กัณฑ์ที่ ๒๗๒        ๑๖ ธันวาคม ๒๕๔๙

 

ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ

 

 

วันนี้พวกเราได้ตั้งใจมาวัด เพื่อมาทำความดี สร้างความสุข สร้างความเจริญ ความสิริมงคล ให้กับชีวิตของเรา จะดีหรือชั่ว จะสุขหรือทุกข์ ก็อยู่ที่การกระทำของเรา  ถ้าทำดีทำบุญทำกุศล เราก็จะมีความสุข  ความเจริญ ความสิริมงคล  ถ้าทำบาปทำความชั่ว  เราก็จะมีแต่ความทุกข์ ความเสื่อมเสีย ความกังวลวุ่นวายใจ  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนพุทธศาสนิกชนให้ทำความดีอยู่เสมอ ด้วยการมาวัดอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง     ในสมัยโบราณได้กำหนดไว้เป็นวันขึ้นวันแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ แต่ในสมัยปัจจุบันเนื่องจากวันหยุดทำงานจะเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์ ที่ไม่ตรงกับวันขึ้นวันแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปเรื่อยๆ   จะไม่ตรงกับวันเสาร์วันอาทิตย์เสมอไป  คนที่ต้องไปทำงานก็จะไม่สามารถมาตามวันแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำได้  จึงต้องเลือกเอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันพระแทน มาทำบุญกันในวันเสาร์วันอาทิตย์กัน ก็ใช้ได้เหมือนกัน เพราะการกระทำเป็นตัวสำคัญ ไม่ใช่วันและเวลา  วันและเวลาเป็นเพียงจุดที่ถูกกำหนดขึ้นมาให้เราได้ทำความดีกัน  ถ้ามาไม่ได้ในวันขึ้นวันแรม ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ  ก็มาวันเสาร์วันอาทิตย์แทน มาทำความดี มาละบาป มาชำระจิตใจ ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เป็นวิธีที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้น ไม่มีวิธีอื่น คนเราส่วนใหญ่มักจะคิดว่าชีวิตจะดีขึ้นเมื่อได้เงินทองมากขึ้น ได้ทำอะไรตามใจอยาก ได้ซื้อข้าวของต่างๆที่อยากได้ ได้ไปตามสถานที่ต่างๆที่อยากไป ได้ดื่มได้กินได้ดูได้ฟังสิ่งต่างๆ ที่อยากดูอยากฟัง เราก็ได้ทำกันมาพอสมควรแล้ว ถ้ามันดีจริงวิเศษจริง เราก็น่าจะดีน่าจะวิเศษไปนานแล้ว จากการกระทำตามความอยากต่างๆ จากการมีเงินทองมากๆ แต่มันก็ไม่ทำให้เราดี ให้เราวิเศษขึ้นมาเลย 

 

ส่วนพระพุทธเจ้าที่พวกเราเคารพนับถือกลับไม่ได้ร่ำรวยอะไรเลย   ไม่มีเงินทองมากมายเหมือนพวกเรา ไม่ได้ไปเที่ยว  ไปดู ไปฟัง ไปดื่ม ไปเล่นตามสถานที่ต่างๆเลย  มีแต่จิตใจที่สงบระงับ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น เปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ สงสารเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ทรงช่วยเหลือเท่าที่จะช่วยได้  ด้วยการชี้ทาง ให้แสงสว่างแห่งธรรม สั่งสอนให้รู้วิธีดำเนินชีวิต ที่จะพาไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุข  ไปสู่ความเจริญอย่างแท้จริง ด้วยการเดินไปในทางธรรมที่ได้ทรงดำเนินมา พยายามลดละ ตัดความอยาก ความโลภต่างๆ ไม่ว่าจะได้มามากเท่าไรความสุขก็ไม่ได้มากขึ้นตามสิ่งที่ได้มา   แต่กลับมีความทุกข์มากเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ เพราะการไม่มีอะไรเลยนั้นแหละที่แสนจะสบายที่สุด แต่เราไม่รู้กัน กลับหลงคิดว่ามีอะไรมากๆแล้วจะมีความสุขกัน แล้วผลเป็นอย่างไร ระหว่างอยู่คนเดียวกับอยู่สองคน  ถ้าอยู่คนเดียวก็ไม่มีปัญหาไม่ต้องทุกข์กับอีกคนหนึ่ง อยู่สองคนก็ต้องมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดใจกัน ห่วงกัน อยู่คนเดียวแสนจะสบาย  แต่กลับอยู่ไม่ได้  ต้องหาเพื่อนมาอยู่ด้วย พอมีคู่แล้วที่นี้ก็มีปัญหาตามมา เดี๋ยวก็ขัดใจกัน  เดี๋ยวก็ทะเลาะกัน พอไม่เห็นหน้ากันก็เป็นห่วงเป็นใยกัน พอจากกันก็ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ  เป็นเพราะไม่ได้ศึกษา  ไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่จะแก้ความหลงของเรา ปล่อยให้ความหลงพาไป

 

ทุกวันนี้เราศึกษาพระธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้ากันบ้างหรือเปล่า ทรงสอนให้เราสะสมอะไร สะสมเงินทองหรือสะสมคุณงามความดี  ความเมตตา ความกรุณา เราอาจจะคิดว่าต้องมีเงินก่อนถึงจะทำความดีได้ ถ้าคิดอย่างนี้ก็เป็นความเข้าใจผิด เพราะไม่มีเงินก็ทำความดีได้ เช่นพระพุทธเจ้าก็ไม่มีเงิน แต่ก็ทรงทำความดีได้ ทรงตั้งอยู่ในความถูกต้องดีงาม อยู่ในศีลในธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น อย่างนี้ก็เป็นความดีงามแล้ว ไม่ไปสร้างปัญหา สร้างความเดือดร้อน ความวุ่นวายให้กับผู้อื่น เพราะทรงตั้งอยู่ในความสงบ พวกเราถึงแม้จะมีเงินทองมากน้อยเพียงไร ก็ยังไม่สามารถตั้งอยู่ในความสงบได้ เพราะความอยาก ความโลภ ความหลงของเรา คอยผลักดันให้เราออกไปสร้างปัญหาให้กับผู้อื่น  เวลาเราอยากจะได้อะไร เราก็ไม่สนใจว่าการหาของเราจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่  ขอให้ได้ทำตามความอยากเท่านั้น   อย่างพวกเด็กที่ชอบแข่งรถมอเตอร์ไซค์ตอนกลางคืน แข่งกันเต็มถนนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ขับขี่รถยนต์  สร้างความหนวกหูให้กับชาวบ้าน  ดึกๆดื่นๆแทนที่จะหลับจะนอนกัน กลับไปแข่งรถบนท้องถนนหลวง  ไม่ได้คิดถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น คิดแต่ความสุขของตนเอง พออยากจะทำ คิดว่าทำแล้วสนุกมีความสุข ก็ทำไป  แต่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาไม่คิดกัน เมื่อไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นแล้วก็ต้องมีการแก้ไขจัดการ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับไปปรับจับไปขัง แต่ก็ไม่เข็ดหลาบ พอออกมาก็ไปทำอีก  ปัญหาของบ้านเมืองจึงมีอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น เพราะคนในสังคมมีแต่ความโง่เขลาเบาปัญญา  ชอบสร้างปัญหาให้กับตนเองและกับผู้อื่น 

 

แต่ถ้าได้เข้าวัดฟังเทศน์ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ตั้งอยู่ในความสงบกายสงบวาจาสงบใจ  สงบกายก็คือ ไม่ไปทำร้ายผู้อื่น เช่นไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี  สงบวาจาก็คือ ไม่พูดปดมดเท็จ ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ  ไม่พูดคำยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นแตกความสามัคคี เป็นการกระทำที่นำมาซึ่งความเดือดร้อนทั้งกับผู้อื่นและกับตนเอง  ส่วนความสงบใจก็คือ สงบระงับจากกิเลสตัณหา  ความโลภ ความโกรธ  ความหลง ความอยากต่างๆ เป็นสิ่งที่เราสามารถทำกันได้ถ้าตั้งใจทำกัน  เหมือนกับการมาวัดวันนี้ก็เป็นสิ่งที่เราทำกันได้ ถ้าตั้งใจจะมาวัดกัน แต่มีคนอีกมากชอบบ่นว่าอยากจะมาวัดแต่มาไม่ได้  ทำไมถึงมาไม่ได้  เพราะตื่นไม่ทันนอนดึก  แล้วทำไมไม่นอนแต่หัวค่ำ  มาได้แต่ไม่มา แล้วก็บ่นว่ามาไม่ได้   เราสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ทั้งนั้น  ถ้าจะทำซะอย่าง ถ้าไม่ทำก็แก้ตัวไปเรื่อยๆ  ว่าทำไม่ได้  ละความโลภไม่ได้ ละความโกรธไม่ได้  ละความหลงไม่ได้  ละสุราเมรัยไม่ได้  ละการเที่ยวกลางคืนไม่ได้  ละการพูดปดไม่ได้  มันจะไปยากเย็นอะไรถ้าไม่พูดซะอย่าง ถ้ารู้ว่าจะพูดปดก็ไม่ต้องพูด อยู่นิ่งเฉยๆ เอาอะไรมาปิดปากไว้ก็ได้ ไม่พูดเท่านั้นก็ไม่พูดปดแล้ว ไม่เห็นจะยากเย็นเลย   อยู่ที่ความตั้งใจเท่านั้นเอง เราจึงต้องตั้งใจทำความดี แล้วเราจะทำความดีได้ ตั้งใจละการกระทำบาป แล้วเราจะละได้  ตั้งใจละความโลภ ความโกรธ ความหลง เราก็จะละได้ เหมือนกับมีความตั้งใจจะมาวัดในวันนี้เราก็มาได้ ถ้าไม่มีความตั้งใจต่อให้อยากมามากน้อยเพียงไรก็มาไม่ได้ แต่ถ้ามีความอยากก็จะมีความตั้งใจ ถ้าบอกว่าอยากมาแต่มาไม่ได้ ก็เป็นการโกหกตัวเอง ความจริงแล้วไม่ได้อยากมาถึงมาไม่ได้

 

เพราะถ้าอยากจะได้อะไรแล้วจะไม่มีอะไรมาขวางเราได้ มีแต่ความตายเท่านั้นที่จะขวางได้ เพราะไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าตราบใดยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ เราเป็นมนุษย์เหมือนกับพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าท่านทำได้เราก็ทำได้เหมือนกัน ขอให้อยากทำเท่านั้นเอง  ถ้าไม่อยากทำแล้วก็ทำไม่ได้   ในเบื้องต้นเราจึงต้องศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นสิ่งที่ดี  เป็นคุณเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ เมื่อรู้แล้วก็จะเกิดความอยากทำขึ้นมาเอง  เหมือนกับเวลาดูโฆษณาสินค้าต่างๆในโทรทัศน์ ว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้  ถ้าไม่ได้ดูเราก็จะไม่รู้ว่าดีอย่างไร   ฉันใดพระพุทธศาสนาก็เป็นเหมือนสินค้าชิ้นหนึ่ง ถ้าไม่มีการศึกษา ไม่มีการรับรู้ว่าดีอย่างไร เราก็จะไม่รู้ แต่ศาสนาไม่ค่อยได้รับการโฆษณาทางโทรทัศน์กัน   เพราะศาสนาไม่มีการซื้อขาย  มีแต่ให้ฟรีๆ  เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เลยไม่มีรายได้ที่จะเอามาใช้ในการโฆษณา ต้องอาศัยผู้มีจิตศรัทธาที่จะร่วมกันบริจาคทรัพย์ทำการโฆษณาให้ผู้อื่นได้รู้กัน  แต่ก็ไม่มีใครทำกัน  ส่วนใหญ่จะชอบบริจาคทรัพย์เพื่อสร้างวัตถุต่างๆ สร้างวัตถุมงคลต่างๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร มีเต็มบ้านเต็มเมือง แต่คนก็ยังโง่เขลาเบาปัญญา ยังไม่เห็นคุณเห็นประโยชน์ของพระศาสนา ไม่รู้คุณค่าของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ว่าประเสริฐเลิศโลกอย่างไร ยังหลงงมงายกับเศษดินเศษขยะ  เช่นเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ การสรรเสริญเยินยอ ความสุขที่ได้จากการเสพรูปรสเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ 

 

เมื่อเปรียบเทียบกับความเลิศ ความวิเศษของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แล้ว ก็เป็นเหมือนเศษขยะ เหมือนเศษดิน ไม่มีคุณค่าอะไรแก่จิตใจเลย เพราะไม่ได้ยกจิตใจให้สูงขึ้น ให้เจริญขึ้น ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้ มีแต่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้นที่จะสามารถยกฐานะจิตใจของเราให้สูงขึ้น ให้ประเสริฐขึ้น ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลายได้  แต่ไม่มีใครรู้กัน ถ้ารู้แล้วรับรองได้ว่าจะต้องเกิดความอยากปฏิบัติ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะว่าเรายังหลงกันอยู่ ยังไม่เห็นคุณค่าของการทำความดี ของการละบาป  ของการกำจัดความโลภ  ความโกรธ ความหลง ความอยากต่างๆ ให้หมดไปจากจิตจากใจ เราจึงไม่เคยพบกับความสุขความเจริญที่แท้จริง พบแต่ความเจริญจอมปลอม เจริญแล้วก็เสื่อม ได้อะไรมาแล้วก็เสื่อมไปหมดไป   ได้สรรเสริญแล้วเดี๋ยวก็ได้นินทา   ได้ยศแล้วเดี๋ยวก็ถูกปลด  ได้เงินทองแล้วเดี๋ยวก็หมดไป  ได้ความสุขจากการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะแล้วก็ผ่านไปหมดไป เหลืออยู่แต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว  อย่างที่เราเป็นกันอยู่ เมื่อมีแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวก็ต้องไปหามาใหม่ หามาเพิ่มอยู่เรื่อยๆ ได้มามากน้อยเพียงไรก็ยังอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวอยู่อย่างนั้น  เราได้ทำมาตั้งแต่วันเกิดจนถึงวันนี้แล้ว ถ้าจะเต็มในหัวใจก็น่าจะเต็มไปนานแล้ว  ถ้าจะพอก็น่าจะพอไปนานแล้ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น มีแต่จะสร้างความหิว สร้างความกระหาย สร้างความอยาก สร้างความต้องการให้มีอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้จักจบจักสิ้น

 

แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนนี้แหละ จะทำให้จิตใจของเรามีความอิ่ม มีความสุข มีความพอ ขอให้ทำจริงๆจังๆเท่านั้นเอง อย่าสักแต่ว่าทำ  ทำพอหอมปากหอมคอ พอเป็นประเพณี  นานๆก็เข้าวัดสักครั้งหนึ่ง เข้าแล้วก็ไม่ได้ทำอย่างจริงๆจังๆ แต่ทำแบบขอไปที เพราะจิตใจไม่ได้มีความอยากที่จะทำ  ทำเพื่อแก้เขินอย่างนี้เป็นต้น ขอให้ทำด้วยความอยาก เห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ เหมือนกับเวลาที่เห็นโฆษณาสินค้าว่ามีคุณมีประโยชน์อย่างไร เราก็ไปซื้อมันมา ขอให้ทำอย่างนั้นเถิด รับรองได้ว่าจะได้สิ่งที่ดีที่งาม ที่ให้เรามีความสุขความเจริญ มีความอิ่ม มีความพอ ปราศจากความทุกข์ ความวุ่นวาย ความกังวลใจทั้งหลาย ที่เกิดจากการกระทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเท่านั้น คือทำดีพูดดีคิดดี ไม่ทำความชั่ว ไม่พูดสิ่งที่ไม่ดี  ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ถ้าคิดว่าไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงแล้วจะอยู่ได้อย่างไร ก็ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงอยู่ตลอด ๔๕ ปี   หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ไม่โลภไม่โกรธไม่หลงเลย อยู่ได้อย่างสบาย ด้วยความสุข ไม่มีความทุกข์ ไม่มีปัญหา ไม่มีความวุ่นวายใจ  แต่พวกเราเป็นอย่างไรกัน อยู่กันแบบไหน อยู่ด้วยความสุข ด้วยความสงบ หรืออยู่ด้วยความวุ่นวายไปกับความโลภ กับความอยาก  กับความโกรธ กับความหลง กับความเศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้อาลัยอาวรณ์ กังวลห่วงใย เพราะเราเดินไม่ถูกทางนั่นเอง เดินผิดทาง เห็นผิดเป็นชอบ ทำในสิ่งที่ผิด แทนที่จะทำในสิ่งที่ชอบ

 

แต่วันนี้เราได้ได้ยินได้ฟังได้ศึกษา พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ที่ทรงสอนให้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ด้วยการทำความดี เช่นการเสียสละ  ให้เสียสละเวลาเสียสละประโยชน์สุขให้กับผู้อื่นบ้าง อย่างวันนี้เราได้สละเวลาสละประโยชน์สุข คือเงินทอง นำไปซื้อข้าวของมาถวายพระเณร เพื่อจะได้ความสุขจากสิ่งของที่เราซื้อมาถวาย  เพราะพระสงฆ์องค์เจ้าต้องอาศัยพวกเราเป็นผู้เลี้ยงดูนั่นเอง ถ้าไม่เลี้ยงดู ไม่ใส่บาตร  ไม่ทำบุญถวายทาน ท่านก็อยู่ไม่ได้  ถ้าอยู่ไม่ได้ก็จะไม่มีศาสนาหลงเหลืออยู่ในโลก   ศาสนาจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อมีการบวชพระ บวชเณร  มีการศึกษามีการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จนบรรลุเห็นธรรม บรรลุเป็นพระอริยสงฆสาวกขึ้นมา เมื่อบรรลุแล้วก็จะได้มาสั่งสอนพวกเราอีกต่อหนึ่ง ให้พวกเราได้รู้ถึงทางที่ดีที่งามที่ชอบว่าเป็นอย่างไร พวกเราก็จะได้รับประโยชน์ จะได้นำเอาไปปฏิบัติ  เมื่อปฏิบัติแล้วเราก็จะมีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีความทุกข์ความกังวลใจ ความวุ่นวายใจต่างๆตามมา  เราจึงควรพยายามทำให้ได้ ทรงสอนให้ทำความดีก็ทำตาม ทำความดีอยู่เรื่อยๆ  ต้องศึกษาว่าทำอย่างไร เพราะไม่รู้กัน ส่วนใหญ่สิ่งที่เราคิดว่าดีมักจะไม่ดี มักสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ  จึงควรเป็นคนว่านอนสอนง่าย ผู้ใหญ่สั่งสอนอะไรควรจะเชื่อฟัง อย่าไปดื้อรั้น อย่าไปคิดว่าตนเองเก่ง ตนเองฉลาดแล้ว  ถ้าเก่งฉลาดจริงแล้วจะต้องไม่ทุกข์  ไม่วุ่นวายใจ ต้องตั้งอยู่ในความสงบได้ ต้องบวชไปตลอดชีวิตได้ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าเก่ง แต่ถ้ายังต้องดิ้นรนไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ ยังอยากจะได้สิ่งนั้นสิ่งนี้อยู่ ยังถือว่าไม่เก่ง ยังโกรธ ยังโลภ ยังหลงอยู่ อย่างนี้ยังไม่เก่ง

 

ถ้าเก่งจริงแล้วต้องไม่โลภ ไม่โกรธ  ไม่หลง  ต้องเสียสละได้ ต้องให้ได้ และก็ฟังได้ ใครจะพูดอะไร มากน้อยเพียงไร จะหนักจะเบาอย่างไร ก็ฟังได้อย่างสบายใจ ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าใครพูดอะไรนิดอะไรหน่อย ก็แตะต้องไม่ได้เลย เกิดความฉุนเฉียว เกิดทิฐิขึ้นมา อย่างนี้จะเรียกว่าเก่งได้อย่างไร เพราะว่าเราหลงนั่นเอง คิดว่าเราเก่ง  แต่ความจริงแล้วไม่เก่ง  คนเก่งรู้ว่าตนเองยังไม่เก่ง  ส่วนคนไม่เก่งคิดว่าตนเองเก่งแล้ว  ก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เพิ่มเติม ก็จะโง่ไปตลอด แต่คนที่โง่แล้วรู้ว่าตนเองโง่ คนนั้นแหละจะมีโอกาสที่จะเก่งได้ เพราะพร้อมที่จะรับคำสอนของผู้อื่น พร้อมที่จะฟังการตำหนิติเตียนของผู้อื่น แล้วนำไปแก้ไข  เพราะการตำหนิติเตียนของผู้อื่น ด้วยเหตุด้วยผลด้วยความเมตตานั้นเป็นเหมือนกับการชี้ขุมทรัพย์นั่นเอง ขุมทรัพย์คืออะไร  คือการทำตัวเราให้ดีไม่ให้เสียนั้นเอง  เวลาคนอื่นชี้ว่าเรากำลังทำในสิ่งที่เสื่อมเสียก็เป็นการเตือนสติ ให้รู้ว่าเรากำลังทำลายตัวเราเอง ซึ่งเป็นเหมือนกับชี้ขุมทรัพย์นั่นเอง  เมื่อได้แก้ไขการกระทำที่ไม่ดีแล้ว ความเสื่อมเสียก็ไม่ตามมา การที่ผู้อื่นตำหนิติเตียนด้วยเหตุด้วยผลด้วยความเมตตา ก็เป็นเหมือนกับกระจกส่องหน้า เราจะไม่รู้ว่าหน้าตาเราเป็นอย่างไรถ้าไม่ส่องดูในกระจก  ก่อนจะออกจากบ้านเราก็ส่องหน้าดูกระจกกันก่อนเสมอ ไม่ใช่หรือ ว่าเราได้หวีเผ้าหวีผมแล้วหรือยัง  ล้างหน้าล้างตาสะอาดแล้วหรือยัง ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วหรือยัง  ถ้าไม่ดูกระจกจะไม่รู้ว่าไม่ได้รูดซิปก็มี เดินออกไปนอกบ้านโดยไม่รู้สึกตัว  แต่ถ้ามีผู้หวังดีเตือนว่า อ้าวยังไม่ได้รูดซิปเลย โชว์อะไรอยู่อย่างนั้น ก็เป็นการช่วยเหลือเรา เป็นการบอกเราให้รู้ถึงความบกพร่องของเรา จะไปเสียหายอะไร 

 

ถ้าบอกอย่างนี้  ก็เป็นการบอกด้วยความเมตตา ด้วยความปรารถนาดี  แต่ถ้าบอกด้วยความโกรธ  ด้วยความเกลียด ไม่เป็นความจริง ก็ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร แสดงให้เห็นถึงความต่ำช้าของคนที่พูดนั่นเอง ไม่มีความเมตตา ไม่มีปัญญา พูดไปตามอารมณ์โกรธ เราก็ต้องให้อภัย ต้องสงสาร  อย่าไปโกรธ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องโกรธ   เมื่อไม่เป็นความจริง ก็ไม่ต้องไปเดือดร้อน ถ้าถูกด่าด้วยคำหยาบคาย ว่าเป็นสัตว์ชนิดต่างๆ ว่าเป็นสุนัขอย่างนี้ เราก็ดูตัวเรา ถามตัวเราว่า เราเป็นสุนัขหรือเปล่า   ถ้าไม่เป็นสุนัขเราจะไปเดือดร้อนทำไม หางเราก็ไม่มี ขนเราก็ไม่มี  เราก็ไม่ได้ใช้ ๔ เท้าเดินเหมือนสุนัขเดินกัน เราใช้สองเท้าเดิน แล้วเราจะไปเดือดร้อนทำไม ถ้าเดือดร้อนแสดงว่าเราบ้าตามเขา โง่ตามเขา  เขามองเห็นว่าเราเป็นสุนัข เราก็บ้าตามเขา  เห็นว่าเป็นสุนัขเหมือนกับที่เขาว่า ถ้าเราไม่เป็นสุนัขเราก็ควรสงสารคนที่ว่าเรา คงหูหนวกตาบอด แยกมนุษย์แยกสุนัขไม่เป็น แล้วจะไปเจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร จะเอาตัวรอดได้อย่างไร มีแต่จะตกทุกข์ได้ยากลำบากลำบนไปตลอดชีวิต  นี้คือการทำความดี ทำอย่างนี้ ตั้งอยู่ในความสงบขณะที่ถูกตำหนิติเตียน  ถูกดุด่าว่ากล่าว ไม่แสดงปฏิกิริยาอาการที่ไม่สวยงามออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพ่อแม่  กับครูบาอาจารย์  ที่มีความเมตตากรุณา พยายามอบรมสั่งสอนให้รู้จักผิดถูกดีชั่ว เมื่อฟังแล้วไม่ถูกอกถูกใจ ก็ต้องตั้งสติไว้ แล้วก็บอกตนเองว่ากำลังฟังเทศน์ พ่อแม่เป็นเหมือนพระของเรา ท่านกำลังเทศน์ให้เราฟัง

 

เหมือนกับในขณะนี้ที่เรากำลังฟังเทศน์กันอยู่ เราก็ฟังด้วยความเคารพ  น้อมเอามาพินิจพิจารณา สิ่งไหนผิดเราก็จะได้รู้ว่าผิด จะได้แก้ไขเสีย  สิ่งไหนถูกเราก็จะได้รู้ว่าถูก  จะได้พยายามทำให้มากยิ่งๆขึ้นไป ถ้าฟังแบบนี้แล้วจะได้ประโยชน์ ได้พัฒนาตนให้ดีขึ้นให้เก่งขึ้น  เพราะคนเราจะสอนตนเองให้ดีให้เก่งเป็นสิ่งที่ยาก เพราะจะชอบเข้าข้างตัวเอง ความผิดของเราแม้จะใหญ่เท่ากองภูเขา ก็จะเห็นเป็นเพียงผงธุลี  ส่วนความดีของตนแม้จะมีเพียงเท่าผงธุลี ก็จะเห็นว่าใหญ่โตเท่ากองภูเขา เราชอบเข้าข้างตัวเอง  เวลามองคนอื่นกลับมองกลับกัน ความดีของคนอื่นแม้จะมีมากน้อยเพียงไรก็จะเห็นเป็นผงธุลี   ส่วนความชั่วของคนอื่นแม้จะเป็นเพียงเท่าผงธุลี ก็กลับเห็นใหญ่โตเท่ากองภูเขา  ใจของเราจะเป็นอย่างนี้  มักจะเข้าข้างตัวเองเสมอ จึงต้องอาศัยผู้อื่นมาสั่งสอน มาว่ากล่าวตักเตือน มาตำหนิติเตียน ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะไม่สามารถสอนตัวเราให้เป็นคนดี พัฒนาตัวเราให้เก่งได้เลย  เราจึงต้องทำใจยอมรับคำสอนของผู้อื่น ยอมฟังผู้อื่น จะหนักจะเบาอย่างไรมันไม่ทำลายเราหรอก  เสียงไม่สามารถทำลายหูเราได้หรอก ใครจะด่าเราขนาดไหนก็ตาม  มันก็ไม่ได้มาทำลายหูเราให้ฉีกขาดไป

 

แต่ใจของเรามันโง่ มันรับไม่ได้เท่านั้นเอง เพราะไม่เคยได้รับการอบรมสั่งสอน จึงควรฝึกรับฟังคำสอน คำดุด่าว่ากล่าวของผู้อื่น   ถ้าฝึกได้แล้วจะได้รับประโยชน์  จึงควรพยายามตั้งมั่นอยู่ในความดี  ไม่ว่าจะถูกสรรเสริญหรือนินทา ก็ต้องทำใจให้เป็นปกติ อย่าไปโกรธ  ไปเสียใจ  เพราะเมื่อโกรธแล้ว เสียใจแล้ว ก็จะคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ส่งผลเสียกลับมา  แต่ถ้ารักษาใจให้นิ่งสงบเป็นปกติ ไม่โกรธ ไม่เสียใจ  เราก็จะไม่เดือดร้อน ไม่คิดร้าย ไม่พูดร้าย ไม่ทำร้าย  เมื่อไม่คิดไม่ทำไม่พูดร้ายแล้ว ผลเสียต่างๆก็ไม่มีตามมา  นี้คือการดำเนินชีวิตด้วยความถูกต้องดีงาม  เราต้องฝึก ต้องสนใจศึกษา  ฟังธรรมะอยู่เรื่อย ๆ  มาวัดอยู่เรื่อยๆ ถ้ามาไม่ได้ก็เปิดหนังสือธรรมะอ่านที่บ้าน เปิดเทปฟัง เปิดแผ่นซีดีฟังแทนก็ได้ แต่ควรจะฟังอยู่เรื่อยๆ เพราะถ้าไม่ได้ฟังแล้วเราจะลืม จะมีเรื่องอื่นมากลบ ทำให้ลืมธรรมะที่เราได้ยินได้ฟังไป พอลืมแล้วก็จะไม่สามารถตั้งอยู่ในความดีงามได้  จึงขอฝากเรื่องการมาวัด มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรม ให้ท่านทั้งหลายได้นำเอาไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประโยชน์สุขและความเจริญที่แท้จริงที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้