กัณฑ์ที่ ๒๖๒        ๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๙

 

บุญทำได้ตลอดเวลา

 

 

วันนี้เป็นวันพระ วันธรรมสวนะ วันฟังธรรม วันลอยกระทง วันอาทิตย์ เป็นวันที่มีเหตุให้ศรัทธาญาติโยมมาทำบุญกันถึง  ๓ กรณีด้วยกันคือ   เป็นวันพระ เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันลอยกระทง  แต่ละท่านที่มาวัดก็มีความดำริ มีเหตุผลที่จะมาต่างกัน บางท่านก็มาประจำทุกวันพระ  บางท่านก็มาทุกวันอาทิตย์ บางท่านก็มาเฉพาะวันสำคัญๆ เช่นวันลอยกระทงเป็นต้น  จึงได้ใช้โอกาสอันดีงามนี้มาทำบุญทำกุศลกัน  เพราะบุญกุศลเป็นอาหารของจิตใจ เป็นที่พึ่งของจิตใจ ถ้าขาดบุญแล้วจิตใจจะไม่มีความอิ่ม ไม่มีความสุข ไม่มีความปลอดภัย การทำบุญอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง  สำหรับท่านผู้ที่ได้ทำเป็นประจำจนเห็นผลของบุญแล้ว ก็จะทำอย่างสม่ำเสมอตลอดเวลา  ไม่ได้เลือกวันและไม่ได้เลือกเวลา เพราะเห็นคุณค่าของบุญแล้วว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับจิตใจ ผู้มีบุญมากๆอยู่อย่างสุขอย่างสบาย แคล้วคลาดปลอดภัยจากทุกข์ภัยต่างๆ ที่เกิดจากภายนอกและที่เกิดจากภายในเพราะบุญกุศลเป็นเหมือนกับเกราะคุ้มครองจิตใจ ไม่ให้ความทุกข์ต่างๆ เข้ามาเหยียบย่ำทำลาย ถ้าได้ทำบุญไปเรื่อยๆจนเห็นผลแล้ว จะไม่ต้องบังคับอีกต่อไป เหมือนกับเห็นคุณค่าของการรับประทานอาหาร ถึงเวลารับประทานอาหารก็ไม่ต้องบังคับกัน มีแต่จะเรียกร้องกัน มีแต่จะขอไปรับประทานกันมากกว่า  ฉันใดถ้าได้ทำบุญกันอย่างสม่ำเสมอจนเห็นผลของการทำบุญแล้ว จะไม่รอเวลา จะไม่รอโอกาส  เพราะเราสามารถทำบุญได้ทุกแห่ง ทุกที่ ทุกเวลา  เพียงแต่ไม่รู้กันเท่านั้นเอง

 

เพราะขาดการศึกษา ขาดการได้ยินได้ฟัง ขาดการฟังเทศน์ฟังธรรม จึงไม่เข้าใจถึงคำว่าบุญว่าเป็นอย่างไร  บุญแปลว่าความสุขใจ  ความอิ่มเอิบใจ  ความสบายใจ  ความรู้สึกปลอดภัย เป็นผลเกิดขึ้นจากการกระทำ ที่มีหลายแบบหลายชนิดด้วยกัน  เช่นวันนี้ญาติโยมได้นำเอากับข้าวกับปลาอาหาร ของคาวของหวานต่างๆ รวมทั้งจตุปัจจัยไทยธรรมต่างๆมาถวายพระ เป็นการให้ ในภาษาบาลีท่านเรียกว่าทาน   เมื่อให้แล้วก็จะเกิดความสุขใจ ความพอใจ ความสบายใจขึ้นมา   เพราะได้กำจัดสิ่งที่สร้างความหิวโหย สร้างความวุ่นวายให้กับจิตใจได้แก่ ๑. ความโลภ  ๒. ความตระหนี่ ๓. ความเห็นแก่ตัว  หลังจากที่ให้ทานแล้วก็จะเป็นบุญขึ้นมา เป็นความสุขใจสบายใจ นอกจากการให้ทานแล้ว บุญยังเกิดขึ้นได้อีกหลายทางด้วยกัน เช่นเกิดจากการรักษาศีล เมื่อสักครู่นี้เราก็ได้สมาทานศีล ๕ กัน  ทำให้จิตใจมีความสงบร่มเย็นเป็นสุข เพราะเราไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นนั้นเอง ถ้าไม่ได้ไปฆ่าผู้อื่น   ไม่ได้ไปลักทรัพย์ของผู้อื่น ไม่ได้ไปประพฤติผิดประเวณี  ไม่ได้ไปโกหกหลอกลวง  ไม่ได้ไปเสพสุรายาเมา จิตใจจะมีแต่ความสบายใจ ไม่หวาดกลัวว่าจะมีใครมาจับไปลงโทษ จะมีใครมาประณาม  ว่าได้ทำสิ่งที่ไม่ดี เพราะไม่ได้ทำ นี้ก็เป็นบุญอีกอย่างหนึ่งเรียกว่าศีล

 

ประการต่อมาบุญก็เกิดขึ้นได้จากการภาวนา  คือการพัฒนาจิตใจ สร้างความสงบให้กับจิตใจ ปกติจิตใจของคนเราจะไม่ค่อยสงบกันเท่าไร  จะมีแต่เรื่องราวต่างๆเข้ามาอยู่ตลอดเวลา  มาสร้างความวุ่นวาย  สร้างความทุกข์ สร้างความกังวล  ถ้าภาวนาทำจิตใจให้สงบได้ จิตใจก็จะมีความสบาย  มีความสุข  เพราะไม่มีเรื่องราวต่างๆเข้ามารบกวนจิตใจ เรียกว่าสมถภาวนา ทำให้จิตใจสงบ ส่วนการภาวนาเพื่อให้เกิดปัญญา เรียกว่าวิปัสสนาภาวนา    ผู้ที่ไม่มีปัญญาจะไม่รู้จักแก้ปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามาใส่จิตใจ แต่ผู้ที่มีปัญญาจะรู้จักวิธีจัดการกับปัญหาต่างๆ ไม่ให้ปัญหาต่างๆมาสร้างความทุกข์  สร้างความวุ่นวายใจได้เลยนี้คือบุญที่เกิดขึ้นจากการภาวนา สมถภาวนา ทำจิตให้สงบ วิปัสสนาภาวนา  ทำให้เกิดปัญญา ให้เป็นคนฉลาด รู้จักแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่มารุมเร้าจิตใจ  ผู้ที่มีปัญญาแล้วจะไม่มีความทุกข์กับเรื่องราวต่างๆ เพราะรู้ทัน ไม่ยึดไม่ติด อะไรจะเกิดก็เกิด อะไรจะมาก็มา อะไรจะไปก็ไป ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ เมื่อถึงเวลาเขาจะมาก็ห้ามเขาไม่ได้  เมื่อถึงเวลาเขาจะไปก็ห้ามเขาไม่ได้  เมื่อถึงเวลาจะตั้งท้องออกลูกก็ห้ามไม่ได้ เมื่อถึงเวลาจะตายก็ห้ามไม่ได้ เรื่องอะไรจะต้องไปวุ่นวาย  ไปทุกข์ไปกังวลกับเรื่องราวต่างๆ ก็เพราะเราขาดปัญญานั่นเอง

 

พอมีลูกก็คิดว่าเป็นลูกของเรา  พอเป็นลูกของเราก็อยากจะให้อยู่อย่างปลอดภัย อยู่อย่างสบาย อยู่ด้วยความสุข อยู่ไปนานๆ แต่ถ้าเป็นลูกของคนอื่น เป็นลูกของชาวบ้าน จะเป็นจะตายอย่างไร จะไม่เห็นเดือดร้อนเลย  ความแตกต่างกันอยู่ตรงไหน ก็อยู่ตรงที่ไปหลงคิดว่าเป็นลูกของเรา กับลูกของคนอื่นเราไม่หลงว่าเป็นลูกของเรา แต่ความจริงแล้วถ้ามีปัญญาจะเห็นว่าไม่เป็นของใครเลย ร่างกายนี้ไม่ได้เป็นของใคร มาจากดินน้ำลมไฟ เป็นของดินน้ำลมไฟ เมื่อตายไปก็กลับสู่ดินน้ำลมไฟ  ใจผู้มาครอบครองก็เดินทางต่อไป ไปหาร่างใหม่ตามบุญตามกรรม ทำบุญไว้มากก็ได้ร่างที่ดี  ทำบาปไว้มากก็จะได้ร่างที่ไม่ดี นี้คือปัญญา ถ้าเจริญปัญญาอยู่เรื่อยๆแล้ว จะไม่ลุ่มหลง  จะไม่ยึดไม่ติดกับอะไร จะไม่มีปัญหากับอะไรทั้งสิ้น   ใครต้องการอะไร ใครอยากจะได้อะไร ถ้ามีปัญญาเอาไปได้ก็เอาไป ถ้าเรามีปัญญารักษาไว้ได้ก็รักษาไป   ถ้าไม่มีปัญญาที่จะรักษาได้ ก็ต้องยอมรับ ยอมให้มันไป เท่านี้มันก็จบ ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น นี้คือบุญคือความสุขที่เกิดจาการมีปัญญา 

 

นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีบุญที่เกิดจากการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล วันนี้เรามาทำบุญ ก็ทำให้เรามีบุญอยู่ในใจ มีความสุข ก็สามารถแผ่บุญคือความสุขให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลายได้ ถ้ามีผู้รอรับอยู่ก็จะได้รับ จะมีความสุข  เราก็ได้ความสุขเพิ่มขึ้นมาอีก เพราะได้ทำให้ผู้อื่นมีความสุขถึงแม้จะไม่ได้เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่เขาก็เป็นสัตว์โลกเหมือนกับเรา มีจิตมีใจเหมือนกับเรา ต้องการความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนกับเราเมื่อให้ความร่มเย็นเป็นสุขกับเขา   เขาก็มีความสุข ก็ทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้นไปอีก    นี้คือบุญที่เกิดจากการอุทิศส่วนบุญส่วนกุศล    บุญอีกอย่างหนึ่งที่เราทำได้คือ บุญที่เกิดจากการรับใช้ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ก็ทำให้เรามีความสุข เวลาเห็นผู้อื่นเดือดร้อน ทุกข์ยากลำบาก เราพอที่จะช่วยเหลือได้ มีข้าวให้เขากิน มีเสื้อผ้าให้เขาใส่ มียาให้เขารักษาโรคภัยไข้เจ็บเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย  ถ้าไม่มีที่อยู่พอจะหาที่อยู่ให้เขาได้ก็จัดหาให้เขา ให้เขาอยู่อย่างสุขอย่างสบายบ้าง ถึงแม้จะเป็นชั่วครั้งชั่วคราว ก็ยังดีกว่าเมินเฉยไม่ดูแลกัน เวลาได้รับใช้ผู้อื่น ได้รับใช้สังคมแล้ว เราจะมีความสุขใจ  จึงมีมูลนิธิต่างๆเกิดขึ้นมา ทำหน้าที่เก็บศพของคนที่ตายในอุบัติเหตุ มีการบริจาคโลงศพให้กับผู้ยากไร้ เพราะคนเราทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายด้วยกันทั้งนั้น เมื่อตายแล้วก็ต้องมีโลงไว้เก็บ เอาไว้ฝัง เอาไว้เผา จะปล่อยให้นอนเหมือนสุนัขข้างถนน ก็จะเสียศักดิ์ศรีของมนุษย์ เสียศักดิ์ศรีของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่ไม่มีความเมตตากรุณาต่อกันเลย  นี้คือวิธีสร้างความสุขให้กับเรา ด้วยการรับใช้สังคม รับใช้ผู้อื่น ทำได้ตลอดเวลา เวลาไปเจอเหตุการณ์ที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็ให้ฉวยโอกาสเพราะจะได้มากกว่าเสีย  รับใช้ผู้อื่นอาจจะเสียเวลาบ้าง เช่นเรากำลังรีบแล้วมีเหตุการณ์ ที่ทำให้ต้องหยุดช่วยเหลือผู้อื่น เราเสียเวลาไปหน่อย แต่สิ่งที่ได้นั้นมีคุณค่ามากกว่าเวลาที่เสียไป  คือความสุขใจ  ความภูมิใจ ที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น  นี้คือสิ่งที่เราควรทำเมื่อมีโอกาสเพราะเป็นบุญเหมือนกัน ทำให้เรามีความสุข มีความภูมิใจ  มีความพอใจ

 

บุญต่อมาที่เราทำได้ก็คือ เป็นผู้อ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ รู้ที่สูงที่ต่ำ  เจอผู้ใหญ่ก็รู้จักไหว้รู้จักกราบ ให้ความเคารพ ไม่ว่าจะเจอใครก็จะไม่ยกตนข่มท่าน จะไม่ถือว่าตนเองวิเศษกว่าผู้อื่น จะคิดเสมอว่า     ถึงแม้เราจะฉลาด จะเก่ง จะดีขนาดไหนก็ตาม ก็ยังมีคนที่เก่งที่ฉลาดที่ดีกว่าเราอีก การมีความอ่อนน้อมถ่อมตนก็จะทำให้ผู้อื่นรักเรา ชื่นชมยินดีในตัวเรา ต่างกับคนที่ไม่มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นคนถือตัว จะไม่ค่อยมีใครอยากจะคบค้าสมาคมด้วย  เมื่อไม่มีคนชื่นชมยินดีในตัวเรา ไม่คบค้าสมาคมกับเรา ก็จะรู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงา ไม่มีความสุขแต่ถ้ามีคนชื่นชมยินดี มีคนคบค้าสมาคม เราจะมีความสุขใจ นี้คือบุญที่เกิดจากการมีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีสัมมาคารวะ 

 

บุญประการต่อมาก็คือบุญที่เกิดจากการได้ยินได้ฟังธรรม วันนี้เรามาวัดมาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน  ได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน เช่นได้ยินได้ฟังเรื่องของการทำบุญ ว่าทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน อยู่ในวัดก็ทำได้ อยู่นอกวัดก็ทำได้ อยู่บ้านก็ทำได้ อยู่ที่ไหนก็ทำได้ บุญอะไรที่ทำได้ตลอดเวลา ก็การระลึกถึงความตายนี้เอง ถ้าเราระลึกเสมอว่าเกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เราจะได้ไม่ประมาท จะได้รีบทำบุญทำกุศลกัน เพราะเมื่อตายไปเราจะได้ไปสู่ที่ดี ไปสู่สุคติ  แต่ถ้าไม่รีบทำ มัวแต่หลงกับความสุขเล็กๆน้อยๆ จากการได้กิน ได้เที่ยว ได้ดื่ม พอตายไปก็จะไปแบบขอทาน ไม่มีทรัพย์สมบัติคือบุญติดตัวไปเลย บุญและบาปเท่านั้นที่จะไปกับใจของเรา แต่สิ่งอื่นๆ เช่นสมบัติข้าวของเงินทอง สามี ภรรยา บุตรธิดา  พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เราเอาไปไม่ได้ ถ้าพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ก็จะไม่ตั้งอยู่ในความประมาท จะทำใจรับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เวลาจะตายก็จะไม่วุ่นวายใจ ไม่เดือดร้อนใจ เพราะเตรียมรับกับเหตุการณ์แล้ว เวลาแก่ก็ไม่เดือดร้อน เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวาย เพราะรู้ล่วงหน้าแล้วว่า จะต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาต้องพลัดพรากจากกัน ก็ไม่วุ่นวายใจเพราะเตรียมตัวเตรียมใจแล้ว อย่างวันนี้ญาติโยมมาที่นี้กัน ก็มาเจอกัน พอถึงเวลาแยกจากกัน ก็ไปอย่างสบาย  ไม่วุ่นวายเสียอกเสียใจแต่อย่างไร เพราะเตรียมตัวที่จะแยกจากกันแล้วนั่นเอง

 

เพราะความทุกข์เกิดจากการไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ ถ้าเตรียมตัวเตรียมใจแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่ทุกข์อย่างแน่นอน เวลาแก่ก็ไม่ทุกข์ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่ทุกข์  เวลาตายก็ไม่ทุกข์ นี้คือบุญที่เราสามารถทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ใดเวลาใด ถ้ามีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า นี่คือสิ่งที่เราควรทำอยู่เรื่อยๆ ทำแล้วมีความสุขใจ ทำให้กล้าหาญ ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะกลัวไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่ได้ไปห้ามความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่ให้เกิดขึ้น  มีแต่จะสร้างความทุกข์ให้กับจิตใจ ความไม่กลัวต่างหากที่จะทำให้จิตใจมีความกล้าหาญ มีความสบายใจ ไม่วุ่นวาย ไม่เดือดร้อน ไม่กังวลกับอะไรทั้งสิ้น นี่คือบุญที่เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ซึ่งจะรู้ได้เมื่อได้ฟังเทศน์ฟังธรรมกัน เพราะโดยปกติแล้ว เรื่องความตายไม่มีใครอยากจะคิดถึงกัน เวลาพูดเรื่องความตายกับคนที่ไม่รู้ธรรมะ จะหาว่าพูดเรื่องอัปมงคล พูดเรื่องไม่ดี แต่คนที่รู้ธรรมะเข้าใจธรรมะ จะรู้ว่านี้แหละคือเรื่องที่ดี เรื่องที่ประเสริฐ เรื่องที่วิเศษ พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่ได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ได้เป็นพระอรหันตสาวกขึ้นมา เพราะได้รำลึกถึงความตายอยู่เสมอๆนั่นเอง เพราะเมื่อระลึกแล้วจะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้ จะได้ปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ เมื่อถึงเวลาจากกัน จิตก็จะไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์กับอะไร

 

นี่คืออานิสงส์ที่จะได้รับจากการฟังเทศน์ฟังธรรม จะได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน สิ่งที่เคยได้ยินได้ฟังแล้วก็จะได้ตอกย้ำเข้าไปอีก ฟังหนเดียวพอออกจากวัดไปก็ลืมแล้ว  อย่างวันนี้เราได้ยินได้ฟังตั้งหลายเรื่องด้วยกัน พอออกจากวัดไปแล้ว ไปคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ลืมแล้วว่าได้ยินได้ฟังอะไรไปบ้าง จึงต้องกลับมาฟังอยู่เรื่อยๆ   ฟังบ่อยๆ จะได้เป็นมงคลขึ้นมา ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า กาเลน ธัมมัสวนัง เอตัมมัง กลมุตตมัง    การฟังธรรมตามกาลตามเวลาเป็นมงคลอย่างยิ่ง อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งก็ต้องฟังธรรมกันสักครั้งหนึ่ง วันพระ วันศีล วันฟังธรรมนี้ เป็นวันที่เราควรมาฟังในเรื่องที่ดี ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ ดีกว่าฟังเรื่องไร้สาระตามสถานีวิทยุต่างๆ พูดไปก็มีแต่นินทากาเล  มีแต่โฆษณา ขายข้าวขายของ เพื่อไปกระตุ้นให้เกิดกิเลสเกิดตัณหาเกิดความอยาก แล้วก็เกิดความทุกข์ตามมา  เมื่ออยากแล้วไม่ได้สิ่งที่ตนอยาก แต่ฟังธรรมะแล้วจะสอนให้ละความโลภ ความโกรธ ความหลง   ความอยากต่างๆ  เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมีข้าวของมากมายก่ายกอง มีปัจจัย ๔  คืออาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่มก็พอแล้ว อยู่ได้ มีความสุขได้แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องมีอะไรมากไปกว่านี้

 

แต่เนื่องจากความหลง พอได้ยินเขาโฆษณาว่า สิ่งนั้นดีสิ่งนี้ดี ก็อยากจะได้ พอได้มาแล้วมันเป็นอย่างไร ดีตามที่โฆษณาหรือไม่ หรือกลับมาสร้างความทุกข์ให้กับเรา อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้เราจนลงไป เพราะต้องหมดเงินทองไป ถ้าไม่ระมัดระวังก็จะไม่มีเงินเหลือใช้  สู้ฟังเทศน์ฟังธรรมไม่ได้ เพราะมีประโยชน์มีสาระ ต้องฟังบ่อยๆ ฟังหนเดียวยังไม่พอ ต้องฟังเรื่อยๆ  ถ้าอยู่ที่บ้านมีการแสดงธรรมผ่านทางโทรทัศน์ทางวิทยุ ก็ควรดูกันฟังกัน ส่วนใหญ่มักจะเปลี่ยนสถานีกัน เวลาพระออกมาเทศน์ก็จะกดรีโมทกัน ชอบดูหนังมากกว่า ชอบดูคนยิงกันฆ่ากัน เบียดเบียนทำลายกัน ดูแล้วสนุก  แต่ไม่เคยคิดว่าถ้าเราถูกเขาฆ่าถูกเขาทำร้ายบ้างจะเป็นอย่างไร แทนที่จะดูธรรมะที่สอนไม่ให้เบียดเบียนกัน ให้มีความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน สังคมเราจึงมีแต่การฆ่ากันทำลายกันเบียดเบียนกันตลอดเวลา  เพราะรับจากสื่อต่างๆ  ที่ฝังเข้าไปในจิตในใจของเรา พอเกิดความเสียใจเกิดความโกรธขึ้นมา ก็จะทำตามสิ่งที่ได้เห็นได้ดูกัน ผลร้ายจึงเกิดขึ้นกับตัวเรา ถ้าไม่ถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางก็จะถูกฆ่าตายไป เพราะไม่ชอบฟังเทศน์ฟังธรรมกัน เราจึงควรบังคับตัวเราให้ฟังเทศน์ฟังธรรมกันอยู่เรื่อยๆ จะได้เกิดปัญญา มีความฉลาด รู้จักวิธีดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง รักษาจิตใจให้สงบ ไม่ให้วุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ  นี้คือบุญที่เราสามารถทำได้ตลอดเวลา  

 

บุญประการต่อมาคือการมีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นว่าบาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง สวรรค์มีจริง ตายแล้วต้องไปเกิด เกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย เวียนว่ายตายเกิดไปอยู่เรื่อยๆ  ในภพน้อยภพใหญ่ ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ทำไว้ ถ้าทำบุญก็ได้ไปสู่สุคติทำบาปก็ไปสู่ทุคติ นี้คือความเห็นที่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ควรทำความเข้าใจอยู่เสมอๆ ให้มีความเชื่อมั่นว่าเป็นความจริงอย่างแท้จริง เมื่อเชื่อจริงๆแล้วจะได้ไม่กล้าทำบาป  จะทำแต่บุญอย่างเดียว เมื่อทำแต่บุญอย่างเดียวก็จะมีแต่ความสุขตามมา นี้ก็คือบุญที่เกิดขึ้นจากการมีความเห็นที่ถูกต้อง

 

ประการสุดท้ายก็คือบุญที่เกิดจากการเผยแผ่ธรรม อย่างวันนี้เรามาฟังธรรมะแล้ว  เราก็ได้รู้อะไรดีๆ ถ้าไปเจอคนที่มีความทุกข์ใจ  มีความวุ่นวายใจ เศร้าโศกเสียใจ ก็เอาธรรมะที่ได้ยินได้ฟังไปสอน ไปแจกจ่ายให้กับเขา  ให้เขารู้จักปลง รู้จักวาง รู้จักลดละความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ถ้ารับไปทำได้ก็จะเกิดความสุขขึ้นมา เราก็จะดีใจ มีความสุขด้วย  นี่คือการทำบุญด้วยการเผยแผ่ธรรมะ 

 

บุญทั้งหมดนี้เราสามารถทำได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่สถานทีใดเวลาใด จึงไม่ควรรอวันลอยกระทง  รอวันพระ รอวันอาทิตย์ ควรจะทำตลอดเวลา   ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำได้ตลอดเวลา  ตอนนี้ไม่รู้จะทำอะไรก็ระลึกถึงความตายไปเรื่อยๆ เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ถ้าเจอคนเดือดร้อนพอจะช่วยได้ก็ช่วยไป  ตื่นเช้าขึ้นมาเห็นพระเดินบิณฑบาตก็หาอะไรมาใส่บาตร อย่างนี้ก็ได้ทำบุญตลอดเวลา เพราะการทำบุญเป็นเหมือนกับการหายใจ ถ้าไม่หายใจเพียงไม่กี่วินาทีร่างกายก็ตาย  ฉันใดบุญก็เป็นเหมือนกับลมหายใจของใจ ถ้าไม่ได้รับบุญแล้วใจก็จะเหี่ยวแห้ง เศร้าสร้อยหงอยเหงา ไม่มีความสุข แม้จะมีเงินทองกองเท่าภูเขาก็ตาม มีตำแหน่งสูงขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่มีบุญมาหล่อเลี้ยงแล้ว จิตใจจะมีแต่ความเศร้าหมอง  นี้คือความสำคัญของบุญที่เราไม่ควรจะมองข้ามไป ถ้าอยากจะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข อยู่อย่างอิ่มอย่างพอ อยู่อย่างแคล้วคลาดปลอดภัย ก็ต้องหมั่นทำบุญอยู่เรื่อยๆ จะได้ไม่ต้องไปขอความสุขจากใคร 

 

เพราะเมื่อมีบุญแล้ว จะทำให้จิตใจมีความอิ่ม มีความพอ ถึงแม้จะไม่มีสมบัติข้าวของเงินทอง จะเป็นจะตายอย่างไร ก็ไม่เดือดร้อน เพราะใจไม่ได้เป็นร่างกาย  จะตายก็ไม่ไปขอความเมตตาจากใคร จะเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไม่ไปขออะไรจากใคร เพราะใจไม่หวั่นไหวกับเรื่องเหล่านี้ รู้ว่าอย่างไรก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี  เป็นมหาเศรษฐีก็หนีไม่พ้นความเจ็บไข้ได้ป่วย ความตาย  จะมีเงินทองรักษามากมายเพียงไร ก็รักษาไม่หาย เมื่อเจอโรคที่ไม่มียาอะไรในโลกนี้จะรักษาได้  มีแต่ฟืนกับไฟเท่านั้นที่จะรักษาโรคนี้ได้ จึงอยากให้ท่านทั้งหลายจงเห็นความสำคัญของบุญและกุศล มากกว่าสิ่งต่างๆทั้งหลายในโลกนี้ นี้คือความเห็นที่ถูกต้อง  ถ้ามีความเห็นอย่างนี้แล้วก็จะพาไปสู่การทำบุญทำกุศล  เมื่อได้ทำแล้วก็จะนำมาซึ่งความสุข ความอิ่ม ความพอ ความปลอดภัยจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลาย  จึงขอฝากเรื่องการทำบุญอย่างสม่ำเสมอ ให้ท่านนำไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้