กัณฑ์ที่ ๒๕๖       ๘ ตุลาคม ๒๕๔๙

 

รีบตักตวงบุญกุศล

 

 

ตลอดระยะเวลา ๓ เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงเข้าพรรษา ศรัทธาญาติโยมก็ได้มุ่งมั่นมาสะสมบำเพ็ญบุญบารมีต่างๆกัน เพราะชีวิตจะสุข จะเจริญ จะมีความร่มเย็น ก็อยู่ที่บุญบารมีที่บุญกุศล ที่ได้บำเพ็ญกันนั่นเอง เป็นสมบัติที่แท้จริงของพวกเรา เพราะเมื่อต้องจากโลกนี้ไปแล้ว ไม่มีอะไรที่เราจะเอาติดตัวไปได้ นอกจากบุญบารมีนี้ ซึ่งเป็นเหมือนกับทรัพย์ภายนอก แต่บุญบารมีเป็นทรัพย์ภายใน  ที่จะดูแลรักษาจิตใจให้อยู่อย่างสุข อย่างสบาย  ไม่เดือดร้อน ไม่อดอยากขาดแคลน หลังจากที่ได้ออกพรรษาแล้ว   เราก็ยังต้องทำบุญสร้างบารมีกันต่อไปอีก  เพราะวันเวลามีแต่จะหมดไปๆ เวลาที่จะมีไว้สำหรับบำเพ็ญบุญบารมี   บุญกุศลต่างๆ ก็จะเหลือน้อยลงไปเรื่อยๆ เหมือนกับได้รับอนุญาตจากนายธนาคารให้เข้าไปในห้องเก็บเงินของธนาคาร ให้เวลา ๑๐ นาที ให้หยิบเอาเงินทองต่างๆ  ที่มีอยู่ในตู้เซฟไปตามความพอใจ  ถ้าไม่รีบเร่งมัวแต่โอ้เอ้ดูนั่นดูนี้   เผลอไปเดี๋ยวเดียวเวลา ๑๐ นาทีก็จะหมดไป ก็จะไม่ได้เอาเงินทองติดตัวไปด้วย   แต่ถ้ารีบหาถุงหาอะไรมาใส่ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้   ก่อนที่เวลา ๑๐ นาทีจะหมดไป ก็จะได้เงินทองไปอย่างมากมาย

 

ชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น เราได้โอกาสมาขนทรัพย์ภายใน ขนอริยทรัพย์ไปกัน  ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ประเสริฐกว่าทรัพย์อื่นๆทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกนี้ บุญบารมีที่ทำไว้ในอดีตได้ให้โอกาสเรามาตักตวงบุญบารมี ให้มีมากเพิ่มขึ้นไปอีก แต่มีเวลาจำกัด แต่ละคนไม่รู้ว่าจะมีเวลามากน้อยเพียงไร ที่จะได้ตักตวงบุญบารมี  บางคนก็มีเวลาถึง ๘๐ ๙๐ ปี  บางคนก็มีแค่วันสองวันก็หมดเวลาแล้ว  ในแต่ละคนจึงไม่รู้ว่าจะมีเวลาเหลือมากน้อยเพียงไร พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนไม่ให้ประมาท  ให้รีบตักตวงบุญกุศลด้วยการทำบุญเสียแต่เนิ่นๆ  รีบตักตวงไว้ก่อน พอหมดเวลาแล้วจะได้ไม่เสียใจทีหลัง รีบทำสิ่งที่ดีที่งามเสียก่อนดีกว่า   อย่ามั่วมาเล่น มาเที่ยว มากิน มาดื่ม  มาหาความสุขชั่วคราว ที่เอาไปไม่ได้กัน  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ถามตัวเราอยู่เสมอว่า  วันเวลาล่วงผ่านไป ล่วงผ่านไป  เรากำลังทำอะไรอยู่  กำลังทำบุญทำกุศลหรือกำลังสะสมโลภโกรธหลง  สะสมเงินทองข้าวของต่างๆ  ที่ไม่มีประโยชน์กับการเดินทางสู่ภพหน้าชาติหน้าของเราเลย ถ้าคอยเตือน คอยถามตัวเราอยู่เรื่อยๆ  เราจะได้ไม่เผลอไม่ลืม แล้วจะได้หาเวลามาสร้างบุญ สร้างกุศล ให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป

 

เพราะภพชาติของมนุษย์เป็นภพชาติเดียวเท่านั้น ที่จะสะสมบุญบารมีหรือสะสมบาปกรรมต่างๆได้ ภพชาติอื่นนั้นทำยากเรื่องบุญบารมี แต่เรื่องบาปนี้ทำง่าย ถ้าไปเกิดเป็นเดรัจฉานก็จะทำบาปทำกรรมอยู่เรื่อยๆ ต้องทำร้ายชีวิตของผู้อื่นเพื่อเอามาเป็นอาหาร หรือไปลักขโมยอาหารของผู้อื่นมารับประทาน หรือประพฤติผิดประเวณี เพราะเป็นนิสัยของเดรัจฉาน เรื่องทำบุญตักบาตรถวายทานนี้เป็นไปได้ยาก  ต้องเป็นมนุษย์ถึงจะได้มีโอกาสมาบำเพ็ญบุญ   ภพชาติอื่นๆนั้นเป็นที่ไปเสวยบุญหรือไปใช้กรรม ถ้าไปเกิดเป็นเดรัจฉานไปไจฉานไดุ้ขชั่วคราว ี่จะมากไหตกนรก ก็ไปใช้กรรม ต้องไปทุรนทุราย ไปทรมาน ถูกไฟนรกเผาไหม้ จนกว่าบาปกรรมที่ได้ทำไว้จะหมดไป ถึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าได้ทำบุญมากก็จะได้ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทพ เป็นพรหม ก็ไม่ค่อยมีโอกาสที่จะได้ทำบุญเท่าไร เพราะเป็นที่เสวยบุญ  เป็นที่ไปรับรางวัล ไปฉลอง ไปอยู่อย่างมีความสุข มีความสบาย แต่ภพชาติต่างๆเหล่านี้ ก็มีอายุขัยเหมือนกัน  เมื่อบุญหมดก็ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก มาสร้างบุญใหม่หรือมาสร้างกรรมใหม่อีก ขึ้นอยู่กับความฉลาดหรือความโง่ 

 

ถ้าโง่ไม่ฉลาดก็จะคิดว่า เกิดมาแล้วก็ตาย แล้วก็จบ บาปบุญไม่มี กรรมไม่มี  เวียนว่ายตายเกิดไม่มี  ถ้าคิดแบบนี้ก็จะไม่สนใจต่อการทำบุญ  ต่อการปฏิบัติธรรม ก็จะหาแต่ความสุขทางโลกต่างๆ ไปกินไปดื่มไปดูไปฟังอะไรต่างๆ ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ก็จะแสวงหาแต่สิ่งเหล่านี้ เพราะคิดว่าเมื่อตายไปแล้วก็หมดโอกาส จะไม่ได้หาความสุขแบบนี้อีก แต่ความสุขแบบนี้ในสายตาของคนฉลาดเช่นพระพุทธเจ้า ก็จะเห็นว่าไม่ใช่ความสุข ถ้าเป็นความสุขก็สุขของคนติดยาเสพติด ฉันใดก็ฉันนั้น เวลาได้เสพก็มีความสุข พอไม่ได้เสพก็เกิดความทุกข์ทุรนทุราย ต้องดิ้นรนหามาเสพอีก  สิ่งต่างๆที่พวกเรากำลังเสพกันอยู่ไม่ว่าจะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ล้วนเป็นเหมือนกับยาเสพติดทั้งนั้น  ไม่ใช่อาหารที่แท้จริงของจิตใจ ไม่ได้ให้ความสุขกับจิตใจอย่างแท้จริง เป็นความสุขชั่วขณะที่ได้เสพได้สัมผัส หลังจากนั้นแล้วก็เหลือแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ต้องไปหามาเสพอยู่เรื่อยๆ  จนกลายเป็นทาสไป แต่ถ้าได้มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ  ไหว้พระสวดมนต์ เจริญวิปัสสนา เจริญปัญญา  ใจของเราจะได้รับการดูแล ได้รับอาหาร ทำให้มีความสงบเย็น มีความสุข ที่จะติดอยู่กับจิตใจไปตลอดเวลา เป็นสิ่งที่ทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน

 

ถึงแม้จะไม่มีเงินก็ยังสามารถทำบุญได้  ไม่มีเงินซื้อข้าวซื้อของมาแต่มีกำลังกาย กำลังใจ   สามารถทำประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้   เช่นดูแลคุณพ่อคุณแม่ ก็ไม่ต้องใช้เงินใช้ทอง อยู่บ้านคอยช่วยคุณพ่อคุณแม่เวลาที่ท่านแก่เฒ่าแล้ว ไม่สามารถทำอะไรได้ เราก็หุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงคุณพ่อเลี้ยงคุณแม่ อย่างนี้ก็เป็นการทำบุญเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่เป็นพระของลูกๆ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พ่อแม่เป็นพระพรหมเป็นพระอรหันต์ของลูกๆ  เรื่องการทำบุญทำความดีจึงเป็นสิ่งที่ง่ายมาก เป็นการสร้างความสุขที่ง่ายกว่าการไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก  ที่ต้องมีเงินมีทอง เช่นอยากจะออกไปเที่ยว ไปดูหนัง ไปดื่ม ไปรับประทาน ก็ต้องมีเงิน    ถ้าไม่มีเงินก็ไปไม่ได้   ถ้าไม่ได้ไปก็หงุดหงิดใจ  เศร้าสร้อยหงอยเหงา ต่างกับคนที่ไม่ต้องออกไปหาความสุขภายนอก อยู่บ้านทำความดีกับคุณพ่อคุณแม่ ช่วยทำอะไรต่างๆ ในบ้านให้เรียบร้อย  ช่วยเฝ้าบ้านดูแลบ้าน ทำความสะอาดบ้าน ก็มีความสุขได้โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทอง และทำได้ทุกๆวัน เงินทองก็ไม่หดหายไปไหน กลับจะมีเงินทองเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ   เพราะเงินทุกบาทที่ไม่ได้ใช้ไป ก็เป็นเหมือนกับเงินที่หามาได้นั่นเอง เงินทุกบาทที่ใช้ไปก็เหมือนเงินที่ถูกขโมยไป 

 

ถ้าจะอยู่อย่างมั่นคงเกี่ยวกับเรื่องเงินทองก็ต้องหัดอยู่ให้ติดบ้าน   อย่าไปออกนอกบ้านมากจนเกินไป นอกจากมีความจำเป็น เช่นออกไปทำงานทำการหาเงินหาทอง ไปซื้อของต่างๆที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ  ถ้าไม่มีความจำเป็น ก็หาความสุขในบ้านดีกว่า อยู่ในบ้านรักกัน มีความเมตตาต่อกัน ดูแลกัน ช่วยเหลือกัน ทุกคนมีความสุข ถ้าต่างคนต่างอยากออกไปข้างนอก เวลาต้องอยู่บ้านก็จะหงุดหงิด ระบายอารมณ์ต่างๆออกมา  เวลาออกไปเที่ยวออกไปใช้จ่ายเงินทองนอกบ้าน ก็ต้องเสียเงินเสียทองที่หามาด้วยความยากลำบาก แล้วก็จะไม่พอใช้ ก็ต้องอยู่บ้าน ก็จะหงุดหงิด ไม่มีความสุข ระบายอารมณ์ต่างๆออกมา เพราะหาความสุขจากการใช้เงินใช้ทอง เมื่อเงินทองไม่พอใช้ความสุขก็ไม่มี   มีแต่ความทุกข์ตามมา เพราะเราไม่ฉลาดนั่นเอง คิดว่าความสุขอยู่กับการได้ไปเที่ยว ได้ไปดื่ม ได้ไปรับประทาน ได้ไปดู ได้ไปฟังอะไรต่าง ๆ  แต่หารู้ไม่ว่าเป็นความสุขแบบยาเสพติด    ระหว่างคนติดยากับคนไม่ติด ใครจะมีความสุขมากกว่ากัน ใครจะมีความทุกข์น้อยกว่ากัน คนติดยาเป็นเหมือนทาส ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้นาน เพราะเมื่อมีความอยากเสพมากๆ ก็ต้องไปหาเงินมาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ไปลักทรัพย์ ไม่ปล้น  ไปจี้  แล้วไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่จับตัวหรือถูกยิงทิ้งไป

 

คนที่ติดการพนัน ติดเที่ยวกลางคืน ติดสุรายาเมา ก็เป็นแบบเดียวกัน คนที่ติดของฟุ่มเฟือยต่างๆก็เช่นกัน ซื้อข้าวซื้อของโดยไม่คิดเลยว่ามีความจำเป็นหรือไม่ พอเห็นอะไรถูกอกถูกใจก็ต้องซื้อมา จนเป็นหนี้เป็นสินท่วมตัว  แล้วก็ไม่มีปัญญาที่จะใช้หนี้ ก็ต้องหลบหนีย้ายไปอยู่ที่อื่น เพราะมีเจ้าหนี้มาคอยทวงหนี้อยู่ตลอดเวลา มาข่มขู่เอาชีวิต ก็อยู่ที่บ้านไม่ได้ ทั้งหมดนี้ก็เกิดจากความหลง หาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอกนั่นเอง แทนที่จะหาความสุขจากการทำบุญ ทำความดีกัน  กลับไปหาความสุขที่กลายเป็นความทุกข์ มาเหยียบย่ำทำลายชีวิตจิตใจ เพราะไม่มีปัญญา ไม่ได้เข้าวัด ไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่ได้อ่านหนังสือธรรมะกัน  ชอบดูแต่หนัง ดูแต่โทรทัศน์ ดูแต่หนังสืออ่านเล่นต่าง ๆ ดูแล้วก็เพลิดเพลิน  แล้วก็เกิดความโลภ  เกิดความอยาก เปิดดูหนังสือแต่ละเล่มก็มีของต่างๆดีๆ มาล่อใจ มาโฆษณา พอเห็นแล้วก็เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ก็ต้องระงับด้วยการไปซื้อสิ่งที่อยากได้ เงินทองก็เลยไม่มีเหลือไว้เก็บ   เวลาเดือดร้อนขึ้นมาเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะไม่มีเงินทองมาดูแลรักษาตัวเอง ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะหลงหาความสุขที่ผิดทางนั่นเอง ไม่หาความสุขในใจที่ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง 

 

เช่นรักษาศีล ๕ ก็เป็นความสุขแล้ว ถ้าไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น  ไม่ไปฆ่าผู้อื่น ไม่ไปลักทรัพย์ ไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาของผู้อื่น  ไม่ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น ไม่เสพสุรายาเมา เพียงแค่รักษาศีล  ๕ ข้อนี้ ชีวิตก็สุขสบายแล้ว ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะมีใครมาจับไปลงโทษเพราะไม่ได้ทำความผิดอะไร  จะมีจิตใจที่มั่นคง ที่สงบสบาย    แล้วถ้านั่งทำสมาธิ  ไหว้พระสวดมนต์ได้  ก็ยิ่งจะได้ความสุขที่ดีขึ้นไปอีก   เวลาสวดมนต์ไหว้พระแล้วไม่ไปคิดเรื่องอะไร ให้จิตมีสติอยู่กับบทสวดมนต์   สวดไปเรื่อยๆ  แล้วจิตจะค่อยๆสงบลง  ค่อยๆสบาย ค่อยๆมีความสุข มีความเย็นปรากฏขึ้นมาในใจ เพราะจิตไม่ได้ไปคิดเรื่องราวต่างๆ ที่ทำให้เกิดอารมณ์วุ่นวายขุ่นมัวขึ้นมา ความสุขหรือความทุกข์ในใจนั้นเกิดจากความคิดของเรา  ถ้าคิดมากก็ฟุ้งซ่านมาก ก็มีความทุกข์มาก  ถ้าไม่คิดเลยจิตนิ่งสงบ ตอนนั้นแหละเป็นความสุขอย่างยิ่ง    แต่พวกเราไม่ค่อยได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้กัน เพราะหยุดคิดไม่เป็น ไม่รู้จักวิธีหยุด คิดตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้เคยหยุดคิดบ้างไหม แม้แต่เวลาที่นอนหลับไปก็ยังคิดอยู่ เวลาฝันนี้ก็กำลังคิดอยู่ จิตกำลังทำงานอยู่ จิตไม่หยุดนิ่ง  จึงหาความสุขที่แท้จริงไม่ได้   เพราะความสุขที่แท้จริงต้องเกิดจากจิตที่สงบเท่านั้น

 

ความสุขอย่างอื่นมีแต่จะคอยกระตุ้นให้เกิดความอยากเพิ่มมากขึ้น ได้ความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้มา ก็อยากที่จะได้ความสุขจากสิ่งนั้นสิ่งนี้เพิ่มขึ้นไปอีก   ถ้าเคยได้เงินจากใครก็อยากจะกลับไปหาอีกเพื่อขอเงินอีก ถ้าได้น้อยกว่าเดิมก็จะไม่พอใจ เคยได้ร้อยบาทพอครั้งต่อไปได้เพียงยี่สิบบาท  ก็จะไม่พอใจ เพราะอยากจะได้อย่างน้อยก็สักร้อยหนึ่ง หรือมากกว่านั้นถึงจะพอใจ  นี้คือปัญหาที่พวกเราจะต้องแก้ไข ด้วยการหักห้ามจิตใจ ไม่ให้ไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก ให้หันมาหาความสุขจากการกระทำความดี ไม่ว่าจะเป็นการทดแทนบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณทั้งหลาย เช่นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ มีเวลามีโอกาสก็ไปทำความดีกับท่าน  มีอะไรพอที่จะเอาไปแจกเอาไปจ่าย เอาไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ก็เอาไปแจกเอาไปจ่ายกัน อย่าสะสมของต่างๆ ถ้าเก็บไว้เฉยๆจะไม่เกิดประโยชน์ นอกจากไม่เกิดประโยชน์แล้วยังเกิดโทษ เพราะจะเป็นภาระทางจิตใจ ทำให้มีความผูกพัน  ทั้งห่วงและหวง เวลาไปไหนก็ต้องกังวล บางทีก็ไม่อยากจะไปไหน เพราะกลัวสมบัติข้าวของจะหายไป จะถูกขโมยไป  แต่ถ้าเอาไปแจกไปจ่ายแล้ว ความหวงความห่วงก็จะไม่มีอยู่ในใจ ใจก็จะเย็นสบายมีความสุข เวลาให้ทานก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ ความภูมิใจ ที่ได้ชนะความห่วงความหวง ชนะความเห็นแก่ตัว    เวลาทำอะไรให้กับผู้อื่นแล้ว ก็จะชนะความเห็นแก่ตัว เมื่อความเห็นแก่ตัวถูกทำลายไป ความภูมิใจ ความสุขใจ  ก็จะเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ 

 

นี้คือการสร้างความสุขที่แท้จริงด้วยการทำความดี  ด้วยการเสียสละ   ด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ด้วยการทำจิตใจให้สงบ ไม่ว่าจะเป็นการสวดมนต์ก็ดี หรือนั่งทำสมาธิก็ดี นั่งขัดสมาธิหลับตาแล้วระลึกคำว่าพุทโธๆไปเรื่อยๆ  ถ้าจิตไม่อยู่กับพุทโธ จะสวดมนต์บทใดบทหนึ่งไปก่อนก็ได้ สวดบทสั้นๆที่จำได้ สวดซ้ำๆหลายๆรอบ สวดไปเรื่อยๆ  อย่าไปคิดอะไร     เมื่อสวดไปเรื่อยๆแล้ว ความคิดต่างๆก็จะหายไป อารมณ์ที่เกิดจากความคิดก็หายไปด้วย เวลาคิดถึงคนรักก็ห่วงกังวล   คิดถึงสมบัติข้าวของเงินทองก็อดที่จะห่วงกังวลไม่ได้ คิดถึงหนี้สินก็ไม่สบายอกไม่สบายใจ แต่ถ้าไม่คิดได้ก็จะไม่เดือดร้อน ถึงแม้จะมีหนี้อยู่มากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็ช่างมันปะไรยังไม่ถึงเวลาที่ต้องไปใช้คืน เมื่อถึงเวลามีก็ใช้คืนไป ถ้าไม่มีก็ติดไว้ก่อน   ถ้าไม่พอใจจะจับเข้าคุกเข้าตะราง ก็ไปอยู่ในตะราง ไม่เดือดร้อนอะไร ถ้าใจไม่กลัวกับสิ่งต่างๆแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ใจเราชอบคิด ชอบเลือกนั่นเอง เลือกในสิ่งที่ชอบ เวลาได้ก็ดีอกดีใจ ถ้าได้สิ่งที่ไม่ชอบก็วุ่นวายใจ แต่ในชีวิตบางทีก็เลือกไม่ได้ มีขึ้นมีลง จะไปอยู่ที่ไหนเมื่อไรบางทีก็ไม่รู้ ถ้าใจไม่กลัวสักอย่างแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ก็จะไม่มีอะไรแตกต่างภายในใจ เพราะใจรับได้ทุกอย่าง ถ้ารับได้แล้วก็ไม่เดือดร้อนอะไร 

 

คนที่เคยรวยแล้วต้องมาจน ถ้ารับไม่ได้ก็ต้องวุ่นวายใจ  แต่คนที่จนอยู่แล้วไม่เห็นเดือดร้อนอะไร จนตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ก็อยู่ได้ ไม่เดือดร้อนอะไร แต่คนที่รวยแล้วต้องมาจน ถ้ารับความจนไม่ได้ ก็จะวุ่นวายใจเหมือนกับคนที่ติดคุกอยู่ตลอดเวลา ก็อยู่ได้เพราะรับได้  แต่คนที่ไม่เคยติดคุก พอต้องติดคุกก็รับไม่ได้  วุ่นวายใจ ทรมานใจ แต่เมื่อต้องอยู่จริง ๆ อยู่ไปนานๆเข้าก็ชินไปเอง เมื่อต้องอยู่ก็อยู่ได้ เพราะใจรับกับทุกสภาพได้ จึงไม่ควรเลือก ไม่ควรจู้จี้จุกจิก  ขอให้ทำแต่ความดีไว้ก็พอเพราะผลต่างๆเกิดจากการกระทำ ถ้าทำดีผลดีต้องตามมาอย่างแน่นอน แต่ถ้าทำไม่ดี ผลไม่ดีก็ต้องตามมาอย่างแน่นอน ถ้าทำแต่บุญ ทำแต่กุศล ปัญหาต่างๆ เรื่องต่างๆ ก็จะไม่มีตามมา แต่ถ้าไปมั่วสุมกับยาเสพติด กับอบายมุขต่างๆ กับความฟุ่มเฟือย รับรองได้ว่าจะต้องเจอปัญหาอย่างแน่นอน คือเงินทองไม่พอใช้ ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไปโกหกหลอกลวง เมื่อยืมเงินแล้วไม่มีปัญญาที่จะใช้คืน ก็ต้องถูกทวงหนี้อยู่เรื่อยๆ ทนไม่ได้ก็ต้องหนีไปอยู่ที่อื่น ถ้าหนีไม่พ้นก็ต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง เรื่องราวต่างๆล้วนเกิดขึ้นจากการกระทำของเราทั้งสิ้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากใครเลย  เหตุที่ทำให้เกิดขึ้นมาก็คือความหลงหรือความไม่รู้นั้นเอง ถ้ามีปัญญามีความรู้ ก็ไม่มีปัญหาตามมา

 

อย่างวันนี้ได้ยินได้ฟังธรรมก็รู้แล้วว่า การดำเนินชีวิตที่จะพาให้ไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข ไม่วุ่นวายใจ ไม่เดือดร้อนใจนั้นทำอย่างไร และการดำเนินชีวิตที่จะพาให้ไปสู่ความทุกข์ ความวุ่นวายใจนั้นทำอย่างไร วันนี้เราก็ได้ยินได้ฟังแล้ว แสดงว่าฉลาดแล้วมีปัญญาแล้วมีความรู้แล้ว อยู่ที่ว่าจะมีความกล้าหาญมีกำลังใจ ที่จะทำตามที่รู้หรือไม่ หรือยังอ่อนแอเหมือนคนติดยาเสพติดอยู่  คนที่ติดยาก็รู้ว่าไม่ดี แต่ไม่มีกำลังใจพอที่จะหยุดได้ อยู่ที่กำลังใจเท่านั้นเอง ถ้าไม่มีกำลังใจก็ต้องสร้างขึ้นมาด้วยการทำสมาธิ  เพราะการทำสมาธิเป็นการสร้างกำลังใจให้เกิดขึ้น  วิธีที่จะทำก็ง่าย ให้สวดมนต์ไปก่อน ให้มีสติอยู่กับการสวดมนต์ สวดให้นานๆ   เวลานั่งดูหนังทีละ ๒ ชั่วโมงก็ยังดูได้เลย ลองมานั่งสวดมนต์สัก ๒ ชั่วโมงดูซิว่าจะทำได้ไหม  ถ้าทำได้จะได้กำลังใจมาก แล้วจะตัดสิ่งต่างๆที่ติดที่ชอบได้อย่างสบาย ถ้าสามารถนั่งสวดมนต์ได้นานๆแล้ว ต่อไปก็จะตัดเรื่องต่างๆได้หมด  เรื่องสุรายาเมา เรื่องบุหรี่ เรื่องยาเสพติด  เรื่องของฟุ่มเฟือยต่างๆ รับรองได้ว่าจะไม่ยากเลยถ้ามีกำลังใจ  การนั่งสมาธิก็เป็นเหมือนกับการออกกำลังกายนั่นเอง ถ้ามีแต่นั่งๆนอนๆไม่ได้ออกกำลังกาย ร่างกายจะไม่มีเรี่ยวแรง จะทำอะไรก็ทำไม่ไหว

 

แต่ถ้าได้ออกกำลังกายอยู่เสมอ ไปวิ่ง ไปยกน้ำหนัก ไปทำอะไรต่างๆ ก็จะมีกำลังทำอะไรได้มาก ใจก็เหมือนกับร่างกายที่ต้องออกกำลังเหมือนกัน  การออกกำลังของใจก็คือการทำสมาธินั่นเอง เริ่มต้นด้วยการไหว้พระสวดมนต์ไปก่อน สวดไปในใจก็ได้ไม่ต้องออกเสียง นั่งขัดสมาธิหลับตาแล้วสวดไปเรื่อยๆ สวดไปจนลืมเรื่องราวต่างๆ สวดได้นานเท่าไรยิ่งดี ยิ่งมีกำลังมาก ยิ่งมีพลังมาก แล้วต่อไปเวลาอยากจะได้อะไรจะมีกำลังต่อต้าน ถ้าสิ่งที่อยากไม่เป็นสิ่งที่จำเป็น ก็จะตัดได้ ละได้ เพราะมีกำลัง ตอนนี้พวกเรายังทำกันไม่ได้ เพราะไม่ได้ออกกำลังใจกันเลย มีแต่ใช้ใจอย่างเดียว เวลาโลภแล้วไปแสวงหาสิ่งต่างๆ ก็เท่ากับทำให้ใจอ่อนกำลังลงไปเรื่อยๆ จนไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับความอยากต่างๆ เลยกลายเป็นทาสของความอยากไป แต่ถ้าได้ฝึกนั่งสมาธิ สวดมนต์อยู่เรื่อยๆแล้ว ทำให้มากๆ ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี รับรองได้ว่าใจจะมีกำลังมาก พอที่จะต่อต้านกับความอยากต่างๆได้ จนในที่สุดก็จะไม่ต้องไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆเลย เพราะมีความสุขที่ดีกว่าอยู่ในใจนั่นเอง คือความสุขที่เกิดจากการสวดมนต์ ความสุขที่เกิดจากการนั่งสมาธิ นี่แหละคือความสุขที่แท้จริง ความสุขที่เลิศ ที่ประเสริฐกว่าความสุขอื่นๆ ทั้งหลายในโลกนี้ อยู่ในใจเรา อยู่ที่ความสงบ อยู่ที่ใจไม่ว้าวุ่นขุ่นมัววุ่นวาย ไม่อยากได้อะไรเลย 

 

จึงขอให้พวกเราทั้งหลาย จงอย่าปล่อยเวลาที่มีค่าให้ผ่านไป โดยไม่ได้สะสมบุญสะสมกุศลกัน  วันเวลามันมีแต่หมดไปๆ  โอกาสหรือเวลาที่จะได้สะสมคุณงามความดี สะสมความสุข ความเจริญที่แท้จริง ก็จะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ จนหมดไปในที่สุด เมื่อตายไปแล้วตอนนั้นก็ทำบุญไม่ได้แล้ว คนที่อยู่ก็ทำแทนเราไม่ได้ เวลาที่เราตายไปถึงแม้เขาจะจัดงานศพให้เรา นิมนต์พระมาสวดให้กับเรา  ความจริงคนที่ได้ก็คือคนที่นิมนต์พระมานั่นแหละ คนที่เสียเงินทำบุญเป็นคนที่ได้บุญ คนตายไม่ได้บุญอะไรจากการทำบุญของคนเป็น จึงอย่าไปรอให้คนอื่นทำบุญให้กับเรา มันจะสายเกินไป จะไม่ได้รับประโยชน์จากการเป็นมนุษย์และได้มาพบพระพุทธศาสนา ขอให้ถามตัวเองอยู่เสมอๆว่า วันเวลาล่วงผ่านไป ล่วงผ่านไป กำลังทำอะไรอยู่ กำลังทำบุญหรือกำลังทำบาป  กำลังสะสมธรรมะหรือกำลังสะสมกิเลส ถ้าถามอยู่เรื่อยๆแล้ว จะได้มีเพื่อนที่ดีคอยเตือนใจ  คอยชวนให้ทำความดี เพราะเมื่อคิดอย่างนี้แล้วก็ต้องรู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องจากโลกนี้ไป จึงต้องรีบสะสมสิ่งที่เอาติดตัวไปได้ คือบุญและกุศลนั่นเอง จึงขอฝากเรื่องของวันเวลาที่มีน้อยนิดนี้ ให้ท่านทั้งหลายได้นำไปพินิจพิจารณา นำไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้