเดินอยู่ ที่มีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ ผสมกับความสุขเล็กๆน้อยๆ ที่เราแสวงหามาได้ในแต่ละครั้ง  กับวิถีทางของพระพุทธเจ้า  ที่ในเบื้องต้นจะเต็มไปด้วยความยากความลำบาก ความทุกข์ความทรมาน  แต่เมื่อได้ฟันฝ่าความยาก ความลำบาก ความทุกข์ไปทีละเล็กทีละน้อยแล้ว  ต่อไปจิตของเราจะมีกำลังมากยิ่งขึ้น  มีพลังมากยิ่งขึ้น  จะมีความสามารถที่จะต่อสู้กับความทุกข์ ความยาก ความลำบาก ที่เกิดจากการทำความดี  ที่เกิดจากการละการกระทำความชั่ว  ที่เกิดจากการต่อสู้กับความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่ภายในใจของเรา  จนกลายเป็นเรื่องง่ายไป เพราะเกิดความชำนาญ เกิดความถนัดขึ้นมานั่นเอง  เมื่อเกิดความถนัดเกิดความชำนาญแล้ว  ก็ไม่ต้องบังคับอีกต่อไป  จะทำไปอย่างอัตโนมัติ  ทำไปอย่างสบายอกสบายใจ 

 

ในเบื้องต้น  เราจึงต้องใช้ความอดทน  ต้องใช้ความพยายาม  ต้องพยายามผลักดันตัวเราเอง  ดึงตัวเราเองเข้าหาศาสนา เข้าหาธรรมะอยู่เรื่อยๆ  เช่นวันเสาร์ วันอาทิตย์ วันหยุดฯ  แทนที่จะไปเที่ยวกัน ไปกินเหล้าเมายา ไปเล่นกัน  ก็ขอให้ลดจำนวนลง  ลดมันลงมา  แล้วเอาเวลาที่ไปเที่ยวไปเล่นนี้มาหาพระศาสนา  การหาพระศาสนานี้ก็หาได้หลายวิธีด้วยกัน  ถ้ามีโอกาสมาวัดได้ก็มา  ถ้าไม่มีโอกาส อยู่บ้านหาหนังสือธรรมะอ่านก็ได้  มีเทปธรรมะก็เปิดเทปธรรมะฟัง  หรือเปิดวิทยุ เปิดโทรทัศน์ที่มีการแสดงพระธรรมเทศนา อย่างนี้ก็ถือว่าเราได้เข้าวัดแล้ว เพราะวัดไม่ใช่เป็นสถานที่  วัดเป็นที่ๆมีธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า  วัดเป็นสถานที่ ที่เราสามารถปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้  ถึงแม้จะไม่ได้มาวัด เราก็ยังรักษาศีลได้  อยู่บ้านเราก็รักษาศีลได้ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมาได้  เราสามารถปฏิบัติได้ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัดหรืออยู่นอกวัด 

 

เราจะนั่งสมาธิ เดินจงกรมที่ไหน เราก็สามารถทำได้  ขณะที่เรานั่งอยู่ในรถเราก็สามารถทำสมาธิได้ แทนที่จะนั่งแล้วก็ดูสิ่งนั้นสิ่งนี้ไป เราก็หลับตา กำหนดจิตใจของเรา ให้อยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆๆไปเรื่อยๆ  หรือจะสวดเจริญพระพุทธมนต์  เจริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณไปเรื่อยๆก็ได้  อย่างนี้ก็ถือว่าได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ได้ภาวนาแล้ว  หรือเวลาเราเห็นอะไร สัมผัสกับอะไร  เราก็สอนก็เตือนตัวเราเองว่าสิ่งที่เราเห็น สิ่งที่เราสัมผัสนี้ เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ถ้าไปยึดไปติดไปยินดีอยากได้  เวลาที่ไม่ได้ขึ้นมาเราจะเสียใจ  มีความทุกข์   หรือเวลาได้มาแล้ว แต่ต้องเสียมันไป เราก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ  ทางที่ดีแล้วเราไม่ควรไปยึดไปติดกับมัน 

 

ถ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกี่ยวข้องกับมัน ก็อย่าไปเอามา  ถ้ามีความจำเป็น ก็ต้องเตือนสติด้วยปัญญาเสมอว่า สิ่งที่เรามีนี้มันไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด  ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากเราไป   หรือไม่เช่นนั้นเราก็ต้องจากมันไป  นี่เป็นเรื่องธรรมดาของสิ่งต่างๆในโลกนี้  ถ้าคิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ  ก็ถือว่าเราได้เจริญปัญญา  ได้เจริญวิปัสสนาแล้ว  เท่ากับได้บำเพ็ญตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน โดยที่เราไม่ต้องไปเข้าวัด  แต่ถ้ามีโอกาสเข้าวัด โอกาสที่เราจะปฏิบัติ ก็จะมีมากยิ่งขึ้น และง่ายกว่าการปฏิบัติอยู่นอกวัด   เพราะเวลาอยู่ในวัดนั้นบรรยากาศต่างๆ จะช่วยส่งเสริม ช่วยให้เราได้ปฏิบัติธรรม  เวลาอยู่นอกวัดนี้เราต้องฝืนกับสิ่งแวดล้อมต่างๆ  เพราะคนรอบตัวเราไม่ได้ปฏิบัติเหมือนเรา 

 

แต่ถ้าได้มาอยู่ในวัดแล้ว  คนที่อยู่ในวัดก็มีการปฏิบัติคล้ายๆกัน  จะถือศีลแปดไม่รับประทานข้าวเย็นก็ไม่มีปัญหาอะไร  เพราะคนในวัดก็ไม่มีใครรับประทานอาหารเย็นกัน  พอตกเย็นก็ไม่มีอะไรมายั่วกิเลสให้หิวโหยขึ้นมา  แต่ถ้าอยู่บ้านถือศีลแปดคนเดียว  แต่คนอื่นเขาไม่ได้ถือศีลแปดไปกับเราด้วย  เวลาตอนเย็นเขาก็กินข้าวกัน ทำกับข้าวกับปลากินกัน กลิ่นอาหารมันก็โชยมาใส่จมูกเรา  ทำให้เราต้องทรมาน เพราะเมื่อได้ดมกลิ่นอาหารแล้วก็เกิดความอยากขึ้นมา  เมื่อมีความอยากแล้วก็จะมีความทุกข์ขึ้นมา  แต่ถ้าไม่ได้เข้าวัด เราก็ต้องพยายามปฏิบัติไป  อยู่นอกวัดก็ปฏิบัติได้ ขอให้จิตใจเรามีความเข้มแข็งเท่านั้น  เมื่อเราตั้งจิตตั้งใจจะรักษาศีล ก็พยายามรักษาให้ได้  เพราะถ้าจะรอมาเข้าวัดนั้นมันอาจจะสายเกินไป หรือช้าเกินไป หรือน้อยเกินไป  เพราะอาทิตย์หนึ่งเราอาจจะเข้าวัดได้เพียงครั้งเดียว  เช่นวันนี้ญาติโยมมาวัดกันได้   แต่อีกหกวันนั้น ก็ต้องมีธุระ มีภารกิจต่างๆมากมาย

 

เราจึงควรสอดแทรกการปฏิบัติในขณะที่เราอยู่นอกวัด  เช่นในเบื้องต้นก็ฝึกสติ  เวลาทำอะไรก็ให้มีสติอยู่กับเนื้อกับตัว   ให้รู้ว่าเรากำลังทำอะไร กำลังพูดอะไร  อย่าให้ใจของเราไปอยู่ไกล  อย่าไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้  อย่าไปคิดเรื่องอดีตเรื่องอนาคต   พยายามให้อยู่กับปัจจุบัน  ให้อยู่กับสิ่งที่เรากำลังทำอยู่  เช่นเรากำลังเขียนหนังสือ ก็ให้อยู่กับการเขียนหนังสือ  กำลังทำกับข้าว ก็ให้อยู่กับการทำกับข้าว   อย่าทำกับข้าวไปแล้วก็คิดถึงเรื่องเมื่อวานนี้ หรือเรื่องที่จะทำในวันพรุ่งนี้  จิตใจของเราจะไม่นิ่ง จะวอกแวก แกว่งไปแกว่งมา  แล้วจะมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นมา  ทำให้มีความรู้สึกที่ไม่ดีตามมา  แต่ถ้าคอยควบคุมจิตใจด้วยสติให้อยู่กับการกระทำในปัจจุบัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ให้อยู่กับการกระทำนั้นๆ  แล้วจิตของเราจะนิ่ง จะไม่แกว่งไปแกว่งมา  จะมีความสงบ  มีความเย็น มีความสบาย 

 

นี่คือการปฏิบัติที่เราสามารถปฏิบัติได้เสมอ  ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนแห่งหนตำบลใด แต่ถ้าอยู่ในที่ที่มีความพลุกพล่านมากๆ ก็จะมีเครื่องรบกวนจิตใจมาก  จะทำให้การควบคุมสติค่อนข้างจะยากลำบาก  ไม่เหมือนกับเวลาที่เราอยู่คนเดียว  อยู่ในสถานที่สงบสงัด ไม่มีคนพลุกพล่าน  เวลาจะควบคุมสติควบคุมจิตใจให้อยู่กับปัจจุบัน ก็จะง่ายกว่ามาก  จิตใจก็จะสงบ มีความร่มเย็นเป็นสุข ง่ายกว่าการปฏิบัติท่ามกลางสิ่งต่างๆ คนต่างๆ การกระทำต่างๆ  จึงขอให้เราเข้าใจเสมอว่า วัดที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สถานที่  วัดอยู่ที่การปฏิบัติของเรา ถ้าเราปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนแห่งใด เราก็ได้เข้าวัดอยู่แล้ว  เช่นเห็นคนเดือดร้อน พอที่จะช่วยเหลือเขาได้  เห็นคนแก่จะเดินข้ามถนน  ก็ช่วยพาข้ามถนน เสียสละเวลาสักหน่อย  แทนที่จะรีบเดินหนีไป ก็ยอมเสียเวลาพาคนแก่ข้ามถนน ไปช้าหน่อย  แต่ได้ทำประโยชน์อย่างนี้ก็เรียกว่าเป็นการทำบุญทำกุศลแล้ว 

 

จึงขอให้มองว่าวัดอยู่ที่ความประพฤติของเราทางกาย ทางวาจา และทางใจ  ในขณะใดในเวลาใดที่เราคิดดี พูดดี ทำดี  ในขณะนั้นเราก็อยู่ในวัดแล้ว เราถึงวัดแล้ว  ได้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว  ด้วยการปฏิบัติบูชา  โดยไม่ต้องไปซื้อดอกไม้ธูปเทียน  ไม่ต้องไปหาพระพุทธรูปเพื่อกราบไหว้บูชา  เพียงแต่คิดดี พูดดี ทำดี  เราก็ได้บูชาพระรัตนตรัย  ได้บูชาพระพุทธเจ้าแล้ว  เมื่อได้บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว  ผลก็คือมงคลย่อมเกิดขึ้นกับเรา  ดังในพระบาลีที่ทรงตรัสไว้ว่า  ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมัง คลมุตตมัง   การบูชาบุคคลหรือสิ่งที่สมควรแก่การบูชาเป็นมงคลอย่างยิ่ง   เช่นเวลาเรามาวัดเรามากราบพระ จุดธูปเทียนดอกไม้  ระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ  นี่คือการกระทำที่เป็นมงคล เพราะเมื่อเราระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณแล้ว  เราก็จะระลึกถึงพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ระลึกถึงการคิดดี พูดดี ทำดี   วันนี้เรากราบพระแล้ว  ขณะนี้จิตใจของเราคิดดี พูดดี ทำดี  เราไม่ได้คิดร้ายกับใคร  ไม่ได้ทำร้ายใคร  เรานั่งอยู่ในความสงบ  อย่างนี้ก็ถือว่าได้คิดดี พูดดี ทำดีแล้ว 

 

ถ้าเราสามารถรักษาจิตใจของเรา   รักษากาย วาจา ใจของเรา ให้สงบได้อย่างนี้ตลอดเวลาแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายต่างๆ เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา  เรื่องเลวร้ายต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นนั้น ก็เพราะกาย วาจา ใจของเรามันไม่สงบ มันไม่นิ่ง มันวุ่นวาย  มันคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี  แล้วก็นำไปสู่เรื่องราวต่างๆ ปัญหาต่างๆตามมา ไม่รู้จักจบจักสิ้น  ถ้าเราระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ระลึกถึงการคิดดี พูดดี ทำดีอยู่เรื่อยๆแล้ว  ก็จะทำให้เราสามารถตั้งอยู่ในความดี  ตั้งอยู่ในความสงบ  ตั้งอยู่ในความสุขได้  ทำให้ชีวิตของเราอยู่ไกลจากความทุกข์ อยู่ไกลจากความวุ่นวายใจทั้งหลาย  การมีวัดหรือการเข้าวัดจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับชีวิตของเรา  เพราะจะพาให้ชีวิตของเราไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข  ห่างไกลจากความทุกข์ความวุ่นวายใจทั้งหลาย 

 

จึงอยากจะให้ท่านทั้งหลาย ให้ความสำคัญต่อการเข้าวัด เข้าหาพระพุทธศาสนา  เพราะการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาพบพระพุทธศาสนานี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว  ไม่มีโอกาสอันไหนจะดีเท่ากับโอกาสนี้ เพราะเราจะสามารถปฏิบัติจนจิตของเราหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้  หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้  หลุดพ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลายได้   ไม่มีภพไหนชาติไหน  ไม่มีเวลาใด ที่จะวิเศษเท่ากับภพนี้ชาตินี้แล้ว  จึงอยากจะให้ท่านทั้งหลายอย่าปล่อยให้ภพชาติอันประเสริฐนี้ กับพระพุทธศาสนาที่มีคำสอนอันประเสริฐนี้ หลุดลอยจากมือไป  หลุดลอยจากใจไป โดยที่ไม่ได้รับประโยชน์อะไรเลย  ด้วยการบำเพ็ญปฏิบัติธรรม ด้วยการเข้าวัด ด้วยการทำบุญให้ทาน ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม  ด้วยการรักษาศีลอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ และเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ใช้เวลาที่มีอยู่นี้ต่อการบำเพ็ญ ต่อการปฏิบัติตลอดเวลา  แล้วรับรองได้ว่าสิ่งที่เลิศ สิ่งที่วิเศษ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ครอบครองเป็นสมบัตินั้นก็จะเป็นสมบัติของพวกเราเช่นเดียวกัน  เพราะสมบัติชิ้นนี้ไม่มีลิขสิทธิ์  ไม่มีใครสามารถเก็บไว้สำหรับตนเองได้ เป็นสมบัติส่วนกลาง  ใครสามารถปฏิบัติได้ ก็สามารถรับรางวัลนี้ได้เช่นเดียวกัน  ไม่เหมือนกับรางวัลที่ออกในลอตเตอรี่  จะมีรางวัลที่หนึ่งเพียงรางวัลเดียว  แล้วคนถูกก็ถูกได้คนเดียว  แต่นี่เป็นรางวัลที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะถูกได้ ถ้าปฏิบัติให้ถึงเท่านั้นเอง   จึงขอฝากเรื่องราวของการมาวัด  เรื่องราวของการมาเกิดเป็นมนุษย์และการได้มาเจอพระพุทธศาสนา  ให้ท่านไประลึกไปพินิจพิจารณา เพื่อให้เกิดเป็นคติสอนใจ ให้ได้มาบำเพ็ญมาปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป   การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้