กัณฑ์ที่ ๒๗๐        ๙ ธันวาคม ๒๕๔๙

 

 

แก้ปัญหาของสังคมที่ตัวเรา

 

 

 

สังคมของมนุษย์เรามีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน  ความดีของคนหนึ่งมีอิทธิพลทำให้ผู้อื่นดีตามได้ เพราะการกระทำความดีทำให้เกิดผลดีกับผู้กระทำเองและกับผู้อื่น ในทางตรงกันข้ามการกระทำความไม่ดีก็จะทำให้เกิดผลไม่ดีกับผู้กระทำเองและกับผู้อื่นเช่นเดียวกัน  ทุกวันนี้ปัญหาของสังคมมีมาก เพราะไม่รู้วิธีแก้กัน มักจะแก้ผิดที่กัน คือแก้ที่ผู้อื่น  ความจริงแล้วต้องมาแก้ที่ตัวเรา เพราะปัญหาทั้งหมดออกมาจากตัวเราทั้งนั้น  ถ้าทุกคนทำความดีกันแล้ว รับรองได้ว่าสังคมจะไม่มีปัญหาอะไร  แต่แทนที่จะมาแก้ปัญหาที่ตัวเรา  กลับไปแก้ที่ผู้อื่น  ทำให้เกิดการต่อต้าน เพราะไม่มีใครชอบให้ใครมาแก้ปัญหาของตน  ทั้งๆที่รู้ว่าตนไม่ดี แต่ไม่ชอบให้ใครตำหนิว่ากล่าวตักเตือนบังคับ ให้ปรับปรุงแก้ไข การแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด จึงต้องแก้ที่ตัวเรา ดูพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง ก่อนที่จะไปแก้ปัญหาของผู้อื่น ทรงแก้ปัญหาของพระองค์ก่อน  ด้วยการกำจัดต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหลาย ให้หมดไปจากจิตจากใจก่อน  คือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ  ที่สร้างปัญหาให้กับสังคม  สร้างปัญหาให้กับสัตว์โลก แต่สัตว์โลกกลับมองไม่เห็นกัน  กลับไปเห็นว่าปัญหาอยู่ที่คนนั้นอยู่ที่คนนี้ ก็พยายามไปแก้  เมื่อไปแก้ก็มีปัญหาต่างๆตามมา เพราะผู้ที่ถูกแก้ไม่ยอมให้แก้  จึงเกิดการต่อสู้ต่อต้าน เป็นปัญหาใหม่เพิ่มขึ้นมา   ถ้าทุกคนรู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ตรงไหน และแก้ให้ถูกจุดแล้ว รับรองได้ว่าสังคมจะไม่มีปัญหาอะไร  ทุกคนต้องแก้ที่ตัวเราเอง แก้ความโลภ ความโกรธ ความหลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งความหลง ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งหมด

 

เมื่อหลงแล้วก็เกิดความโลภ เมื่อไม่ได้ดังใจก็เกิดความโกรธ  ถ้าไม่หลงก็จะไม่โลภ เมื่อไม่โลภก็จะไม่โกรธ เพราะไม่ได้อยากได้อะไร เมื่อไม่อยากได้อะไร  เวลาไม่ได้อะไรก็ไม่เสียใจ  ไม่โกรธแค้นโกรธเคือง  เราจึงต้องแก้ความหลงของเรา  ที่มีอยู่หลายระดับด้วยกันก่อน ระดับพื้นๆ ก็คือ ไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรเป็นสิ่งที่จำเป็น อะไรเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น  เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอะไรจำเป็น อะไรไม่จำเป็น  สิ่งที่จำเป็นเราก็ต้องมี เราก็ต้องหา  สิ่งที่ไม่จำเป็นเราก็ไม่ควรมีไม่ควรหามา  สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพคืออะไร ก็คือปัจจัย ๔ ได้แก่อาหาร ที่อยู่อาศัย  ยารักษาโรค  เครื่องนุ่งห่ม เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องมีกัน  ถ้าไม่มี ถ้าขาดตกบกพร่อง ก็จะไม่สุขสบาย  จะอัตคัดขัดสน  ถ้าขาดอาหารร่างกายก็จะผอมแห้งแรงน้อย  ถ้าขาดเสื้อผ้าใส่ก็จะดูไม่สวยงาม เวลาใส่เสื้อผ้าขาดๆ ที่ไม่ได้ซัก เพราะมีอยู่ชุดเดียว อย่างนี้แสดงว่าขัดสน ยังไม่พอเพียง ก็ต้องหามาเพิ่ม  แต่ถ้ามีปัจจัย ๔ พอเพียงแล้ว ก็ไม่ควรไปหาอะไรมาเพิ่มอีก  ส่วนใหญ่เราจะไปหาสิ่งที่ไม่จำเป็นที่เรียกว่าปัจจัย ๕ ปัจจัย ๖  ปัจจัย ๗  กัน เช่นรถยนต์  โทรศัพท์มือถือ  โทรทัศน์  วิทยุ  ของเล่นต่างๆ ถึงแม้ไม่มีสิ่งเหล่านี้ชีวิตเราก็ไม่ได้แย่ลงไป   แต่การขวนขวายหามันมานี้แหละ จะเป็นตัวฉุดลากให้ลงสู่ที่ต่ำ ให้มีปัญหาเพิ่มมากขึ้น เพราะเมื่อมีความอยากได้สิ่งต่างๆแล้ว  ถ้าไม่มีปัญญาที่จะซื้อด้วยเงินสด ก็ต้องซื้อด้วยเงินผ่อน ทำให้เป็นหนี้เป็นสิน พอไม่สามารถผ่อนหนี้ผ่อนสินได้ แต่ยังไม่อยากจะคืนของไป ก็ต้องหาเงินใช้หนี้ด้วยวิธีที่มิชอบ ไปทำการทำทุจริตด้วยวิธีการต่างๆ  สร้างความเสียหายให้กับผู้อื่นและกับตัวเราเอง  

 

ในเบื้องต้นจึงต้องแยกแยะว่าอะไรเป็นสิ่งที่จำเป็น อะไรเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น   สิ่งที่จำเป็นก็ต้องหามาด้วยวิธีที่ถูกต้อง ถูกกฎหมาย ถูกศีลถูกธรรม  ไม่ทำอาชีพที่ผิดกฎหมาย ค้ายาบ้า ค้ายาเสพติด ลักเล็กขโมยน้อย  ปล้นจี้ ฉ้อโกงด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่มิชอบมีโทษตามมา  การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องควรเป็นอาชีพที่สุจริต ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ผิดศีลธรรม เมื่อได้เงินทองมาแล้วก็เอาไปใช้ในสิ่งที่จำเป็น  ส่วนที่เหลือก็เก็บหอมรอมริบเอาไว้ เผื่อวันข้างหน้าไม่สามารถหาเงินหาทองได้ จะได้อาศัยเงินส่วนนี้ไว้ดูแลรักษา ถ้าฉลาดก็เอาไปลงทุนหารายได้เพิ่ม เงินทุกบาทถ้ารู้จักใช้รู้จักเก็บ จะเป็นคุณเป็นประโยชน์   แต่ถ้าไม่รู้จักเก็บ ไม่รู้จักรักษา  ไม่รู้จักเอาไปลงทุนก็จะสูญหมดไป  ถ้าใช้แบบฟุ่มเฟือย ซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็น ถ้ามีเงินมากพอแล้วก็มีทางเลือก ๒ ทาง  ว่าจะเอาไปใช้ทางไหนดี  ๑. ซื้อของฟุ่มเฟือยที่ไม่จำเป็นไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เสียนิสัย  ติดการใช้ของฟุ่มเฟือย ๒. เอามาทำนุบำรุงจิตใจ ที่ต้องมีสิ่งบำรุงรักษาเหมือนกับร่างกายคือบุญและกุศล ที่เป็นปัจจัย ๔  ของจิตใจ เป็นอาหาร ที่พึ่งอาศัย ยารักษาโรค  และเครื่องนุ่งห่มอันสวยงาม เพราะคนที่ทำบุญทำทานรักษาศีล มีความสวยงามทางด้านจิตใจ เหมือนกับได้สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงาม เป็นความสวยงามที่มีคุณค่ากว่าความสวยงามของร่างกาย 

 

คนที่สวยงามด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ราคาแพงๆ  แต่เป็นคนใจแคบ ใจไม้ไส้ระกำ  โหดร้าย  ไม่ซื่อสัตย์สุจริต แม้จะสวยงามทางร่างกาย แต่ทางจิตใจจะไม่สวยเลย เป็นคนที่น่ารังเกียจ  เวลารู้จักกันใหม่ๆอาจจะถูกหลอกได้ เพราะรู้หน้าแต่ไม่รู้ใจ แต่เมื่อได้มีความสัมพันธ์กันไปเรื่อยๆ ต่อไปความในใจต่างๆก็จะปรากฏออกมา เมื่อนั้นก็จะเห็นความไม่สวยงาม น่ารังเกียจ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ใจแคบ ใจไม้ไส้ระกำนั้น แต่คนที่ทำบุญทำทานรักษาศีล จะเป็นคนใจกว้าง โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่  แม้จะไม่ได้สวยงามด้วยเสื้อผ้าราคาแพงๆ แต่จะน่าชื่นชม น่ารัก น่ายินดี ไม่จืดไม่จาง เพราะความสวยงามของจิตใจไม่เสื่อมไปกับกาลเวลา ไม่เหมือนกับความสวยงามทางร่างกาย ที่มีแต่จะเสื่อมไปเรื่อยๆ แก่ลงไปเรื่อยๆ ความสวยงามก็จะหมดไปทีละเล็กทีละน้อย จนไม่หลงเหลืออยู่เลย  แต่ไม่เป็นเรื่องสำคัญ   ถ้าสวยงามด้วยจิตใจ ที่เป็นความสวยงามที่แท้จริง  ถ้ามีเงินเหลือใช้แทนที่จะเอาไปซื้อเสื้อผ้าราคาแพงๆมาใส่ สู้เอามาทำบุญ มาอยู่วัดปฏิบัติธรรม รักษาศีล เพื่อเสริมสร้างความสวยงามของจิตใจจะดีกว่า จะมีความสุข เพราะความดีเป็นต้นเหตุของความสุข  คนทำความดีจะมีความสุข  จึงมีคนทำบุญอยู่เรื่อยๆ เพราะทำแล้วมีความสุข ถ้าทำแล้วมีความทุกข์จะไม่มีใครทำกัน 

 

เราจึงต้องแยกแยะให้ออกว่า อะไรเป็นสิ่งที่จำเป็น อะไรเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น    สิ่งที่ไม่จำเป็นเราก็ต้องพยายามหักห้ามจิตใจ ไม่ให้ไปอยากได้  เห็นคนอื่นมีรถเก๋งราคาแพงๆ ก็อย่าไปดิ้นรนอยากมี สู้มีใจที่สวยงามไม่ได้   มีรถเก๋งแต่ใจแคบ ขับรถไปไหนก็ไปแก่งแย่งชิงดีกับคนอื่น ไปเบียดไปแทรกเวลารถติด  อย่างนี้ก็ไม่สวยงาม สู้ขับรถราคาถูกๆ แต่ใจกว้างไม่ได้ ไม่ไปแย่งไม่ไปเบียดกับใคร   ใครอยากจะเลี้ยวก็ให้เลี้ยวไปก่อน ใครอยากจะแซงก็ให้แซงไปก่อน  ความสวยงามทางด้านจิตใจเป็นอย่างนี้ จึงอย่าหลงประเด็น เพราะเมื่อหลงแล้วจะแก้ปัญหาไม่ถูกจุด ปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไข ถ้าทุกคนแก้ที่จิตใจของตนเอง แก้ความเห็นแก่ตัวให้กลายเป็นไม่เห็นแก่ตัว แก้ความเกียจคร้านให้กลายเป็นความขยัน  แก้ความทุจริตให้เป็นความสุจริต  แก้ความไม่ซื่อสัตย์ให้เป็นความซื่อสัตย์ ถ้าแก้อย่างนี้แล้วสังคมจะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่จำเป็นจะต้องมีตำรวจมาตามจับผู้ร้าย  มาตรวจมาเฝ้าสถานที่ต่างๆ  ไม่ต้องมีกุญแจไว้ปิดบ้านเรือน  ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล  ไม่ต้องมีคุกมีตะราง เพราะไม่มีความจำเป็นเมื่อทุกคนทำถูกกฎหมาย ทำสิ่งที่ดีที่งาม  ทุกวันนี้ต้องมีตำรวจ  มีศาล มีคุก  มีตะราง มีกุญแจไว้ล็อคบ้านล็อครถยนต์ เพราะจิตใจของคนไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตนั่นเอง ถูกอำนาจของความหลงครอบงำ จนเกิดความอยาก เมื่ออยากแล้วถ้าไม่สามารถหามาได้ด้วยความสุจริต ก็ต้องหามาด้วยวิธีทุจริต ไปลักขโมยรถ ไปลักข้าวของของคนอื่น

 

เราจึงควรแก้ปัญหาที่ความหลงนี้    ด้วยการศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่จำเป็นและไม่จำเป็น เพื่อจะได้ตัดความโลภ ตัดความอยากในสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็นไป ทำแต่สิ่งที่จำเป็น  หาเงินหาทองเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เพื่อปัจจัย ๔ เมื่อมีเงินเหลือใช้ มีเวลาก็ให้มาหาปัจจัย ๔  ให้กับใจต่อไป ด้วยการทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ จะได้พบกับความมหัศจรรย์ของความสุขอันเลิศอันประเสริฐ ที่ไม่มีความสุขอย่างอื่นจะเทียบเท่าได้  ที่อยู่ในตัวของเรา ไม่ได้อยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่ที่ความร่ำรวย ไม่ได้อยู่ที่ยศฐาบรรดาศักดิ์  ไม่ได้อยู่ที่การสรรเสริญเยินยอ   ไม่ได้อยู่กับการได้ยินได้ฟังได้ดูได้กินได้เที่ยว  แต่อยู่ที่ความสงบของจิตใจ ให้พยายามทำกันให้ได้ เป็นของวิเศษเป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา ที่ทุกคนมีสิทธิ์แสวงหามาเป็นสมบัติของตนได้ เมื่อได้มาแล้วจะไม่มีใครสามารถมาลักมาขโมย  มาฉกชิงแย่งจากเราไปได้ ไม่เหมือนกับสมบัติภายนอก  ได้มาก็อาจจะถูกคนอื่นฉกชิงแย่งไป  แต่ถ้าได้สมบัติภายในคือความสงบของจิตใจแล้ว จะไม่มีใครมาเอาจากเราไปได้ เราจะอยู่กับความสงบสุขไปตลอด และถ้าได้เจริญปัญญาเราก็จะสามารถกำจัดความหลงต่างๆ ให้หมดไปจากจิตจากใจ  กำจัดความอยากความโลภให้หมดไป  กำจัดความทุกข์ที่เกิดจากความโลภความอยากความโกรธให้หมดไป เพราะสมาธิไม่สามารถกำจัดความโลภความโกรธความหลงความอยากได้ เพียงแต่กดมันไว้ หยุดมันไว้ได้เป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถกำจัดได้อย่างถาวร

 

ต้องใช้ปัญญา เหมือนกับต้นไม้ ถ้าฟันต้นแต่ไม่ถอนรากถอนโคน ต้นไม้ก็ยังไม่ตาย ยังงอกออกมาได้  ยังเจริญเติบโตได้  ถ้าต้องการทำลายให้หมดสิ้นไป ไม่ให้ฟื้นขึ้นมาอีก ก็ต้องถอนรากถอนโคนด้วย ถ้าต้องการกำจัดความทุกข์ที่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ก็ต้องเจริญปัญญา   เวลาอยากได้อะไรก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณา สอนตนว่าสิ่งต่างๆที่อยากได้มานั้น ไม่ได้เป็นความสุขที่แท้จริง ได้อะไรมาแล้วก็จะกลายเป็นภาระทางจิตใจ  เพราะจะต้องคอยดูแลรักษา  ต้องห่วง ต้องกังวล เวลาสูญเสียไปก็เกิดความเสียอกเสียใจ  ในขณะนี้ไม่มีอะไร ก็ไม่เดือดร้อนอะไร  พอได้มาแล้วจะมีภาระทางจิตใจขึ้นมาทันที เวลาสูญเสียไป ก็ต้องเสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้  ถ้าคิดอย่างนี้ทุกครั้งที่อยากจะได้อะไรแล้ว จะไม่กล้า ไม่อยาก ไม่รู้ว่าจะเอามาทำไม ในเมื่อมันไม่จำเป็น แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องหามา เช่นอาหารก็ต้องหามา  เสื้อผ้า  ที่อยู่อาศัย  ยารักษาโรคก็ต้องหามา แต่ไม่ต้องหามาจนล้นบ้านล้นช่อง เอาเท่าที่พอเพียงกับการดำรงชีพก็พอ  นี้คือปัญญาที่จะเกิดขึ้น ถ้าสอนใจอยู่เสมอ ว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่สมบัติข้าวของเงินทอง  ความร่ำรวย  ยศฐาบรรดาศักดิ์  ตำแหน่งต่างๆ   การสรรเสริญเยินยอ การได้ไปเที่ยวได้ไปกินได้ไปดูได้ไปดื่ม เพราะทำกันมามากมายแล้ว   ถ้าทำให้สุขให้เจริญจริงๆ  ก็น่าสุขน่าเจริญแล้ว แต่ก็ยังเหมือนเดิม ยังหิว ยังอยาก ยังต้องการ ยังทุกข์  ยังวุ่นวายใจ  ยังกังวล  ยังห่วง  ยังหวาดกลัวกับเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่

 

นั่นก็เป็นเพราะว่าสิ่งต่างๆที่อยากได้นั้น ล้วนเป็นเหตุของความทุกข์ทั้งนั้น  มีอะไรก็ต้องทุกข์กับสิ่งนั้น มีสามีก็ทุกข์กับสามี  มีภรรยาก็ทุกข์กับภรรยา  มีลูกก็ทุกข์กับลูก  มีสมบัติข้าวของเงินทองก็ทุกข์กับสมบัติข้าวของเงินทอง ความสุขที่ได้ก็ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว  แต่ความทุกข์มีอยู่ในใจตลอดเวลาจนวันตายเลย  นี้คือสิ่งที่ต้องศึกษา  ต้องคอยสอนใจอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้ในขณะที่เกิดความอยากขึ้นมา  เกิดความโลภขึ้นมา ต้องบอกว่าไม่ได้เป็นความสุข  มีแต่ความทุกข์ตามมา สู้อยู่แบบไม่มีอะไรดีกว่า  ไม่มีอะไรก็อยู่ได้ ทำไมไม่อยู่กัน ทำไมต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้มาสร้างภาระทางด้านจิตใจ  ถ้าสอนใจอยู่เรื่อยๆแล้ว รับรองได้ว่าจะชนะความโลภ  ชนะความอยากได้  แต่ถ้าไม่สอนเดี๋ยวก็จะหลง  จะอยาก  จะโลภ  จึงต้องเข้าวัดอยู่เรื่อยๆ  เพราะการจะสอนจิตสอนใจได้อย่างต่อเนื่องนั้นต้องมาอยู่วัดปฏิบัติธรรม เพราะในวัดไม่มีเรื่องราวต่างๆมาคอยดึงใจให้ไปคิดไปกังวลไปยุ่งเกี่ยวด้วย  ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวก็มีเรื่องนั้นมีเรื่องนี้มาให้คิดมาให้แก้ ก็จะไม่มีเวลาคิดทางปัญญา  เมื่อไม่คิดก็จะเผลอลืม ความหลงก็จะครอบงำจิตใจ ทำให้โลภทำให้อยาก แล้วก็ไปทำตามความโลภตามความอยาก กว่าจะรู้สึกตัวก็ตอนที่ช้ำอกช้ำใจ เสียอกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ  ตอนนั้นก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเมื่อใจเจ็บช้ำแล้วใช่จะหายทันทีทันใด ต้องใช้เวลารักษา เหมือนกับแผลของร่างกายที่ต้องใช้เวลารักษา  แผลของใจก็เช่นกัน เมื่อเกิดความเจ็บช้ำน้ำใจ เกิดความเศร้าโศกเสียใจ ก็ต้องใช้เวลารักษา  ถ้ารักษาไม่เป็นดีไม่ดีอาจจะเป็นมากกว่าเดิม อาจจะทำให้ทำลายชีวิตของตนไป เพราะทนกับความทุกข์ความเจ็บช้ำน้ำใจไม่ไหว ที่ฆ่าตัวตายกันก็เพราะเหตุนี้ทั้งนั้น เพราะมีความทุกข์มาก มีความเสียใจมาก แต่ไม่รู้จักวิธีรักษาใจ 

 

วิธีรักษาใจก็ไม่มีอะไร เพียงทำใจ ไม่ไปคิดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้ว อะไรผ่านไปแล้วก็ผ่านไป อะไรที่เสียไปแล้วหมดไปแล้ว ก็เสียไปหมดไป คิดถึงส่วนที่ยังมีดีกว่า  ว่ายังมีอะไรเหลืออยู่ ยังมีร่างกาย ยังมีอาการ ๓๒  ครบถ้วนบริบูรณ์  ดีกว่าคนอื่นอีกมากที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์    ตาบอด หูหนวก แขนขาด  ขาขาด แต่เรายังมีอาการ ๓๒  ครบถ้วนอยู่  แต่ทำไมกลับทุกข์มากกว่าคนที่หูหนวก ตาบอด แขนขาด ขาขาด  ก็เพราะไม่มีสติไม่มีปัญญาคิดนั้นเอง  พอสูญเสียอะไรไปแล้วก็อยากจะได้คืนมาอย่างเดียว  ถ้าไม่ได้คืนมาแล้วจะต้องตายให้ได้ เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกทาง การแก้ปัญหาที่ถูกทางก็คือ ต้องยอมรับความจริง  ต้องมองว่ามันเป็นอดีตไปแล้ว มันผ่านไปแล้ว เหมือนกับความฝัน มันผ่านไปแล้ว เมื่อคืนนี้ฝันว่าเป็นนางงามจักรวาล เป็นประธานาธิบดี แต่พอตื่นขึ้นมาก็กลายเป็นคนธรรมดา ไม่เห็นเสียหายอะไร มันก็ผ่านไปแล้ว  ฉันใดจะสูญเสียอะไรไปมากน้อยเพียงไร มันก็ผ่านไปแล้ว เราก็ยังอยู่ ใจก็ยังอยู่  ยังสามารถมีความสุขได้เหมือนเดิม ถ้าทำจิตใจให้สงบ ไม่ไปคิด  ไม่ไปอาลัยอาวรณ์  ไม่ไปเสียดาย ก็มีความสุขได้ เพราะใจไม่ต้องมีอะไรนั่นเอง  ใจไม่ต้องการอะไรเลย  ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเลย  ถ้าจำเป็นแล้วพระพุทธเจ้ากับพระอรหันตสาวกจะอยู่แบบที่ท่านอยู่กันไม่ได้ ท่านไม่มีอะไรเลย ทำไมอยู่ได้ เพราะใจของท่านไม่จำเป็นต้องมีอะไรนั่นเอง

 

แต่พวกเราทำไม่ได้ เพราะถูกความหลงหลอกอยู่ตลอดเวลา เสี้ยมสอนอยู่ตลอดเวลา ว่าจะต้องมีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ ต้องมีรถ มีบ้าน  มีโทรศัพท์มือถือ  มีโทรทัศน์ มีอะไรต่อมิอะไรเต็มไปหมด พอมีแล้วเราวิเศษวิโศขึ้นมาหรือไม่  มีความสุขมากขึ้นความทุกข์น้อยลงไปหรือไม่ หรือกลับมีความทุกข์มากขึ้นกว่าเดิม เราก็ไม่พิจารณากัน ไม่มองกัน จึงไม่รู้  จึงถูกความหลงหลอกให้ไปหาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ   ยิ่งหามามากเท่าไรก็ยิ่งมีความทุกข์เพิ่มมากขึ้นไปเท่านั้น  นี่แหละคือปัญหาของพวกเรา  ปัญหาของสังคม เพราะเกิดจากความหลงนี้เอง   หลอกให้ไปแก่งแย่งชิงดี หาเงินหาทอง หาสมบัติ หาข้าวของต่างๆ  แล้วก็ต้องต่อสู้กัน ทะเลาะวิวาทกัน  มีเรื่องมีราวกัน แต่ถ้าทุกคนหันมาศึกษาและทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน คือหาแต่สิ่งที่จำเป็น  สิ่งที่ไม่จำเป็นก็จะไม่หามา  รับรองได้ว่าพวกเราจะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีการแก่งแย่งชิงดี ไม่มีการต่อสู้กัน จะอยู่กันด้วยความเมตตา  โอบอ้อมอารีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีใจกว้าง ไม่ใจแคบ ไม่ใจไม้ไส้ระกำ ความหลงนี้แหละที่ทำให้ใจแคบ ใจไม้ไส้ระกำ เมื่ออยากได้แล้วก็ไม่อยากจะให้ แต่ถ้าไม่โลภไม่อยากแล้ว จะเป็นคนใจกว้าง มีอะไรเหลือกินเหลือใช้จะไม่เก็บไว้  จะเอาไปช่วยเหลือผู้อื่น ทำให้เกิดความสุขทั้งกับตนเองและผู้อื่น 

 

นี่คือการดำเนินชีวิตที่ถูกทาง  แก้ปัญหาที่ถูกทาง ต้องแก้ที่ใจ  ต้องดับความหลง เมื่อดับได้แล้วก็จะดับความโลภ ดับความอยาก ดับความโกรธได้  เมื่อไม่มีความโลภ  ความอยาก ความโกรธ แล้ว  สังคมก็จะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข มีความเจริญก้าวหน้าอย่างแท้จริง   จึงอยากจะให้ท่านทั้งหลายหันมาแก้ปัญหาที่ตัวเราก่อน อย่าไปแก้ปัญหาคนอื่น แก้ที่ตัวเราให้ได้ก่อน  เมื่อแก้ได้แล้วจะเป็นตัวอย่างที่ดี ทำให้ผู้อื่นเกิดศรัทธาที่อยากจะแก้ตาม อยากจะเป็นเหมือนเรา  เช่นพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่แก้ปัญหาของท่านก่อน จนเป็นที่น่าเคารพเลื่อมใสศรัทธา น่ากราบไหว้บูชา น่าปฏิบัติตาม  นี่คือการแก้ปัญหาที่แท้จริง ให้แก้ตรงจุดนี้  อย่างน้อยที่สุดก็จะได้แก้ปัญหาของเรา ส่วนปัญหาของคนอื่นนั้น ไม่มีใครแก้ให้ใครได้ ทุกคนต้องแก้ด้วยตนเองเพียงแต่อาศัยตัวอย่างที่ดีของผู้อื่นเป็นเครื่องสร้างศรัทธา  เป็นแบบเป็นฉบับ จึงขอให้หันมาแก้ที่ตัวเรา  เพื่อจะได้เป็นตัวอย่างที่ดี  ทำให้สังคมอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้