กัณฑ์ที่ ๒๘๒       ๒ มกราคม ๒๕๕๐

 

ความหลงเป็นต้นเหตุ

 

            

วันนี้เป็นวันหยุด เนื่องจากวันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันอาทิตย์ ทางราชการจึงให้หยุดชดเชย ๑ วัน  ญาติโยมเลยใช้โอกาสนี้มาบำเพ็ญบุญกุศล มาทำสิ่งที่ดีที่งาม  เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขและความเจริญ ที่อยู่ที่การกระทำของเราเท่านั้น ไม่ได้อยู่ที่ไหน ทำดีได้ดี ได้ความสุขได้ความเจริญ  ทำชั่วได้ชั่ว ได้ความทุกข์ความเสื่อมเสีย  เป็นหลักตายตัว ไม่ว่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สอนหรือไม่ก็ตาม  ความจริงย่อมเป็นอย่างนั้น ผู้กระทำย่อมได้รับผลจากการกระทำ ไม่ต้องมีใครมารับรองว่า ทำแล้วจะได้อย่างนั้นจะได้อย่างนี้  เพราะเป็นหลักตายตัว เป็นหลักของธรรมชาติ  ถ้าต้องการความสุขและความเจริญ ก็ต้องหมั่นทำความดีกัน เมื่อทำแล้วสิ่งที่จะได้รับทันทีก็คือความสุขใจ อย่างวันนี้เรามาทำบุญทำทานกัน เราก็มีความสุขใจอิ่มเอิบใจ เป็นผลที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนความเจริญก็ได้เกิดขึ้นกับจิตใจแล้ว  ได้พัฒนาสูงขึ้น เป็นจิตที่ดีขึ้น เวลาไปเกิดใหม่ก็จะได้ภพชาติที่ดีกว่าปัจจุบัน  นี้คือความหมายของความสุขและความเจริญ ไม่ได้เจริญด้วยลาภยศสรรเสริญสุข บางคนคิดว่าทำความดีแล้วจะร่ำรวย  ได้ตำแหน่งยศถาบรรดาศักดิ์สูงๆ   มีคนสรรเสริญยกย่อง ซึ่งไม่ใช่ผลที่เกิดจากการกระทำความดีโดยตรง  แต่อยู่ที่จิตใจที่มีความร่มเย็นเป็นสุขและสูงขึ้น มีคุณธรรมความดีงามมากขึ้น จนถึงจุดสูงสุด เช่นจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เป็นเหตุที่ทำให้เรามาวัดกัน เพราะความดีงามเป็นอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจ ให้มีความสุข ความอิ่ม ความเจริญ  เหมือนกับดินและน้ำที่เสริมสร้างให้ต้นไม้ใบหญ้าเจริญงอกงาม  ถ้าไม่มีดินไม่มีน้ำต้นไม้ย่อมไม่เจริญเติบโตขึ้นมาได้   ฉันใดความสุขและความเจริญของใจก็ต้องอาศัยการกระทำความดี ที่มีอยู่หลากหลายวิธีด้วยกัน 

 

หลักใหญ่ๆอยู่ที่การกระทำทางกายวาจาใจของเรา  ถ้าทำไปแล้วเกิดคุณเกิดประโยชน์ไม่เกิดโทษกับตนก็ดี กับผู้อื่นก็ดี ถือว่าเป็นการกระทำความดี จะทำอะไรจึงควรพิจารณาให้ดีก่อนว่าดีหรือไม่  เกิดคุณเกิดประโยชน์ หรือเกิดโทษตามมา ถ้ามีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ไม่มีโทษก็ทำไปเลย แต่ถ้ามีทั้งคุณและโทษก็ต้องชั่งน้ำหนักดูว่า ระหว่างคุณกับโทษอย่างไหนจะมากกว่ากัน เช่นให้เงินลูกไปโดยไม่รู้ว่าจะเอาไปซื้ออะไร ก็อาจจะเป็นคุณก็ได้เป็นโทษก็ได้ ถ้าไปซื้อยาเสพติด ซื้อบุหรี่ ซื้อสุรายาเมามาเสพ ก็จะเกิดโทษได้ เวลาจะให้เงินใครไปก็ต้องแน่ใจว่าจะเกิดคุณเกิดประโยชน์  เช่นเอาไปจ่ายค่าเล่าเรียน  ค่าอาหาร  ค่ารถไปโรงเรียน  เมื่อทำไปแล้วก็จะมีความสุข ที่ได้ช่วยพัฒนาคนให้ดีขึ้นให้สูงขึ้นให้ฉลาดขึ้น     แต่ถ้าทำไปแล้วเกิดโทษก็ไม่ต้องทำ เช่นให้เงินลูกซื้อบุหรี่ ซื้อสุรายาเมา  ซื้อยาเสพติด ไปเที่ยวเล่น ซึ่งไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่เป็นการกระทำความดี จะต้องมาทุกข์ภายหลัง เพราะเมื่อลูกไปเสพสุรายาเมา ยาเสพติด ก็จะมีเรื่องมีราวมีปัญหาต่างๆตามมา  ทำให้วุ่นวายใจกังวลใจ เพราะการให้มีทั้งคุณและโทษนั่นเอง เวลาจะให้อะไรจึงต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อนว่าควรจะให้อะไร นอกจากการให้แล้ว การรับใช้สังคมรับใช้ผู้อื่น ก็เป็นการกระทำความดีเช่นกัน ถ้าไม่มีเงินทองแต่มีเวลาว่าง จะเป็นอาสาสมัครขององค์กรใดองค์กรหนึ่งก็ได้ ทำประโยชน์ให้กับสังคม 

 

หรือจะรับใช้ผู้มีพระคุณเช่นบิดามารดาก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้าท่านมีอายุมากไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ก็ต้องเป็นหน้าที่ของลูกๆ  ที่จะต้องคอยดูแลรับใช้  เป็นการทดแทนบุญคุณที่เคยรับใช้เราตอนที่เรายังนอนแบเบาะอยู่ ตอนนั้นเราสั่งพ่อสั่งแม่ทำทุกสิ่งทุกอย่าง  อยากจะเข้าห้องส้วมก็ร้อง ก็ต้องพาเราไปถ่าย อยากจะกินข้าวก็ร้อง ก็เอาข้าวมาให้กิน  เจ็บท้องปวดหัวก็ร้อง ก็พาไปหาหมอหายา  จนเจริญเติบโตขึ้นมา ก็เพราะความเมตตากรุณาของคุณพ่อคุณแม่นั่นเอง เมื่อคุณพ่อคุณแม่มีอายุมาก ก็จะเป็นเหมือนตอนที่เราเป็นเด็ก ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้  เวลาหิวก็ต้องอาศัยเราเป็นผู้หาอาหารมาให้   เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องให้เราพาไปหาหมอ  เวลาอยากจะออกไปข้างนอกก็ต้องให้เราพาไป เป็นการกระทำความดีเช่นเดียวกัน  เพราะทำแล้วเกิดคุณเกิดประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย  ผู้ได้รับก็มีความสุข ความปีติ ความปลื้มใจ ความภูมิใจ    ที่มีลูกที่ดี เราก็มีความสุข ความปีติ ความภูมิใจ ที่ได้เป็นคนดี ได้ทดแทนบุญคุณของบิดามารดา  อย่าปล่อยให้ท่านตายไปเสียก่อน แล้วค่อยมาทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้กับท่าน บุญที่อุทิศไปนั้นได้เพียงเสี้ยวเดียว ไม่เหมือนกับบุญที่ทำในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่  ทำ ๑๐๐ ก็ได้ทั้ง ๑๐๐ เลยแต่ถ้าทำบุญอุทิศทำ ๑๐๐  อุทิศไปได้เพียงเสี้ยวเดียว เพียงหนึ่งในร้อยเท่านั้นเอง แล้วก็มาร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจทีหลัง ว่าไม่ได้ทำความดีให้กับคุณพ่อคุณแม่เลย ร้องไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เป็นการแสดงละครให้คนอื่นดูเสียมากกว่า  ถ้าอยากจะทดแทนบุญคุณให้กับคุณพ่อคุณแม่ ก็ต้องทำในตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่  แม้ท่านอายุยังไม่มากยังไม่แก่ เราก็ทำได้ช่วยเหลือท่านได้ 

 

มีงานมีการอะไรพอที่จะช่วยทำได้ ก็ช่วยทำไป อย่าทำแต่สิ่งที่อยากทำ ไปเที่ยว ไปกิน ไปดื่ม  ไปเล่นกับเพื่อนกับฝูง ต้องคิดถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ต้องลำบากลำบนหาเงินหาทองมาเลี้ยงดูเรา  ควรแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมาช่วยเหลือคุณพ่อคุณแม่ เวลาท่านสั่งสอนก็ควรน้อมรับด้วยความเคารพ  เวลาท่านว่ากล่าวตักเตือนก็ไม่ควรแสดงอาการไม่พออกไม่พอใจ  ควรตั้งสติฟัง คิดว่ากำลังฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระ เพราะพ่อแม่เป็นพระพรหมเป็นพระอรหันต์ของลูก   เป็นครูบาอาจารย์ของลูก   เวลาคุณพ่อคุณแม่พูดอะไรก็ควรตั้งใจฟัง  ถ้าพนมมือรับฟังได้ด้วยยิ่งดีใหญ่ ท่านจะพูดอะไรก็ไม่ต้องแสดงปฏิกิริยาอะไรทั้งสิ้น จะถูกใจหรือไม่ถูกใจก็รับฟังไว้ พิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ถ้าเป็นคุณเป็นประโยชน์ก็น้อมเอามาปฏิบัติ ถ้าไม่มีคุณไม่มีประโยชน์มีแต่โทษก็ไม่ต้องปฏิบัติตาม  ถ้าท่านสอนให้เป็นคนขี้โกง  ให้ลักเล็กขโมยน้อย โกหกหลอกลวง เพราะท่านคิดว่าเป็นความฉลาดเป็นความเก่ง ถ้าอย่างนี้ก็เป็นความคิดที่ไม่ถูก เป็นคำสอนที่ไม่ถูก ก็ไม่ควรนำมาปฏิบัติ แต่ไม่ใช่ฐานะของเราที่จะไปเถียงคุณพ่อคุณแม่ ว่าไม่ถูกไม่ต้องไม่ดีไม่งาม  ลูกมีหน้าที่รับฟังเท่านั้น   รับถ่ายทอดความรู้ต่างๆ ที่บิดามารดาจะมอบให้  ไม่มีหน้าที่ไปสั่งสอนคุณพ่อคุณแม่ ถ้าจะสั่งสอนก็ต้องให้คุณพ่อคุณแม่ขอร้องก่อน ถ้าถามค่อยสอนท่าน  ถ้าไม่ถามก็ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ที่จะไปสั่งสอนคุณพ่อคุณแม่ เป็นบาปเป็นกรรม ที่ไปทำตนสูงกว่าพ่อแม่ อย่างนี้ถือว่าไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ เป็นคนด้อยปัญญา    

 

นอกจากทำความดีแล้ว เราก็ต้องละการกระทำความชั่วด้วย ไม่ใช่ทำความดีและความชั่วควบคู่กันไปด้วย  อย่างนี้ก็จะไปไม่ถึงไหน เพราะความดีจะพยายามจะฉุดให้ขึ้นสูง ส่วนความชั่วจะฉุดให้ลงต่ำ ก็ขึ้นไปสูงไม่ได้ เช่นไปเป็นอาสาสมัครรับใช้สังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสลักเล็กขโมยน้อย เวลาเก็บศพที่ตายตามข้างถนนเวลาเกิดอุบัติเหตุ ก็ฉวยโอกาสเอาทรัพย์สินของคนตายไป เอานาฬิกา เอาแหวน เอาสร้อยไป อย่างนี้ไม่เป็นบุญ แต่เป็นบาป อาศัยการทำบุญบังหน้า  แต่สิ่งที่ทำจริงๆก็คือบาปนั่นเอง ไปลักขโมยของผู้อื่น  จึงต้องละการกระทำความชั่วด้วย ไม่ใช่ทำความดีอย่างเดียว  ความดีก็ต้องทำ   ความชั่วก็ต้องละ  แล้วก็ต้องกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจด้วย  เพราะเป็นต้นเหตุของการกระทำบาปทุกชนิด  ถ้าโลภก็จะทำบาปได้ เพราะเมื่ออยากจะได้อะไรมากๆแล้ว  ถ้าไม่สามารถหามาด้วยความสุจริตก็ต้องหามาด้วยวิธีทุจริต ไปลักไปขโมย ไปฉ้อโกง ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น   เราจึงต้องกำจัดความโลภ  ความโกรธ ความหลงให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วต่อให้ละเว้นการกระทำบาปได้มากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะไม่สามารถป้องกันบาปที่จะทำในอนาคตได้ ตราบใดยังมีความโลภ ความโกรธ  ความหลงอยู่ ก็ยังสามารถทำบาปทำกรรมได้ เราจึงต้องมาชำระความโลภ ความโกรธ  ความหลง เพราะเป็นต้นเหตุของการกระทำบาปทั้งปวงนั่นเอง  ถ้ากำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงจนหมดสิ้นไปแล้ว ก็จะไม่ทำบาปอีกต่อไป จะทำแต่ความดีอย่างเดียว เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่อุทิศเวลาสั่งสอนผู้อื่นให้รู้จักผิดถูกดีชั่ว ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ต่างๆ เพราะใจของท่านไม่มีความหิว ไม่มีความอยาก ไม่มีความต้องการอะไรทั้งสิ้น เพราะมีครบบริบูรณ์แล้ว มีความสุขเต็มที่ เป็นเหมือนน้ำที่เต็มแก้วแล้ว ต่อให้เทน้ำลงไปมากน้อยเพียงไรก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจะต้องไหลล้นออกมา  ฉันใดจิตของผู้ที่ได้กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงจนหมดสิ้นไปแล้วก็จะเป็นอย่างนั้น เป็นจิตที่ไม่หิวไม่อยากกับอะไรทั้งสิ้น มีแต่ทำความดี ช่วยเหลือผู้อื่นให้มีความสุข ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ 

 

จึงต้องให้ความสำคัญต่อการชำระ ความโลภ  ความโกรธ   ความหลง  ตัวแรกที่ต้องชำระก็คือความหลง  เพราะเป็นต้นเหตุของความโลภความโกรธ ความหลงคืออะไร คือความเห็นผิดเป็นชอบ  เห็นกงจักรเป็นดอกบัว   เห็นสิ่งที่ไม่ดีว่าเป็นสิ่งที่ดี เช่นเห็นการเสพสุรายาเมาเป็นสิ่งที่ดี เสพแล้วมีความสุข เป็นความเห็นผิดเป็นชอบ  เพราะดื่มสุราแล้วจะเกิดอาการมึนเมา แล้วก็ไปมีเรื่องมีราวมีปัญหาต่างๆ ถ้าขับรถยนต์ก็มักจะเกิดอุบัติเหตุ ต้องตายไปก่อนเวลาที่ควร หรือพิกลพิการไปตลอดชีวิต ถ้าไม่ใช้ปัญญาพิจารณาก็จะไม่เห็น จะคิดว่าเสพสุรายาเมาเป็นสิ่งที่ดี   ถ้าศึกษาจนรู้ว่าไม่ดีก็จะไม่อยากดื่ม  เมื่อไม่ดื่มก็จะไม่มีปัญหาต่างๆตามมา  เป็นการกำจัดความโลภและความโกรธไปพร้อมๆกัน  เพราะความโกรธเป็นสิ่งที่ตามความโลภมา เวลาโลภอยากจะทำอะไรอยากจะได้อะไร แล้วถูกขัดขวางไม่ให้ทำ ก็จะเกิดความโกรธขึ้นมา อยากจะดื่มสุราแต่ภรรยาไม่ให้ดื่ม ก็จะโกรธภรรยา อาจจะทำร้ายภรรยา เพราะความหลงเป็นต้นเหตุ เห็นว่าดื่มสุราแล้วมีความสุขก็อยากจะดื่ม เกิดความโลภขึ้นมา เมื่อภรรยาห้ามไม่ให้ดื่มก็โกรธภรรยาแล้วก็ทุบตีภรรยา  เพราะไม่ได้ศึกษา  ถ้าได้ศึกษาได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ก็จะรู้จะเข้าใจ ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ดีจริงๆ ที่ให้ความสุขจริงๆ  แต่มีทั้งดีและไม่ดีปนกันไป มีทั้งสุขและทุกข์ปนกันไป  ไม่ว่าจะเป็นวัตถุข้าวของต่างๆ หรือบุคคลต่างๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน  ถ้าได้มาครอบครองเป็นสมบัติแล้ว ก็จะได้ทั้งความสุขและความทุกข์ปนกันมา  

 

ได้สามีหรือได้ภรรยามาเป็นคู่ครอง ก็จะมีความสุขกับสามีและภรรยา เวลาแต่งงานกันใหม่ๆ มีแต่ยิ้มแย้มแจ่มใสชื่นอกชื่นใจ พออยู่กันไปไม่นานความสุขก็หายไป  มีความทุกข์ตามมา ที่เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งกันขัดใจกัน  เป็นห่วงเป็นใยกัน ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลง  ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ  ก็ดีไปหมด  ต้องการให้ทำอะไรก็ทำให้หมด แต่เมื่ออยู่กันไปนานๆแล้วก็เปลี่ยนนิสัยไป  เคยรับใช้เคยทำอะไรให้ก็ไม่ทำ นอกจากไม่ทำแล้วยังกลับมาใช้เราอีก  ถ้าได้พิจารณาดีแล้วก็จะไม่อยากแต่งงาน จะไม่อยากมีคู่ อยู่ตัวคนเดียวดีกว่า ไม่ต้องไปทุกข์กับใคร  ไม่ต้องไปห่วงไปกังวล  ไม่ต้องไปเกลียดไปโกรธเขาเวลาที่ถูกขัดใจ เป็นความทุกข์ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง แต่มองไม่เห็น เพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ยินไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า คิดไม่เป็น พิจารณาไม่เป็น เวลาอยากจะได้อะไรต้องการอะไร จะเห็นแต่ส่วนที่ดีแต่ส่วนที่ไม่ดีจะมองไม่เห็น เพราะความหลงเป็นอย่างนี้ จะเห็นแต่สิ่งที่ดี ไม่เห็นสิ่งที่ไม่ดีที่มีปนอยู่ด้วย ชีวิตของเราจึงมีความสุขและความทุกข์คละเคล้ากันไป  ส่วนใหญ่จะเป็นความทุกข์เสียมากกว่าความสุข เป็นเหมือนกับน้ำตาลเคลือบยาขมนั่นเอง เวลาอมไปใหม่ๆก็มีความหวานดี  พอน้ำตาลละลายไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่ความขม  ฉันใดสิ่งต่างๆที่ได้มาใหม่ๆก็จะมีแต่ความสุข ต่อไปก็จะมีแต่ความขมขื่น มีแต่ความทุกข์ แต่ก็อยู่คนเดียวไม่ได้ ก็เลยต้องทนอยู่ไป เพราะไม่ฉลาดนั่นเอง 

 

ถ้าได้ศึกษาได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนแล้ว จะรู้ว่ามีความสุขอีกอย่างหนึ่งที่ดีกว่าความสุขที่มีอยู่กัน    คือความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจ เป็นผลที่เกิดจากการทำความดี ละบาป กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจ  เป็นความสุขที่เลิศและประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้สัมผัส   ได้ครอบครองเป็นสมบัติ เราก็สามารถนำมาเป็นสมบัติของเราได้ แต่ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ก็จะไม่รู้จักความสุขแบบนี้ แต่ตอนนี้เรารู้แล้ว ว่าทางเก่าที่เราเดินอยู่เป็นทางที่เต็มไปด้วยความทุกข์ ถ้าอยากจะพบกับความสุขที่ไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่เลย ก็ต้องมาทางนี้ เริ่มต้นด้วยการทำบุญทำทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรมแล้วก็ปฏิบัติจิตตภาวนา ทำจิตใจให้สงบ ด้วยการไหว้พระสวดมนต์ สวดไปเรื่อยๆสักครึ่งชั่วโมงสักชั่วโมงหนึ่ง ก็จะทำให้จิตใจสงบเย็นสบาย หรือจะกำหนดพุทโธๆ  บริกรรมพุทโธๆไปในใจก็ได้ ถ้าไม่อยากจะสวดมนต์   นั่งขัดสมาธิตั้งตัวให้ตรง หาที่สงบ ไม่มีอะไรมารบกวน แล้วก็มีสติให้รู้อยู่กับการบริกรรมพุทโธๆ อย่าปล่อยให้จิตไปคิดเรื่องราวต่างๆ   เวลาไปคิดก็ต้องดึงกลับมาหาพุทโธๆ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ช้าก็เร็วจิตก็จะรวมลงเข้าสู่ความสงบ  พอสงบแล้วก็จะมีแต่ความสุขความสบาย มีความปีติ มีความอิ่ม มีความพอ  จะทำให้หูตาสว่างขึ้น เริ่มเห็นแล้วว่ายังมีความสุขอีกแบบหนึ่ง ที่ดีกว่าความสุขที่มีอยู่ ความสุขที่ได้จากการไปดื่ม ไปกิน ไปดู ไปฟัง ไปเที่ยว ไปเล่น   ความสุขแบบนี้ได้สัมผัสมามากพอแล้ว แต่ไม่เคยทำให้อิ่มให้พอเลย 

 

ต่างกับความสุขที่เกิดจากการทำจิตใจให้สงบ ที่มีความอิ่ม มีความพอ เมื่อได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้ว  ความสุขชนิดอื่นๆที่เคยสัมผัสมาจะหมดคุณค่าไป จะไม่มีความหมายอีกต่อไป จะเป็นเหมือนกับก้อนอิฐก้อนกรวดที่ไม่มีคุณค่าอะไร ส่วนความสุขที่ได้รับจากการทำจิตใจให้สงบจะเป็นเหมือนเพชรนิลจินดา ถ้าได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้วก็จะมุ่งสู่ความสุขแบบนี้ อยากจะให้มีมากยิ่งขึ้นไป    จะเข้าวัดบ่อยขึ้น  ทำบุญมากขึ้น รักษาศีลมากขึ้น อาจจะออกบวชปฏิบัติธรรมไปเลย  สละชีวิตของฆราวาสไป เพราะเห็นว่ามีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ไม่รู้จักจบจักสิ้น  ความสุขที่แท้จริงต้องเกิดจากชีวิตที่เรียบง่ายที่สงบ ไม่วุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ  ถ้ายังมีสมบัติ มีข้าวของเงินทอง มีบริษัท มีบริวาร ก็จะหาความสงบสุขไม่ได้ เพราะเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายใจนั่นเอง ทุกวันนี้ที่ทุกข์ที่วุ่นวายใจ ก็เพราะเรื่องราวเหล่านี้   ทุกข์กับสามี ทุกข์กับภรรยา ทุกข์กับลูก ทุกข์กับสมบัติข้าวของเงินทอง ทุกข์กับภารกิจการงานต่างๆ แต่ก็ไม่รู้จักหาทางออกกัน เพราะไม่ได้ยินได้ฟังธรรมะกันนั่นเอง  ถ้าเราฟังธรรมะเรื่อยๆแล้ว จะเห็นทางออก จะถามตนว่าทำไมต้องทนอยู่กับความทุกข์แบบนี้  ในเมื่อมีความสุขที่แท้จริงรอเราอยู่ เมื่อถึงจุดนี้แล้วก็จะตัดสินใจสละสมบัติข้าวของเงินทอง บริษัท บริวารต่างๆ  ได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าที่ได้ทรงสละราชสมบัติแล้วก็ออกบวช จนได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด    นี้คือสิ่งที่เราสามารถให้กับเราได้ ถ้าหมั่นมาวัด มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม  มาปฏิบัติธรรม  จึงขอฝากสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปพินิจพิจาณาและปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้