กัณฑ์ที่ ๒๖๑        ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๙

 

โอกาสที่วิเศษที่สุด

 

 

วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาวัดกัน  เพื่อตักตวงประโยชน์ที่มนุษย์จะพึงได้ เพราะมนุษย์เท่านั้นในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ที่สามารถตักตวงประโยชน์ได้อย่างสูงสุด ถ้าไปเกิดในภพอื่นก็จะไม่มีโอกาสตักตวงประโยชน์คือบุญกุศล เพื่อมรรคผลนิพพาน เพื่อความหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เป็นฐานะของมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถทำได้ ถ้าไปเกิดในภพอื่นถึงแม้จะดีกว่ามนุษย์ เช่นไปเกิดเป็นเทพ เป็นพรหม ก็เพียงแต่ไปเสวยบุญเท่านั้น   ไม่มีโอกาสได้สร้างบุญสร้างกุศลเพิ่มขึ้นมาใหม่ เมื่อได้เสพได้เสวยบุญกุศลที่ได้สะสมไว้จนหมดไปแล้ว ก็จะต้องกลับลงมาเกิดเป็นมนุษย์ หรือไปเกิดที่ต่ำกว่า ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ได้ทำไว้ที่ยังไม่ได้ส่งผล ถ้าเป็นวาระของผลกรรม ก็จะต้องไปเกิดในอบายภูมิใดภูมิหนึ่ง ต้องใช้กรรมในภูมินั้นจนหมดสิ้นไป เมื่อหมดแล้วถ้าเป็นวาระของบุญที่จะส่งผล ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ได้มาทำบุญทำกรรมอีก ภพของมนุษย์นี้ทำได้ทั้ง ๒ อย่าง ทำบุญก็ได้ ทำบาปทำกรรมก็ได้ ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครเคี่ยวเข็ญ ถ้าเป็นคนฉลาด มีศรัทธาในเรื่องบุญเรื่องกุศล เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก เชื่อสวรรค์ ก็จะหลีกเลี่ยงการกระทำบาป พยายามทำแต่บุญทำแต่กุศล อย่างท่านทั้งหลายที่ได้มาวัดกันอย่างสม่ำเสมอเพราะมีความเชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด จึงได้ใช้เวลาที่ว่างจากภารกิจการงานมาสะสมบุญ  สะสมกุศล เพื่อพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  จนหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง บรรลุถึงพระนิพพาน เป็นพระอรหันต์ไป

 

นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของมนุษย์ทั้งหลาย เพียงแต่จะรู้หรือไม่เท่านั้นเอง  ถ้ามีโอกาสได้มาเจอพระพุทธศาสนา ก็จะได้รู้ว่าหน้าที่ของตนที่แท้จริงนั้นคืออะไร ก็คือการสะสมบุญ ละบาป ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ที่เป็นเหตุให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ที่เกิดจากการเกิดแก่เจ็บตาย เวียนว่ายตายเกิดแบบไม่รู้จักจบจักสิ้น นี่คือหน้าที่ที่แท้จริงของมนุษย์เรา  ส่วนหน้าที่รองลงมาก็คือการดูแลรักษาอัตภาพร่างกาย เลี้ยงดูชีวิตของตน  เพื่อจะได้มีกำลังวังชา  มีเวลามาทำบุญทำกุศลกัน  คือ ร่างกายต้องมีการดูแลรักษา ต้องมีอาหารรับประทาน มียารักษาโรค มีเครื่องนุ่มห่ม มีที่อยู่อาศัย เมื่อมีครบบริบูรณ์แล้ว ถ้ามีเวลาว่างจากการเลี้ยงดูร่างกาย ก็ควรมาสะสมบุญกุศล ละเว้นจากการกระทำบาป มาปฏิบัติธรรม เพื่อมาชำระจิตให้สะอาดบริสุทธิ์ นี้คือหน้าที่ที่แท้จริง การทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเป็นหน้าที่รองลงมา แต่ก็มีความจำเป็นเช่นเดียวกัน เพราะเวลาจะทำบุญ จะปฏิบัติธรรม ก็ต้องมีร่างกาย ต้องมีเวลาว่างพอที่จะมาปฏิบัติได้ จะมีเวลาว่างได้ก็ต้องทำมาหากินจนมีฐานะที่ดีพอ มีเงินทองเก็บไว้พอสมควร พอที่จะเอื้อกับการปฏิบัติธรรม นี้คือหน้าที่ของมนุษย์ หน้าที่หลักก็คือการสะสมบุญกุศล ปฏิบัติธรรม เพื่อให้ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ดังนั้นในวันหยุด เช่นวันเสาร์วันอาทิตย์ จึงเป็นเวลาเหมาะที่จะทำบุญ ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมกัน เพราะนี้คืองานที่แท้จริงของเรา  

 

มนุษย์เป็นชาติที่ประเสริฐที่สุด เพราะเป็นชาติเดียวภูมิเดียวในสังสารวัฏ ที่จะสามารถพัฒนายกตนเอง ให้ถึงจุดสูงสุดของการพัฒนาได้   เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านก็เกิดมาเป็นมนุษย์และได้ใช้ชีวิตของมนุษย์มาบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล  เนื่องจากในชาติก่อนๆท่านได้สะสมบุญมามาก มีบารมีมาก จึงไม่ยึดไม่ติดกับความสุขเล็กๆน้อยๆ  อย่างที่พวกเรายึดติดกัน  พวกเรายังยึดติดอยู่กับความสุขที่ได้จากการมีสามีภรรยา  จากการดูหนังฟังเพลง ไปเที่ยวที่นั้นที่นี้ พวกเรายังติดความสุขเหล่านี้อยู่ จึงไม่สามารถออกบวชเป็นพระเป็นชีได้ เพราะยังมีความผูกพันกับความสุขทางโลก ที่เรียกว่ากามสุขอยู่ ยังอยากดู ยังอยากได้ยิน ยังอยากลิ้มรส ยังอยากดมกลิ่น  ยังอยากสัมผัสสิ่งต่างๆทางกาย เพื่อให้ความสุขกับตน  แต่ในขณะเดียวกันก็กลายเป็นทาสของสิ่งที่ตนชอบไป เมื่อติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ก็จะไม่สามารถออกบวชได้ ไม่สามารถมาบำเพ็ญจิตตภาวนา คือสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา อันเป็นเหตุที่จะทำให้จิตหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ เพราะยังไม่มีบารมีพอ เราจึงต้องมาบำเพ็ญบารมีกันต่อ เหมือนกับผลไม้  เมื่อยังไม่สุกก็ต้องบ่มไปเรื่อยๆ  อย่างชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์  เราสามารถทำบุญได้หลายระดับ จะทำแค่ทำบุญให้ทานรักษาศีลก็ได้หรือจะทำบุญทำทานรักษาศีลแล้วก็ภาวนาไปด้วย ในขณะที่เป็นฆราวาสก็ได้ หรือถ้าอยากจะปฏิบัติให้เต็มที่เลยก็ออกบวชกัน ก็ทำได้  จะทำได้ไม่ได้ก็ขึ้นอยู่กับกำลังบารมีของแต่ละคน ถ้าบารมีแก่กล้าก็เป็นเหมือนผลไม้ที่สุกงอมเต็มที่ ก็จะหลุดจากขั้วเอง 

 

ฉันใดจิตใจของพวกเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าได้บำเพ็ญบุญบารมีมาเต็มที่แล้ว ก็จะหลุดออกจากโลกของกามสุขไป จะไม่ยึดไม่ติดกับความสุขอย่างที่พวกเรายึดติดกัน ความสุขที่ได้จากสามี ภรรยา บุตร ธิดา สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ เกียรติยศต่างๆ  ความสุขที่ได้สัมผัสกับรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ   ความสุขเหล่านี้จะไม่มีความหมายกับจิตใจที่ได้บ่มบุญบารมีมาจนเต็มที่แล้ว เช่นจิตของพระพุทธเจ้า ที่ได้ทรงประสูติในสกุลของกษัตริย์  มีสิ่งอำนวยความสุขอย่างมากมายก่ายกอง แต่ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งผูกมัด ให้เจ้าชายสิทธัตถหลงติดอยู่กับความสุขแบบนี้เลย   เมื่อถึงเวลาพระองค์ก็ทรงผนวชออกบวช แล้วก็มุ่งไปสู่การปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาอย่างเต็มที่เลย ไม่กระทำอะไรอย่างอื่นตลอดเวลา ๖ ปีด้วยกัน  มีหน้าที่เดียวเท่านั้นก็คือปฏิบัติธรรม ชำระจิตใจ กำจัดกิเลส คือความโลภ  ความโกรธ  ความหลง ความอยากต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ความอยากในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ความอยากมีอยากเป็น  ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น เช่นความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เป็นสิ่งที่จะต้องตัดให้หมดไป  จะแก่ก็ให้มันแก่ จะเจ็บก็ให้มันเจ็บ จะตายก็ให้มันตาย  เพราะอยากอย่างไรก็หนีไม่พ้น เวลาอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายก็จะต้องทุกข์ทรมาน เวลาคิดถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็จะเกิดความหวาดกลัว เกิดความทุกข์ขึ้นมา

 

แต่ถ้าสามารถเอาชนะความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายได้ เวลาแก่เจ็บหรือตาย จะไม่มีความรู้สึกอะไรกับความแก่ ความเจ็บ ความตายเลย จิตจะรู้สึกเฉยๆ เพราะไม่มีความอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายนั่นเอง ปล่อยให้เป็นไปตามความจริง แก่ก็ได้ เจ็บก็ได้ ตายก็ได้ แต่จิตไม่ตายซะอย่าง ไม่เห็นจะต้องไปเดือดร้อนอะไร เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติภาวนา ไม่ได้เจริญวิปัสสนา  จึงไม่เห็นว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกัน จิตมีความมืดบอดครอบงำ  มีความหลงครอบงำ หลอกให้ไปคิดว่าร่างกายเป็นจิต  เมื่อคิดอย่างนั้นเวลาร่างกายเป็นอะไร จิตก็คิดว่าจะเป็นตามไปด้วย  แต่ความจริงแล้วจิตไม่ได้แก่ ไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย แต่จิตไม่รู้ เนื่องจากไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ศึกษา  ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเอง ถ้าได้ยินได้ฟังและนำไปปฏิบัติ ก็จะเห็นว่าจิตกับกายเป็นคนละส่วนกัน  นี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญอยู่ตลอด ๖ ปีด้วยกัน จนในที่สุดก็ตัดความอยากทั้ง ๓ ไปได้ คือ   ความอยากในกาม กามตัณหา  ความอยากมีอยากเป็น ภวตัณหา  ความอยากไม่มีอยากไม่เป็น วิภวตัณหา  เมื่อทำลายความอยากทั้ง ๓ ชนิดนี้หมดไปได้ จิตก็ไม่มีเชื้อของภพชาติหลงเหลืออยู่ ภพชาติจึงไม่มีอีกต่อไป   หลังจากที่พระสรีระของพระพุทธเจ้าดับสลายไปแล้ว จิตของพระองค์ก็ไม่ไปเกิดที่ไหนอีกต่อไป จิตเป็นนิพพานไป ได้บรรลุพระนิพพาน ที่เป็นที่อยู่ของจิตอย่างแท้จริง เป็นบ้านที่เต็มไปด้วยความสุข เรียกว่า ปรมังสุขัง 

 

ความสุขทั้งหลายในโลกนี้  เมื่อเปรียบกับความสุขที่ได้จากพระนิพพานแล้ว จะเป็นเหมือนฟ้ากับดิน ความสุขที่พวกเราสัมผัสกันอยู่นี้ กับความสุขของพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ เป็นเหมือนฟ้ากับดิน  ถ้าเป็นวัตถุก็เป็นเหมือนก้อนหินกับเพชรนิลจินดา มีคุณค่าต่างกันมาก เป็นสิ่งที่มนุษย์จะทำได้ แต่ต้องพบกับพระพุทธศาสนาด้วย ถ้าไม่พบก็จะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร ก็จะหลงอยู่กับการหาความสุขเล็กๆน้อยๆ จากการมีสามี มีภรรยา มีตำแหน่งต่างๆ มีสมบัติข้าวของเงินทอง จากการได้ไปเที่ยว ไปดู ไปฟัง ไปดื่ม ไปรับประทานเท่านั้นเอง  แต่เมื่อถึงเวลาแก่เวลาตาย ก็จะไม่ได้เสพความสุขเหล่านี้ เมื่อตายไปแล้วสมบัติต่างๆ ข้าวของเงินทองต่างๆ สามีภรรยาบุตรธิดา ก็ต้องทิ้งไปหมด เอาไปไม่ได้ ไปเกิดใหม่ก็ต้องไปเริ่มต้นใหม่ จะไปอยู่ที่ไหนก็ยังไม่รู้  เพราะไม่รู้ว่าได้สร้างบุญ  สร้างกรรมไว้มากน้อยเพียงไร เพราะบุญกรรมนี่แหละที่จะเป็นผู้ส่งให้ไปเกิดสูงหรือต่ำ  แต่ถ้าได้มาเกิดเป็นมนุษย์และพบกับพระพุทธศาสนา ก็จะได้ยินได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จนรู้ว่าหน้าที่ของตนมีอยู่ ๓ ประการคือ . ทำบุญ  ๒. ละบาป ๓. ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ชำระกิเลสตัณหา ความโลภความโกรธความหลงต่างๆ ด้วยการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เจริญปัญญา นี้คือหน้าที่ของสัตว์โลกที่แท้จริง โดยเฉพาะของพวกมนุษย์ ผู้มีฐานะมีสิทธิ์ที่จะบรรลุถึงเป้าหมายที่ประเสริฐนี้ได้

 

เพียงแต่ขอให้รู้เท่านั้น รู้แล้วจะได้ศึกษาแล้วก็ปฏิบัติ ถ้ารู้แล้วแต่ไม่สนใจที่จะศึกษา  ไม่สนใจที่จะฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่สนใจที่จะนำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปปฏิบัติ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร  การได้เกิดเป็นมนุษย์กับการได้มาพบพระพุทธศาสนา ก็เหมือนกับมีรถยนต์และมีปั๊มน้ำมันให้เติมน้ำมัน ถ้ามีรถยนต์แต่ไม่มีปั๊มน้ำมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร รถยนต์ก็วิ่งไปไหนมาไหนไม่ได้ ถ้าไม่มีน้ำมันให้เติม ถ้ามีน้ำมันแต่ไม่มีรถยนต์ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเช่นเดียวกัน  รถยนต์ก็เหมือนกับการได้มาเกิดเป็นมนุษย์  ส่วนน้ำมันก็เหมือนกับพระพุทธศาสนา ที่ให้แสงสว่างนำทาง เป็นเหมือนเชื้อเพลิงให้กับรถยนต์  ถ้ามีพระพุทธศาสนาแต่ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์  เช่นมาเกิดเป็นนก เกิดเป็นแมว เกิดเป็นสุนัข ถึงแม้จะอยู่ในวัด ก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพระศาสนา เพราะไม่สามารถเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าได้นั่นเอง จึงต้องมีทั้ง ๒ ส่วนควบคู่กันไป คือต้องได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วได้มาพบพระพุทธศาสนาด้วย  ถ้าได้ทั้ง ๒ อย่างนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่วิเศษที่สุด โอกาสใดที่จะวิเศษเท่ากับโอกาสนี้ไม่มีอีกแล้ว จึงไม่ควรผัดวันประกันพรุ่ง  อย่าผัดไปถึงภพหน้าชาติหน้า ชาตินี้ขอเที่ยวขอกินขอเล่นไปก่อน ไว้ชาติหน้าค่อยกลับมาบวช คิดอย่างนี้ก็ไม่มีทางหลุดพ้นไปได้ เพราะถ้าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ก็อาจจะไม่ได้เจอศาสนาพุทธอีกก็ได้

 

เพราะพุทธศาสนามีอายุไม่ยาวมาก เพียง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้น พระพุทธเจ้าทรงทำนายไว้ว่าศาสนาพุทธจะอยู่ในโลกนี้ได้ไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปี  ตอนนี้ก็ผ่านมากว่าครึ่งหนึ่งแล้ว ผ่านมา ๒,๕๔๙ ปีแล้ว เหลืออีก ๒,๔๐๐ กว่าปีก็จะไม่มีพระพุทธศาสนาเหลืออยู่ในโลกนี้แล้ว  ถ้าว่าได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกใน ๒,๕๐๐ กว่าปีข้างหน้า ก็จะไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนา  เมื่อไม่ได้พบก็เหมือนกับมีรถแต่ไม่มีปั๊มน้ำมันให้เติมน้ำมัน จะไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม นี้ขนาดรู้แล้วยังไม่ปฏิบัติ ยังไม่สนใจเลย  ขอผัดไปชาติหน้าก่อนอย่างนี้  เกิดมาชาติหน้าก็จะติดนิสัยผัดไปอีก  ก็จะผัดไปเรื่อย ชาติก่อนๆก็เคยผัดมาแล้ว เพราะติดเป็นนิสัย เคยทำอะไรมาอย่างไร ก็จะติดนิสัยทำอย่างนั้นไปเรื่อยๆ ถ้ามีความคิดอย่างนี้อยู่ในใจ ก็ควรเปลี่ยนความคิดนี้เสีย ให้หันมาศึกษาและมาปฏิบัติธรรมกันดีกว่า มาบำเพ็ญบุญบารมีกัน จะได้มากได้น้อย ก็ขอให้ได้ทำไป อย่างน้อยที่สุดก็จะได้ปลูกฝังนิสัยที่ดีไว้ ถ้ายังไม่อยากบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ อย่างน้อยก็ให้บำเพ็ญบารมีกัน เช่นทานบารมี  ศีลบารมี ควรรักษาศีลกันบ้าง ศีล ๕ ข้อนี้ ถ้ารักษาไม่ได้ทุกวัน อย่างน้อยก็วันพระสักวันหนึ่งก็ยังดี หรือรักษาได้บางข้อในบางวันก็รักษาไป อย่าปล่อยปละละเลย ไม่สนใจไม่เหลียวแลเลย  พยายามรักษาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ก็แล้วกัน แล้วก็พยายามรักษาให้มากขึ้นไปเรื่อยๆ  พยายามทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะติดเป็นนิสัยไป

 

มาอยู่วัดบ้าง เพื่อบำเพ็ญเนกขัมมบารมีกัน  มาละกามสุข ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย นุ่งขาวห่มขาวถือศีล ๘ ไม่กินข้าวเย็น ไม่ดูหนังฟังเพลง ไม่นอนกับสามีภรรยา ตัดกามสุขนั้นเอง เรียกว่าเนกขัมมบารมี ทำกันอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ดีกว่าจะผัดไปเรื่อยๆ รอไว้แก่ก่อนแล้วค่อยมาทำกันก็ได้  พอเวลาแก่เข้าจริงๆก็จะทำไม่ไหว คนแก่ส่วนใหญ่เวลาไปอยู่วัดจะอยู่ไม่ได้นาน  อยู่ลำบาก ไม่เหมือนคนหนุ่มคนสาว บวชตอนหนุ่มกับบวชตอนแก่นี้ต่างกัน เวลาบวชตอนหนุ่มสามารถปฏิบัติกิจวัตรต่างๆได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บวชตอนแก่แล้วสังขารไม่เอื้ออำนวย จะปฏิบัติกิจให้ครบถ้วนบริบูรณ์เป็นสิ่งที่ยากเย็นมาก เมื่อไม่สามารถปฏิบัติให้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ผลที่จะเกิดขึ้นก็ไม่ครบถ้วนบริบูรณ์เช่นเดียวกัน เพราะทุกสิ่งๆทุกอย่างขึ้นอยู่กับเหตุเป็นหลัก คือการกระทำของเรา ถ้าทำแล้วผลก็จะตามมา เหมือนกับการรับประทานอาหาร ถ้าไม่รับประทานอาหารจะอิ่มได้อย่างไร ต้องรับประทานอาหารเข้าไปจนกว่าจะอิ่ม ถึงจะหยุดรับประทาน  ถ้ารับประทานไปเพียงครึ่งเดียวก็อิ่มเพียงครึ่งเดียว ถ้ารับประทานเต็มที่ก็อิ่มเต็มที่ ฉันใดอานิสงส์ที่จะได้รับจากการปฏิบัติกายวาจาใจ ก็อยู่ที่การปฏิบัตินั่นแหละ  ถ้าทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ รักษาศีลอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ด่างพร้อย แล้วก็บำเพ็ญจิตตภาวนา  นั่งสมาธิ ไหว้พระสวดมนต์ เจริญปัญญา พิจารณาอนิจจังทุกขังอนัตตา พิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 

เช่นพิจารณาดูร่างกายของเรา มันก็เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จากเด็กก็เป็นผู้ใหญ่ จากผู้ใหญ่ก็เป็นผู้เฒ่า  จากผู้เฒ่าก็เป็นผู้ตาย นี้คือการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย มันเป็นอย่างนี้ พิจารณาไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าใจแล้วใจก็จะปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด  ถ้าไปยึดไปติดก็จะทุกข์ทรมานใจ  เวลาแก่แล้วจะทุกข์  เวลาตายจะทุกข์ หรือเพียงแต่คิดว่าจะแก่ จะตายก็ทุกข์แล้ว เพราะไม่มีใครอยากแก่ ไม่มีใครอยากตาย ถ้าพิจารณาก็จะเห็นว่าความทุกข์เกิดจากความไม่อยากแก่ ไม่อยากตายนั่นเอง เมื่อรู้อย่างนั้นถ้าไม่อยากจะทุกข์ ก็ต้องละความไม่อยากแก่ ไม่อยากตาย  เมื่อละได้แล้วความทุกข์ก็จะไม่มี ต่างกันตรงนี้ ระหว่างพวกเรากับพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ ต่างกันตรงนี้เท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ท่านเห็นแล้วว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป  ร่างกายเกิดมาแล้วก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ฝืนธรรมชาติไม่ได้ ฝืนความจริงนี้ไม่ได้ อยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายไม่ได้ เพราะรู้เพราะเห็นแล้วว่า ถ้าอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ก็จะต้องทุกข์ทรมานใจ ต้องว้าวุ่นขุ่นมัว แต่พอละความไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตายได้แล้ว ใจก็สงบนิ่งสบาย จะทำให้สงบนิ่งได้ก็ต้องนั่งสมาธิไปก่อน นั่งไปเรื่อยๆจนจิตสงบ

 

เมื่อสงบแล้วจะรู้ว่านี่แหละเป็นที่ปลอดภัยที่สุดของจิต คือการปล่อยวางเป็นอุเบกขา จะเกิดขึ้นถ้านั่งสมาธิ  เมื่อรู้แล้วว่าจุดที่ปลอดภัยที่สุดของจิตอยู่ตรงนี้ เวลาไปคิดถึงความแก่ ความเจ็บ ความตาย แล้วเกิดความว้าวุ่นขุ่นมัวขึ้นมา ก็ดึงจิตให้กลับมาสู่จุดที่ปลอดภัยได้ ด้วยการปลง ด้วยการปล่อยวาง ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา ยอมรับว่าหนีไม่พ้น ห้ามไม่ได้ของอย่างนี้ต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน แต่สิ่งที่ห้ามได้ก็คือความทุกข์ใจ เราสามารถห้ามความทุกข์ใจได้ ด้วยการทำใจให้สงบ ด้วยการปล่อยวาง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด อะไรจะเป็นก็ให้มันเป็น อะไรจะตายก็ให้มันตาย  ถ้าสามารถทำได้จิตใจก็จะสบาย  จะไม่ทุกข์กับอะไร เรียกว่าเจริญปัญญา เจริญวิปัสสนา เพื่อรู้แจ้งเห็นจริง ไม่ไปฝืน ไม่ไปอยากให้เป็นอย่างอื่น เช่นร่างกายนี้พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเป็นเพียงธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ มาจากอาหารที่รับประทานเข้าไป แล้วก็มาเปลี่ยนเป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง เป็นเนื้อ  เป็นเอ็น เป็นกระดูก เป็นอวัยวะต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาก็จะแยกจากกันไป กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟ  ร่างกายเมื่อตายไปแล้ว ถ้าปล่อยทิ้งไว้ น้ำต่างๆก็จะไหลออกมาจนเหือดแห้งกลายเป็นดินไป เอาไปเผาก็กลายเป็นขี้เถ้ากลายเป็นดินไป  นี้คือความจริงของร่างกาย เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่นายสมศักดิ์ ไม่ใช่นางสมศรี เป็นเพียงดินน้ำลมไฟ ที่จิตมาครอบครอง มายึดมาอาศัยอยู่เท่านั้น 

 

จิตต้องฉลาดต้องรู้ทัน ถ้ารู้ทันแล้วก็จะมีปัญญา  มีปัญญาก็ปล่อยวางได้ ไม่ยึดไม่ติด ตัดอุปาทาน ตัดความหลง ที่ไปคิดว่าร่างกายเป็นตัวเราของเราได้ เพราะความจริงร่างกายนี้ก็เป็นเหมือนศาลาหลังนี้ ไม่ได้เป็นตัวตนอย่างไร ไม่ได้เป็นของของใคร ทิ้งไว้สักร้อยปีสองร้อยปีก็พังลงมา เช่น  โบสถ์วิหารต่างๆในสมัยสุโขทัยก็ดี ในสมัยอยุธยาก็ดี ก็ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลย เป็นไปตามความเป็นจริงของมัน คนที่อยู่ในสมัยสุโขทัย ในสมัยอยุธยา ก็ไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว กลายเป็นขี้เถ้า กลายเป็นดินไปหมด มีแต่ตัวจิตของคนที่อยู่ในสมัยนั้น ที่ยังมาเวียนว่ายตายเกิดอยู่ พวกเราก็อาจจะเป็นพวกที่เคยเกิดอยู่ในสมัยอยุธยา  ในสมัยสุโขทัยก็ได้ ถึงได้กลับมาเกิดในสมัยนี้อีก สมัยก่อนเคยเข้าวัดเข้าวา สมัยนี้ก็มาเข้าวัดเข้าวาอีก ไม่มีใครสั่ง ไม่มีใครบังคับ มีกรรมมีบุญเป็นตัวคอยสั่ง ถ้าเคยทำบุญก็จะสั่งให้ไปทำบุญต่อ ถ้าเคยทำกรรมก็จะสั่งให้ไปทำกรรมต่อ  คนที่เคยทำกรรมก็จะชอบไปทำกรรม เคยดื่มสุราก็จะไปดื่มสุรา  เคยเล่นการพนันก็จะไปเล่นการพนัน คนที่เคยใส่บาตร เคยปฏิบัติธรรม เคยรักษาศีล ก็จะมาใส่บาตร มาปฏิบัติธรรม มารักษาศีล บุญกรรมเป็นผู้สั่งเรา ที่มากันในวันนี้ก็เป็นเพราะบุญเป็นผู้สั่งให้มา ถ้าสะสมบุญไปเรื่อยๆ บุญที่ทำในวันนี้ก็จะสั่งเราต่อไปในวันข้างหน้า จนในที่สุดสักวันหนึ่งข้างหน้า เราก็จะสะสมบารมีจนมากพอ ที่จะหลุดจากการยึดติดกับความสุขต่างๆในโลกนี้ได้ เหมือนกับผลไม้ที่สุกเต็มที่แล้ว ก็จะหลุดจากขั้วไปเอง

 

เหมือนกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่หลุดจากการติดอยู่กับความสุขทางโลก  ติดอยู่กับกามสุข ติดอยู่กับสามีภรรยา  ติดอยู่กับตำแหน่งฐานะเงินทองต่างๆ ด้วยการบำเพ็ญบุญบารมีอยู่เรื่อยๆ เช่น ทานบารมี  ศีลบารมี  เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี  ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ ศึกษาอยู่เรื่อยๆ แล้วก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ นั่งสมาธิไหว้พระสวดมนต์ พิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีตัวตนของสังขารร่างกาย ถ้าปัญญาบารมีมีความแก่กล้าพอ ก็จะสามารถตัดความยึดติดในความสุขทางโลกได้ ตัดตัณหาต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นกามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา จะถูกตัดทำลายไปหมดเมื่อมีปัญญาแก่กล้าแล้ว   ปัญญาจะเกิดได้ก็ต้องบำเพ็ญเนกขัมมบารมี  ถือศีล ๘  นั่งสมาธิ  ไหว้พระสวดมนต์ ทำจิตใจให้สงบ  เมื่อจิตสงบเต็มที่แล้วก็จะมีความสุข มีความนิ่ง เป็นอุเบกขา ก็ปล่อยให้นิ่งอยู่อย่างนั้นไป จนกว่าจิตจะถอนออกมาเอง เมื่อถอนออกมาแล้วก็มาเจริญปัญญาต่อ ด้วยการพิจารณาความไม่เที่ยงแท้แน่นอนของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย เห็นอะไรก็ต้องรู้ว่าสิ่งที่เห็นนั้น ต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เสียงที่ได้ยินก็เช่นเดียวกัน มีการเปลี่ยนแปลง ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อรู้แล้วจะได้ไม่ไปยึดไม่ไปติด เห็นรูปที่ชอบก็ไม่ยินดี เห็นรูปที่ชังก็ไม่เกลียด  รู้แล้วก็เฉยๆ รู้แล้วก็ปล่อยวาง  ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วจิตจะมีความสุข ไม่ยึดไม่ติด ไม่ทุกข์กับอะไร นี้คือปัญญาบารมีที่ควรบำเพ็ญอยู่เรื่อยๆ 

 

มีเวลาว่างก็ควรเข้าวัด ถ้ามาอยู่วัดไม่ได้ อย่างน้อยก็มาทำบุญใส่บาตร ฟังเทศน์ฟังธรรมกันแล้วค่อยกลับไป เอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปคิดพิจารณาต่อ อย่าให้เข้าหูซ้ายแล้วออกหูขวาไป  ให้เข้าไปฝังอยู่ในใจ จะเป็นประโยชน์มาก จะช่วยเราได้ในยามที่มีความทุกข์ เพราะความทุกข์ของพวกเราส่วนใหญ่เกิดจากการสูญเสีย เวลาเสียสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปเราจะทุกข์ใจกัน แต่ถ้าระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า ไม่มีอะไรอยู่กับเราไปตลอด ต้องจากเราไปสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว หรือเราก็ต้องจากมันไป ถ้าจำคำสอนนี้ได้อยู่ในใจตลอดเวลา  เวลามีอะไรจากเราไป หรือเวลาที่เราต้องจากอะไรไป จะไม่รู้สึกวุ่นวายใจ  จะไม่ทุกข์ใจ จะรู้สึกเฉยๆ เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนกับเวลาที่พระอาทิตย์ตกดินจากเราไป เราก็ไม่วุ่นวายกับการจากไปของพระอาทิตย์  เวลาโผล่ขึ้นก็ไม่ได้ไปดีใจกับการมาของพระอาทิตย์ เพราะไม่ได้ไปยึดไปติดกับพระอาทิตย์นั่นเอง  ฉันใดถ้าเราไม่ไปยึดไม่ไปติดกับสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือวัตถุก็ตาม เป็นสามีเป็นภรรยา เป็นบุตรเป็นธิดา เป็นข้าวของเงินทองต่างๆ เวลามาก็ไม่ดีใจ เพราะรู้ว่าไม่ช้าก็เร็วก็ต้องจากเราไป เวลาจากไปก็ไม่เสียใจ นี้คือปัญญาควรที่จะเจริญอยู่เรื่อยๆ บำเพ็ญอยู่เรื่อยๆ ระลึกถึงอยู่เรื่อยๆ อย่าให้พระต้องมาคอยสอนทุกวี่ทุกวันซ้ำๆซากๆ

 

ควรจะสอนตัวเราเองอยู่เรื่อยๆ เพราะถ้าไม่สอนแล้วเราจะลืม เพราะว่าจะมีเรื่องอื่นเข้ามากลบไปหมด พอออกจากวัดไปเห็นอะไรถูกอกถูกใจก็อยากจะได้แล้ว ลืมว่าสิ่งที่จะได้มาเดี๋ยวก็ต้องเสียมันไป เดี๋ยวก็ต้องจากเราไป  แต่ถ้าเรานึกได้และถ้าไม่จำเป็นจริงๆ สู้ไม่เอาดีกว่า เพราะจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลัง  เวลาเห็นโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ก็อยากจะได้ พอซื้อมาแล้วสองวันเกิดหายไป ก็เสียใจร้องห่มร้องไห้ ถ้าไม่มีความจำเป็นอย่าไปเอามันดีกว่า อย่าไปซื้อมันมาดีกว่า จะได้ไม่ต้องไปทุกข์   ถ้ามีความจำเป็นต้องมี ก็มีได้ แต่ต้องคอยเตือนใจอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งก็ต้องจากกันไป  ถ้าไม่จำเป็นก็อยู่แบบไม่มีดีกว่า อยู่คนเดียวได้ก็อยู่ไป  ถ้ายังไม่มีสามี ไม่มีภรรยา ก็อย่าไปมีจะดีกว่า เพราะมีแล้วเดี๋ยวก็จะต้องเสียใจที่หลัง ต้องร้องห่มร้องไห้ กลุ้มอกกลุ้มใจ นี้คือปัญญาบารมี  เป็นการบำเพ็ญบารมี ขอให้พยายามทำไปเรื่อยๆ  มาบ่อยๆ มาวัดอยู่เรื่อยๆ ในวันเวลาว่าง มาฟังเทศน์ฟังธรรม มาทำบุญให้ทาน  มาบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ถือศีล ๘ อยู่วัด ปฏิบัติธรรม  นั่งสมาธิเจริญปัญญา แล้วไม่ช้าก็เร็วบารมีเหล่านี้ก็จะแก่กล้า พอที่จะฉุด พอที่จะผลัก ให้เราหลุดพ้นจากการยึดติดกับความสุขต่างๆ พอที่จะส่งให้เราได้ออกบวชอย่างเต็มที่ ได้ปฏิบัติอย่างเต็มที่ จนหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ได้ไปถึงที่เดียวกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวกได้ไปถึง คือพระนิพพานนั่นเอง นี้คือสิ่งที่เราควรตักตวงให้มากที่สุด ในฐานะของมนุษย์ที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา เพราะโอกาสอย่างนี้จะไม่มีอีก ถ้ามีอีกก็อีกนานแสนนานเลยทีเดียว ต้องเวียนว่ายตายเกิด ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ ทุกข์กับการแก่การเจ็บการตายอีกนับไม่ถ้วน กว่าจะได้โอกาสอย่างนี้อีก  นี่คือโอกาสทองของพวกเราที่แท้จริง อย่าปล่อยให้หลุดมือไป โบราณท่านสอนว่า น้ำขึ้นให้รีบตัก นี้ก็คือน้ำขึ้นแล้วสำหรับพวกเรา ให้รีบตักตวงเสีย ประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการเป็นมนุษย์ จากพระพุทธศาสนาอย่าปล่อยให้ผ่านไป จะได้ไม่ต้องมาเสียใจในภายหลัง การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้