กัณฑ์ที่ ๒๖๙       ๓ ธันวาคม ๒๕๔๙

 

ดูการกระทำเป็นหลัก

 

 

วันนี้เป็นเหมือนวันพระของคนในยุคปัจจุบันนี้ เนื่องจากวันหยุดทำงานไม่ตรงกับวันขึ้นแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ จึงถือเอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันบำเพ็ญบุญกุศล แทนวันขึ้นแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ  เพราะต้องไปทำงาน จึงใช้วันเสาร์วันอาทิตย์แทนวันพระ ก็ใช้ได้เหมือนกัน เพราะวันพระมีเป้าหมายอยู่ตรงที่ ให้มีเวลาว่างจากภารกิจการงานต่างๆ เพื่อบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล ซึ่งเป็นอาหารของใจ  ที่เป็นเหมือนร่างกาย จะอยู่ปราศจากอาหารไม่ได้ ใจอยู่ปราศจากบุญกุศลไม่ได้ เพราะถ้าขาดบุญขาดกุศลแล้ว ใจจะเหี่ยวแห้งอับเฉาเศร้าสร้อยหงอยเหงา  ไม่สดชื่นเบิกบานร่าเริง ไม่มีความอิ่ม ไม่มีความสุข แต่ถ้าได้บำเพ็ญบุญกุศลอย่างสม่ำเสมอแล้ว จิตใจจะมีความร่มเย็นเป็นสุข มีความสบาย เบิกบาน ร่าเริง ดังนั้นเมื่อเรามีเวลาว่าง ในวันเสาร์วันอาทิตย์ เราจึงควรถือวันใดวันหนึ่งให้เป็นวันบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศล มาวัดเพื่อมาทำบุญทำทาน  รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่กำลังแห่งสติปัญญาศรัทธาความเพียร เท่าที่จะสามารถทำได้ เพราะการกระทำเป็นเหตุที่จะนำผลต่างๆมา ไม่ว่าจะเป็นความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี  ความเจริญก็ดี  ความเสื่อมก็ดี  นรกก็ดี  สวรรค์ก็ดี ล้วนเกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น เพราะหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น สอนตรงที่กรรมคือการกระทำ  ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว กรรมเป็นเครื่องจำแนกแยกสัตว์ให้สูงให้ต่ำ การที่เราเกิดมามีฐานะแตกต่างกัน มีสติปัญญาไม่เท่ากัน มีกำลังทรัพย์ไม่เท่ากัน มีรูปร่างหน้าตาไม่เท่ากัน มีอายุขัยไม่เท่ากัน ก็เกิดมาจากการกระทำในอดีตนั่นเอง เป็นเหตุทำให้เป็นอย่างที่เป็นกันอยู่ทุกวันนี้  

 

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ดูการกระทำของเราเป็นหลัก คือการกระทำทางกายทางวาจาและทางใจ เพราะจะนำมาซึ่งผลต่างๆ ถ้าไม่ดูแล้วปล่อยให้ทำไปตามอารมณ์ ที่มีทั้งดีและไม่ดี ถ้าอารมณ์ดีก็จะผลักดันให้กระทำในสิ่งที่ดี  อารมณ์ไม่ดีก็จะผลักดันให้ไปทำในสิ่งที่ไม่ดี เมื่อทำไปแล้วก็จะมีผลตามมา  จะต้องการผลนั้นหรือไม่ ก็ห้ามไม่ได้ เพราะเมื่อเหตุได้ทำไปแล้ว ผลต้องตามมาอย่างแน่นอน แต่ถ้าคอยเฝ้าดูการกระทำทางกายทางวาจาและทางใจอยู่เสมอ ว่าจะไปในทิศทางใด ถ้าไปในทางที่ดีก็ส่งเสริมให้ทำเลยให้พูดเลย ถ้าไปในทางที่ไม่ดีก็ต้องระงับ ต้องต่อสู้ ต้องขัดขวาง ไม่ให้ไปทำ เมื่อสามารถควบคุมการกระทำของเราได้แล้ว ต่อไปผลที่ทุกคนปรารถนา คือความสุข ความเจริญ ความร่มเย็นเป็นสุข ก็จะเป็นผลที่ตามมา ส่วนความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ความเดือดร้อนวุ่นวายต่างๆ ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา  เพราะไม่มีเหตุที่จะทำให้เกิดขึ้นมานั่นเอง  ถ้าจะเชื่ออะไรก็ขอให้เชื่อหลักกรรมคือการกระทำ   กรรมนี้แหละเป็นสัจธรรมความจริงที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทั้งในอดีตที่ผ่านมาและในอนาคตที่จะตามมา ได้ตรัสรู้เห็นอย่างแจ้งชัด ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดจากกรรมทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะไปเกิดเป็นอะไร ก็มีกรรมเป็นผู้พาให้ไปเกิด เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เพราะกรรมดีพาให้ไปเกิด เป็นเดรัจฉาน เป็นสัตว์นรก เพราะบาปกรรมพาให้ไปเกิด เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้เห็นอย่างแจ้งชัด  ไม่สงสัย เหมือนกับเราเห็นสิ่งต่างๆในศาลาแห่งนี้ ว่ามีอะไรอยู่บ้าง มีคนมากน้อยเพียงไร มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ตรงไหน เราเห็นได้กับตาของเราอย่างชัดเจนอย่างไร  เรื่องบุญกรรม เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายจะเห็นได้อย่างชัดเจนเหมือนกัน

 

เมื่อทรงรู้ทรงเห็นอย่างชัดเจนแล้วก็ทรงนำเอามาเผยแผ่ สั่งสอนพวกเราที่ยังมืดบอด  ยังไม่เห็น ยังสงสัย ในเรื่องบาปบุญ นรกสวรรค์ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด ให้นำเอาไปพิสูจน์ เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น เป็นสิ่งที่คนตาดีเห็นแล้วก็มาบอกคนตาบอด ซึ่งแม้จะได้ยินได้ฟังมากน้อยเพียงไร ตาก็ยังมืดมิด ยังไม่เห็นอยู่ดี จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เท่ากันตรงที่ว่ายังไม่เห็นอยู่ดี  แต่ถ้าเชื่อแล้วนำไปปฏิบัติ ต่อไปตาจะสว่างขึ้นมาแล้วจะเห็นสิ่งต่างๆ  เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แต่ถ้าไม่เชื่อ ไม่ปฏิบัติตาม  ก็จะไม่เห็นอะไร เพราะตาจะไม่สว่างขึ้นมาได้เลยเพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนั้น เป็นเครื่องมือที่จะเบิกตาให้สว่างขึ้นมานั่นเอง ให้มีดวงตาเห็นธรรม ให้มีแสงสว่างแห่งปัญญา ที่สามารถมองทะลุปรุโปร่ง ลึกซึ้ง กว้างขวาง กว้างไกล กว่าตาธรรมดาที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้  ที่เห็นแต่รูปหยาบๆเท่านั้น แต่รูปที่ละเอียด เสียงที่ละเอียดและสิ่งที่ละเอียดต่างๆ  เช่นรูปทิพย์เสียงทิพย์ จะไม่อยู่ในวิสัยของตาเนื้อจะเห็นได้  แต่จะเห็นได้จากตาทิพย์ ที่จะเกิดขึ้นได้ ถ้านำเอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาปฏิบัติ ตั้งแต่ขั้นต่ำขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุด แล้วเราก็จะเห็นอย่างพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น  เมื่อเห็นแล้วก็จะได้หลุดพ้นจากการกระทำผิด   จะทำแต่ความดี เมื่อเป็นเช่นนั้นผลของการกระทำผิดก็จะไม่เกิดขึ้น คือความทุกข์ ความเสื่อมเสียทั้งหลาย ก็จะไม่มีอยู่ในใจของเราอีกต่อไป  จะมีแต่ความสุข ความสบาย ความอิ่ม ความพอไปตลอด 

 

นี้คือสิ่งที่จะได้รับถ้ามีศรัทธาความเชื่อ ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วนำเอาไปปฏิบัติตามกำลังที่จะสามารถปฏิบัติได้ในขณะนี้ แล้วก็พยายามขยับขึ้นไปทีละเล็กทีละน้อย เหมือนกับเด็กที่หัดเดิน ในเบื้องต้นก็คลานไปก่อน แล้วต่อมาก็ค่อยๆลุกขึ้นมายืน แล้วก็ค่อยๆเดินทีละก้าวสองก้าว ต่อไปก็เดินได้วิ่งได้อย่างสบาย การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ต้องใช้เวลา ความอดทน ความพยายาม ที่จะตะเกียกตะกายปฏิบัติไปทีละเล็กทีละน้อย จากน้อยไปหามาก  จนสามารถปฏิบัติได้เต็มที่ เหมือนกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ปฏิบัติกัน   เมื่อปฏิบัติได้เต็มที่แล้ว ก็จะเห็นสิ่งต่างๆ รู้สิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายทรงรู้ทรงเห็นกัน  จะเห็นเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนรกสวรรค์   จะเห็นสัตว์โลกที่ทำบาปทำกรรมนั้น ตายไปแล้วจะต้องไปเกิดเป็นอะไร  เราจะเห็นสัตว์โลกที่ทำบุญทำกุศล เมื่อตายไปจะไปเกิดเป็นอะไร  สิ่งเหล่านี้จะไม่ถูกปกปิดอีกต่อไป เมื่อจิตมีดวงตาเห็นธรรม ก็จะเหมือนกับคนที่อยู่ในที่มืด พอเปิดไฟขึ้นมา ก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน เพราะความมืดที่ปกปิดอยู่นั้นได้ถูกแสงสว่างทำลายไปหมดแล้ว ฉันใดมิจฉาทิฏฐิความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว  เห็นว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี  เห็นว่าตายไปแล้วสูญ  จะถูกทำลายไปกับความมืดบอดเมื่อมีดวงตาเห็นธรรม มีแสงสว่างแห่งปัญญาปรากฏขึ้นมา ที่เกิดจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ   เริ่มต้นตั้งแต่มีความกตัญญูกตเวที  สัมมาคารวะ  เสียสละ ศีล สมาธิ  ปัญญา 

 

เมื่อปฏิบัติไปถึงขั้นปัญญาแล้ว แสงสว่างแห่งธรรมก็จะปรากฏขึ้นมาให้เห็นเอง แล้วจะไม่สงสัยในเรื่องบาปเรื่องกรรม ไม่สงสัยเรื่องพระนิพพานว่าเป็นอย่างไร  ไม่สงสัยว่าความสุขที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน  จะไม่หลงงมงายกับความสุขที่หลงกันอยู่ทุกวันนี้    คือความสุขจากลาภยศสรรเสริญ จากกามคุณ ๕  เพราะจะไม่มีความดูดดื่มกับจิตใจอีกต่อไปเพราะจะเห็นด้วยปัญญาว่าไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่เคลือบความทุกข์นั่นเอง  เหมือนกับยาขมเคลือบน้ำตาล  เวลาน้ำตาลละลายหมดไปแล้วก็เหลือแต่ความขมขื่น ความสุขทางโลกก็เป็นเช่นนั้นเป็นเหมือนน้ำตาลเคลือบความทุกข์  เวลาได้อะไรมาใหม่ๆ  เช่นเวลาแต่งงานใหม่ๆ ก็มีความสุข พอเวลาผ่านไปก็ละลายจืดจางหายไป เหลือแต่ความขมขื่นตามมา เพราะอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน คนเราเปลี่ยนได้ อารมณ์ของคนเปลี่ยนได้  วันนี้อารมณ์ดี พรุ่งนี้อารมณ์ไม่ดี เวลาได้อะไรมาแล้วก็จะไม่ค่อยสนใจดูแลรักษา ไม่เหมือนกับตอนที่ยังไม่ได้มา จะพยายามทำทุกวิถีทางให้ได้มา  ถ้าต้องทำตัวให้ดีก็จะทำ ถ้าจะต้องเอาใจผู้อื่นก็ยินดีทำ แต่เมื่อมาแล้วก็จะไม่มีความจำเป็นต้องไปทำต่อไป   ธาตุแท้ก็จะค่อยๆโผล่ออกมา คือ ความเห็นแก่ตัว  ความเอารัดเอาเปรียบ  ความเอาใจตัวเอง เมื่อโผล่ออกมาแล้วก็จะทำให้เกิดความเบื่อหน่ายเกิดขึ้นตามมา เคยได้รับการเอาอกเอาใจ เดี๋ยวนี้ไม่ได้รับการดูแลแล้ว ก็จะเกิดความเสียใจเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา 

 

นี้คือความจริงของชีวิต ความสุขในโลกนี้จะเป็นแบบนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนหรือวัตถุต่างๆ  ก็จะเป็นแบบนี้ เวลาใหม่นี้ทุกอย่างดีไปหมด แต่พอเริ่มเก่าแล้วก็เริ่มชำรุดทรุดโทรม เริ่มดูไม่ดี  เริ่มมีปัญหา เริ่มมีภาระที่ต้องคอยดูแลซ่อมแซมรักษา เป็นสิ่งที่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าจะเห็นได้อย่างชัดเจน  เมื่อเห็นแล้วก็จะรู้ว่าความสุขในโลกนี้ไม่ได้เป็นความสุขเลย ล้วนเป็นความทุกข์ทั้งสิ้น สู้ความสุขที่ได้จากการทำความดีไม่ได้  เช่นความกตัญญูกตเวที เวลาได้รับใช้ได้ดูแลพ่อแม่  ได้ทดแทนบุญคุณของพ่อแม่ จะมีความสุข มีความภูมิใจ   เวลามีความอ่อนน้อม มีสัมมาคารวะต่อผู้หลักผู้ใหญ่ จะมีความสุขสบายใจ  เวลาเสียสละจะมีความภูมิใจ  เวลารักษาศีลไม่เบียดเบียนผู้อื่น จะมีความมั่นใจ มีความสุขใจ   เวลาทำจิตใจให้สงบเป็นสมาธิ จะพบความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นความสุขที่ละเอียดปราณีต เป็นความสุขที่มีอานุภาพมาก ในขณะที่ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะไม่รู้สึกเจ็บไปกับร่างกาย ใจยังมีความสุขอยู่ ถ้าได้เจริญปัญญาจนรู้แจ้งเห็นจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ได้เป็นสิ่งที่ควรจะยึดติด ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของตน ก็จะพบกับสุขที่ประเสริฐที่สุด ที่เกิดจากการหลุดพ้นอย่างถาวร เพราะถ้าเห็นด้วยปัญญาแล้วก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งต่างๆ จะปล่อยวางให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามความจริง  จะเกิดก็ให้เกิด จะอยู่ก็ให้อยู่ จะตายก็ให้ตาย ไม่ไปทุกข์ ไม่ไปเดือดร้อน ไม่ไปยินดียินร้าย กับการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปของสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม  จะใหญ่หรือเล็กก็ตาม ใจจะไม่มีความหวั่นไหวกับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งต่างๆ

 

เพราะใจเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรจะสามารถทำลายได้  ใจเป็นนามธรรม แม้ระเบิดนิวเคลียร์ก็ไม่สามารถทำลายใจได้ ทำลายได้แต่วัตถุกับคนเท่านั้น เพราะใจเป็นธรรมชาติที่ไม่ตาย เพียงแต่มาเกาะติดอยู่กับสิ่งที่ตายคือร่างกาย แล้วก็หลงยึดติดว่าร่างกายเป็นใจ เป็นตัวเป็นตน    เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว  พอร่างกายเป็นอะไรขึ้นมาก็เกิดความทุกข์ร้อนขึ้นมาทั้งๆที่ใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกายเลย  ร่างกายจะแก่ใจก็เหมือนเดิม ไม่ได้แก่ตามร่างกายไป  ร่างกายจะเจ็บอย่างไรใจก็ไม่ได้เจ็บตามร่างกายไป  แต่ถ้าไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน จนถึงขั้นปัญญาแล้ว จะไม่สามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้  แต่ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆจนถึงขั้นปัญญา จะเห็นทันทีว่าใจกับกายเป็นคนละส่วนกัน ใจไม่ได้เป็นร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลกนี้ไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริงของใจ ใจไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามความต้องการได้ตลอด  อยากจะให้เป็นอย่างนั้น อยากจะให้เป็นอย่างนี้ ก็เป็นได้บางครั้งบางคราวบางเวลา แต่จะให้เป็นไปตลอดย่อมเป็นไปไม่ได้  เช่น ทำมาค้าขายก็ขอให้กำไรไปตลอดไม่ขาดทุนเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้  ให้เจริญไปตลอดไม่เสื่อมเลย ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะในโลกนี้มีความเจริญกับความเสื่อมเป็นของคู่กัน พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนว่าโลกธรรม ๘ มีอยู่  ๔ คู่ด้วยกัน คือลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีทั้งเจริญและมีทั้งเสื่อม  มีการเจริญลาภก็มีการเสื่อมลาภ มีการเจริญยศก็มีการเสื่อมยศ มีสรรเสริญก็มีนินทา  มีสุขก็มีทุกข์สลับกันไป

 

อยู่ในโลกนี้จะต้องเป็นอย่างนี้ ใจที่ฉลาดจะรู้ทัน จะไม่หลง ไม่ยึดไม่ติดกับโลกธรรมทั้ง ๘ จะเจริญก็ไม่ดีอกดีใจ  จะเสื่อมก็ไม่เสียอกเสียใจ เพราะไม่ยึดติด ไม่ต้องการให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้นั่นเอง ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ เหมือนกับปล่อยให้ดินฟ้าอากาศเป็นไปตามสภาพ  ไม่ได้อยากให้ฝนตกหรือไม่ตก ไม่ได้อยากให้แดดออกหรือไม่ออก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ก็จะไม่เดือดร้อน เวลาฝนตกก็ไม่เดือดร้อน เวลาแดดออกก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้ายึดมันถือมั่นกับแดดกับฝนแล้วจะลำบาก  เพราะเวลาอยากให้ฝนตกแล้วไม่ตก ก็จะเดือดร้อน เวลาอยากให้แดดออกแล้วไม่ออกก็จะเดือดร้อน  จะวุ่นวายใจ  ความทุกข์ความวุ่นวายใจกับสิ่งต่างๆ เกิดจากความอยากทั้งนั้น อยากให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากให้คนนั้นคนนี้ เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ พอไม่ได้ดังใจก็เสียใจวุ่นวายใจ แต่ถ้ารู้จักทำใจ ปล่อยให้เป็นไปตามสภาพ จะเป็นอย่างไรก็เรื่องของเขา อยากจะได้อะไรก็ทำไปตามความสามารถก็แล้วกัน ถ้าได้ก็ดีไป ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียใจ เพราะไม่เป็นสิ่งที่อยู่ในวิสัย ที่จะควบคุมบังคับได้  เหมือนกับแทงหวยแทงลอตเตอรี่ จะบังคับให้ออกตามเลขที่แทงไม่ได้  ฉันใดชีวิตของเราก็เป็นอย่างนั้น ถ้าปล่อยวางไม่ยึดไม่ติดได้ ก็จะไม่ทุกข์กับอะไร มีหน้าที่ต้องทำอะไร ก็ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกันตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังต้องทำ  มีหน้าที่ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็ทำให้ดีที่สุด ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ได้มามากน้อยเพียงไรก็ให้พอใจ 

 

เรื่องการปฏิบัติธรรมก็เช่นเดียวกัน ก็ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทรงสอนให้ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อมก็ทำไป ทำให้มากๆ ทำให้สุดความสามารถ จะได้มากได้น้อยก็ทำไปเรื่อยๆ  จะได้มากขึ้นไปเรื่อยๆเอง ส่วนบาปกรรมที่ทรงสอนให้ลดให้ละให้ตัด ก็ต้องทำเหมือนกัน ต้องตัดต้องละอบายมุขต่างๆ เช่นการเสพสุรายาเมา   เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร  ก็ต้องพยายามละ พยายามเลิก  ทรงสอนให้ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ  ก็ต้องละเช่นเดียวกัน  นี้คือหน้าที่ของเรา เป็นสิ่งที่เราทำได้ ถ้าทำแล้วจิตใจจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ  ความทุกข์จะน้อยลงไป ความสุขจะมีมากยิ่งๆขึ้นไป เพราะความสุขที่แท้จริงอยู่ในใจของเรา ไม่ได้อยู่ที่ไหน  เกิดจากการควบคุมจิตใจให้ตั้งอยู่ในสิ่งที่ดีที่งาม ให้อยู่ห่างไกลสิ่งที่ไม่ดีไม่งามทั้งหลาย อยู่ที่การชำระความโลภ  ความโกรธ ความหลง ให้เบาบางลงไปตามลำดับจนหมดสิ้นไป  นี้คือหน้าที่ของเราเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ด้วยกันทุกคน ทำได้มากน้อยเพียงไร ความสุขความเจริญก็จะมีมากขึ้นไปเพียงนั้น เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่เสมอ แต่ความอยากรวย  อยากให้มีคนรัก สรรเสริญเยินยอยกย่อง อยากให้มีความสุขไปทุกวัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรขวนขวายเพราะบังคับไม่ได้ ทำมาตั้งแต่เกิดจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่ได้ดังใจ บางวันก็ได้ความสุขบางวันก็ได้ความทุกข์  บางวันก็ได้ลาภบางวันก็ไม่ได้  เพราะไม่อยู่ในวิสัยที่จะควบคุมบังคับได้นั่นเอง 

 

แต่สิ่งที่เราสามารถทำให้เกิดขึ้นมาในใจของเราได้ ก็คือความดีงามความสุขความเจริญของใจ  ด้วยการมาวัดบ่อยๆ   ดังที่ท่านทั้งหลายได้กระทำกันในวันนี้ ขอให้มากันบ่อยๆ มาทำบุญบ่อยๆ  เวลากลับบ้านเราไม่ได้อยู่ที่วัดก็ยังสามารถทำความดีได้  มีอะไรที่ทำได้ก็ทำไป มีอะไรที่ไม่ดีที่ควรหักห้ามจิตใจก็ควรหักห้าม อยู่ที่ไหนก็ละความโลภความโกรธความหลงได้ เวลาโลภก็อย่าไปโลภตาม เวลาโกรธก็หักห้ามจิตใจไว้ อย่าไปโกรธตาม  เวลาหลงก็หักห้ามจิตใจไว้ อย่าไปหลงตาม ให้พิจารณาด้วยปัญญาว่าไม่มีอะไรควรยึดติด ยินดี อยากมี อยากได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนมีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่ด้วยกันทั้งนั้น มีความสุขเพียงผิวเผิน ส่วนใหญ่จะเป็นความทุกข์เสียมากกว่า  ถ้าไม่อยากได้อะไร ไม่ยินดีกับอะไร ก็จะไม่หลง จะไม่ทุกข์ ส่วนใหญ่จะหลงกัน จะรักสิ่งนั้นรักคนนี้ อยากจะให้อยู่กับเราไปตลอด  แต่ก็ไม่ได้ดังใจ เพราะไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนในโลกนี้    นี้คือสิ่งที่ควรสอนตนและปฏิบัติให้ได้  สร้างความสุขในใจดีกว่า เป็นสิ่งที่เราทำได้ เป็นสิ่งที่จะอยู่กับเราไปตลอด ถึงแม้ตายไปความดีและความสุขที่มีอยู่ในใจ ก็ไม่ได้ถูกทำลายไปกับร่างกาย จะติดไปกับใจ พาให้ไปเกิดที่ดี ไปสู่สุคติ  จะได้บำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลต่อ ดังที่ท่านทั้งหลายได้มากระทำกันในวันนี้  

 

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบุญในอดีตที่ได้ทำกันไว้ เป็นตัวผลักดันให้มาทำต่อให้มาสร้างบุญสร้างกุศลต่อ เพราะได้สัมผัสแล้วมีความพอใจ มีความยินดี จึงขอให้บำเพ็ญไปเรื่อยๆ อย่าเห็นอะไรในโลกนี้มีความสำคัญกว่าการบำเพ็ญบุญและกุศล เพราะเป็นสมบัติที่แท้จริง เป็นของแท้ไม่ใช่ของปลอม เหมือนกับสมบัติต่างๆในโลกนี้ เป็นเหมือนของปลอม เพราะไม่ช้าก็เร็วก็จะจากเราไป แต่บุญและกุศลจะไม่หายจากเราไป จะอยู่กับเราและเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆจนเต็มหัวใจ เหมือนกับหัวใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่ถึงจุดสูงสุดของความสุข เพราะการบำเพ็ญบุญและกุศลนี้เอง ถึงความสิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลาย เพราะการละบาปบำเพ็ญบุญนี้เอง  ขอให้มีความเชื่อ ความมั่นใจ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน และปฏิบัติให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ แล้วการได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้มาเจอพระพุทธศาสนา จะไม่เป็นการเสียชาติเกิด เพราะจะได้รับประโยชน์ที่สูงสุด จึงขอฝากเรื่องการบำเพ็ญบุญกุศลอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมา ให้ท่านนำไปประพฤติปฏิบัติต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้