กัณฑ์ที่ ๒๘๓        ๖ มกราคม ๒๕๕๐

 

ทรัพย์ภายใน

   

 

 

 

อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์แรกของปีใหม่ เป็นเวลาที่ดีสำหรับการเริ่มต้นใหม่ ทำสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่าที่เคยทำมา ที่ไม่ได้ทำให้ชีวิตจิตใจของเราไปถึงจุดที่ต้องการกัน  คือไปสู่ความอิ่ม ความพอ พ้นจากความวุ่นวายใจทั้งหลาย แต่เราสามารถไปกันได้ถ้าเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนการกระทำของเรา เพราะการกระทำของเราเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งผลที่ปรารถนา  เหตุที่ยังไม่ได้พบกับผลที่ปรารถนาก็เพราะทำไม่ถูก  ถ้าเป็นการเดินทางก็เดินผิดทาง แทนที่จะขึ้นเหนือกลับลงใต้ จึงไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง  เราจึงต้องมาทำใหม่ เปลี่ยนการดำเนินชีวิตของเราใหม่  วิธีเก่าที่ไม่ดีก็ต้องกำจัดไปตัดไป วิธีที่ดีก็ทำให้มากยิ่งขึ้นไป เพราะการจะไปถึงความอิ่มความพอ ความสุขที่ไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่เลย ก็ต้องทำทั้งความดีและละความชั่ว ต้องกำจัดความโลภความโกรธความหลงที่มีอยู่ในใจให้หมดสิ้นไป  นี้คือภารกิจของพวกเรา ถ้าปรารถนาความสุขความเจริญที่แท้จริง  ต้องพยายามทำทั้ง ๓ ประการนี้คือ ๑. ทำความดี  ๒. ละบาป ๓. กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจ  จะทำได้ก็ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือช่วยเหลือ ให้ได้ทำในสิ่งที่ดีที่งาม มีอยู่ ๔ ประการด้วยกันคือ  ๑. ฉันทะ  ความยินดี  ๒. วิริยะ  ความพากเพียร ๓. จิตตะ  ความตั้งมั่น จดจ่อ  ๔. วิมังสา การใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล   เราจึงต้องสร้างเครื่องมือนี้ขึ้นมาให้ได้ เมื่อมีแล้วสิ่งที่ต้องทำก็จะง่ายดาย เหมือนกับเวลาเปลี่ยนยางรถ เวลายางแตก ถ้าไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือเลย  ก็จะไม่สามารถเปลี่ยนได้ มีมือเปล่าๆอย่างเดียว คงจะยกรถให้ลอยขึ้นแล้วถอดล้อออกมาเปลี่ยนยางใหม่ คงจะทำไม่ได้ ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ   

 

ฉันใดการจะยกจิตให้อยู่เหนือความทุกข์ทั้งหลาย ให้มีแต่ความอิ่ม มีแต่ความพอ มีแต่ความสุขตลอดเวลาก็เช่นเดียวกัน ต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือ  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้สร้าง  ฉันทะ ความยินดีในการกระทำความดีทั้งหลาย ในการละบาปทั้งหลาย ในการกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงทั้งหลาย  ความยินดีจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ลองสังเกตดูเวลาที่เรายินดีกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด มันเกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร ก็เพราะเรารู้ว่ามันดี ของบางอย่างเราไม่รู้ว่ามันดี แต่พอได้รับความรู้จากผู้อื่น เช่น พ่อแม่สอนเราว่าสิ่งนั้นดีนะสิ่งนี้ดีนะ  เวลาพ่อแม่ให้เงินทองกับเรา พ่อแม่ก็บอกว่าเงินทองนี้ดีนะลูกเก็บไว้ใช้ได้  เมื่อลองเอามาใช้ดู ก็ได้ประโยชน์ได้สิ่งต่างๆที่ต้องการ เราก็เห็นคุณค่าของเงินทอง ว่าเป็นสิ่งที่ดี เราก็มีฉันทะ ยินดีที่จะหาเงินหาทองมาเก็บไว้ เอามาใช้ ฉันใดการกระทำความดี ละบาป กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงก็เป็นเหมือนเงินทองเหมือนกัน แต่เป็นเงินทองภายในใจ เรียกว่าทรัพย์ภายใน ซึ่งมีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์ภายนอก ที่ต่อให้มีมากน้อยเพียงไร ก็ไม่สามารถกำจัดความทุกข์ใจได้ เพียงแต่ช่วยให้อยู่อย่างสุขอย่างสบายในด้านปัจจัย ๔ เท่านั้นเอง มีบ้านอยู่ มีอาหารรับประทาน  มียารักษาโรค มีเสื้อผ้าใส่  อยากจะไปไหนก็ไปได้ อยากจะทำอะไรก็ทำได้ อยากจะซื้ออะไรก็ซื้อได้ แต่สิ่งเดียวที่ทรัพย์ภายนอกทำไม่ได้ก็คือ กำจัดความทุกข์ความวุ่นวายใจ  มีแต่ทรัพย์ภายในเท่านั้นที่จะสามารถกำจัดได้ ทรัพย์ภายในจึงมีคุณค่ายิ่งกว่าทรัพย์ภายนอก เป็นล้านเท่าเลยทีเดียว  ทรัพย์ภายในจะติดกับใจไปตลอด  ไม่มีใครสามารถพรากจากเราไปได้

 

ไม่เหมือนทรัพย์ภายนอก มีอยู่แล้วก็หมดไปได้  ตายไปก็ต้องจากกันไป เอาติดตัวไปไม่ได้ ต้องทิ้งให้คนอื่นไว้ แต่ทรัพย์ภายในจะติดกับใจเราไปตลอด   ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน จะตายหรือจะเป็นก็จะอยู่กับใจเสมอ  จะดูแลรักษาใจไม่ให้ทุกข์ ไม่ให้วุ่นวาย ไม่ให้เศร้าโศกเสียใจ ไม่ให้กลัว ไม่ให้กังวล  เป็นความสามารถของทรัพย์ภายใน  ถ้าหมั่นศึกษาด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ  เข้าหาพระสุปฏิปันโน พระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ได้ทำความดี  ได้ละบาป  ได้กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงจนหมดสิ้นไปแล้ว ถ้าได้ยินได้ฟังจากท่านอยู่เรื่อยๆ  ก็จะเห็นคุณค่าของทรัพย์ภายในยิ่งกว่าทรัพย์ภายนอก เมื่อเห็นแล้วก็จะมีฉันทะ  มีความยินดีที่จะสะสมทรัพย์ภายในขึ้นมาด้วยการปฏิบัติ ในเบื้องต้นจึงต้องสร้างความยินดีให้เกิดขึ้น ด้วยการได้ยินได้ฟังจากผู้รู้   ผู้ที่รู้คุณค่าของทรัพย์ภายใน เมื่อได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆ   เหมือนกับที่พ่อแม่สอนเรื่องคุณค่าของทรัพย์ภายนอกแล้ว ก็ลองเอามาปฏิบัติดู   เมื่อปฏิบัติแล้วก็จะเห็นผลปรากฏขึ้นมาในใจ เวลาทำความดีก็จะมีความสุข มีความอิ่มเอิบใจ เวลาต่อสู้จนชนะการทำบาปได้ ก็มีความภูมิใจ มีความปลอดภัย มีความสบายใจ เวลาที่กำจัดความโลภ  ความโกรธ  ความหลงได้ จิตใจก็จะสงบเย็นสบาย ไม่วุ่นวาย ต่างกับเวลาที่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจจะร้อนเป็นไฟ   อยากจะได้อะไรก็จะนั่งไม่ติดเลยต้องวิ่งต้องเต้นต้องหามาให้ได้  เวลาโกรธก็เช่นเดียวกัน ต้องแสดงฤทธิ์ของความโกรธออกมาให้ได้  เวลาหลงก็งมงายจนไม่รู้ผิดถูกดีชั่ว 

 

เช่นคนหลงติดยาเสพติด หลงเล่นการพนัน หลงเที่ยวกลางคืน  หลงเสพสุรายาเมา  ก็เป็นอย่างนั้น ทำให้ติดงอมแงมไปเลย ไม่ดูเหตุไม่ดูผล  ถ้าหลงแล้วต้องว่าดีทั้งนั้น ทั้งๆที่กำลังทำลายชีวิตให้สั้นลงไป ก็มองไม่เห็น ความหลงเป็นอย่างนี้ ถ้ากำจัดได้ก็จะพบกับความสุขความสบาย  จึงควรต่อสู้กับความหลง ถ้าติดสุรายาเมาก็ลองเลิกดู   ถ้าติดเที่ยวกลางคืนก็ลองเลิกเที่ยวดู  ถ้าติดการพนันก็ลองเลิกดู ดูซิว่าผลจะเป็นอย่างไร คนที่ไม่ติดสบายกว่าตั้งเยอะแยะ  เรากลับมองไม่เห็น เพราะความหลงมันปิดตาปิดใจเรา ไม่ให้เห็นโทษของอบายมุขต่างๆ จึงควรศึกษาและปฏิบัติดูเมื่อได้ปฏิบัติแล้วก็จะเห็นผล เราก็จะมีวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร  เพราะรู้ว่าทำแล้วได้ประโยชน์ ก็ไม่ต้องบังคับกัน เหมือนกับทำงานแล้วได้เงินได้ทองมาเป็นกอบเป็นกำ ก็ไม่ต้องให้ใครบังคับไปทำงาน  จะตื่นแต่เช้าทำงานตลอด  ๗ วันเลย เพราะทำแล้วได้เงินได้ทอง มีกำลังจิตกำลังใจ มีความขยันหมั่นเพียรขึ้นมาเอง และจะทำไปจนกว่างานจะสำเร็จลุล่วงไป  ด้วยจิตใจจดจ่อคือจิตตะ คุณธรรมลำดับที่ ๓  จะไม่อยากไปทำอย่างอื่น อยากจะทำแต่ความดี อยากจะละบาป อยากจะกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง เหมือนกับคนที่ทำมาหากินจนร่ำรวย ก็ไม่อยากจะทำอย่างอื่น อยากจะหาเงินหาทองให้รวยยิ่งๆ ขึ้นไป หรือคนที่มีอำนาจก็จะไม่อยากจะทำอะไรอย่างอื่น ก็อยากจะทำให้มีอำนาจมากเพิ่มขึ้นไป รักษาอำนาจที่มีอยู่ไม่ให้หลุดลอยไป เรียกว่าจิตตะ ใจมีความจดจ่อ มีความแน่วแน่ตั้งมั่น กับการกระทำในสิ่งที่ปรารถนาด้วยวิมังสา ใคร่ครวญด้วยเหตุผลว่าทำอย่างไรถึงจะรวยขึ้นกว่าเดิม ทำอย่างไรถึงจะมีอำนาจมากกว่าเดิม ทำอย่างไรถึงจะมีทรัพย์ภายในมากกว่าเดิม ถ้ามีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว รับรองได้ว่าไม่ว่าจะทำอะไร ในทางโลกก็ดี เช่นแสวงหาทรัพย์ภายนอก  แสวงหาอำนาจวาสนาบารมี หรือในทางธรรมก็ดี แสวงหาทรัพย์ภายใน ก็จะไม่อยู่เหนือวิสัยของเราไปได้ถ้ามีฉันทะความยินดี  วิริยะความพากเพียร  จิตตะความจดจ่อ วิมังสา การใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผล

 

ไม่ว่าจะทำอะไรควรมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่ากำลังทำอะไรอยู่  กำลังดำเนินไปตามทางที่ต้องการไปหรือไม่ กำลังทำความดีหรือไม่ ละบาปหรือไม่ ละอบายมุขต่างๆหรือไม่  กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่หรือไม่  นี้คือสิ่งที่ควรถามตัวเราเสมอ ทุกครั้งที่จะทำอะไร จะพูดอะไร  คิดอะไร เช่นคิดจะไปเที่ยว ก็ต้องถามว่าไปดีไหม เกิดคุณเกิดประโยชน์หรือไม่  ถ้าไม่เกิดคุณเกิดประโยชน์ก็ไม่ต้องไป ไปเล่นการพนันดีหรือไม่ ถ้าไม่ดีมีแต่ผลเสียก็ไม่ไป  ไปยิงนกตกปลา ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น เป็นบาปหรือไม่ ถ้าเป็นบาปก็ต้องไม่ทำ อยากจะได้สิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็น เช่นมีบ้านอยู่หลังหนึ่งแล้ว ก็ยังอยากจะได้อีกหลัง อยากจะได้อีกสองหลัง มีรถอยู่คันหนึ่งแล้วก็อยากจะได้อีกคันสองคัน  มีภรรยามีสามีอยู่แล้วก็ยังอยากจะได้เพิ่มขึ้นมาอีก อย่างนี้ดีหรือไม่ มีความจำเป็นหรือไม่ สร้างความสุขให้มากขึ้นหรือสร้างปัญหาสร้างความทุกข์ให้มากขึ้น ต้องใช้ปัญญาแยกแยะ ใช้เหตุใช้ผล อย่าทำตามอารมณ์เพราะจะไม่มีที่สิ้นสุด อารมณ์ก็คือความอยากนั่นเอง เห็นอะไรชอบก็อยากได้ พอได้มาแล้วก็เบื่อ แล้วก็อยากจะได้ใหม่ ได้มาใหม่แล้วก็เบื่ออีก ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีขอบ ไม่มีเขต ไม่มีฝั่งไม่มีฝา แต่ถ้าอยากตามเหตุตามผล จะมีขอบมีเขต ต้องการอะไรก็ต้องมีเหตุผล ว่าจำเป็นไหม เพราะถ้าจำเป็นก็หามาได้  เมื่อได้มาครบแล้วก็จะไม่อยากอีก เช่นต้องมีบ้านอยู่อาศัย พอมีบ้านแล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปมีอีกหลังสองหลัง  มีเสื้อผ้าพอใส่หรือยัง เต็มตู้หรือยัง หรือต้องหาตู้มาเก็บไว้อีกสองสามใบ อย่างนี้ก็เกินเหตุเกินผล 

 

ร่างกายก็มีอยู่ร่างเดียว ใส่เสื้อผ้าก็ใส่ได้ทีละชุดเท่านั้นเอง ลองเปิดตู้ดูซิว่าเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่มาตั้ง  ๖ เดือนตั้งปีหนึ่งแล้ว มีอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็เอาไปแจกเอาไปจ่ายผู้อื่นดีกว่า อย่าเก็บไว้ให้เกะกะรกบ้านรกช่อง ไม่เกิดประโยชน์อะไร เอาไปทำบุญทำทาน  ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่มีเสื้อผ้าใส่ จะเกิดคุณเกิดประโยชน์ ทำให้เรามีความสุข ผู้ที่ได้รับเสื้อผ้าก็มีความสุข  เป็นสิ่งที่เราสามารถทำกันได้  ถ้าใช้สติใช้ปัญญากันสักหน่อย อย่าไปเสียดายข้าวของเงินทองต่างๆ  พิจารณากันบ้างว่า เกิดมาแล้วไม่ช้าก็เร็วก็ต้องตายจากโลกนี้ไป จะตายเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้  ไม่มีใครรับประกันได้ ว่าจะตายตอนอายุ ๙๐ หรือตอนอายุ ๑๕, ๒๐, ๓๐ ก็ได้ ไม่มีใครรู้  จึงอย่าประมาท รีบขวนขวายสร้างความดีงามทั้งหลาย ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนให้กระทำกันเทอญ เพราะเป็นทรัพย์ภายใน  แปลงทรัพย์ภายนอกให้มาเป็นทรัพย์ภายใน  เมื่อมีทรัพย์ภายในแล้วก็จะติดตัวไปกับเรา ไปอยู่ที่ไหนก็จะสุขจะสบาย ไม่อดอยากขาดแคลน  อย่างที่พวกเราทั้งหลายมาเกิดในชาตินี้ อยู่กันอย่างสุขอย่างสบาย   มีข้าวของใช้อย่างพอเพียง ก็เพราะในอดีตเราได้สะสมไว้นั่นเอง ได้ทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ  ทานจึงส่งให้เราได้อยู่ดีกินดีแล้วก็ส่งให้เรามาทำบุญต่ออีก   บุญที่เคยทำไว้ติดเป็นนิสัยมา ทำให้ชอบทำบุญอยากจะทำบุญ แต่คนที่ไม่ชอบทำบุญไม่อยากจะทำบุญ ก็เป็นเพราะไม่เคยทำมาก่อนในอดีตนั่นเอง จึงไม่ติดเป็นนิสัยมา  ถ้าทำก็เฉพาะเวลาจำเป็น  เช่นเพื่อนฝูงจัดงานทำบุญเชิญมา  มีงานบวชก็มา  มีงานวันเกิดนิมนต์พระไปสวดที่บ้านก็ไป แต่ไม่ไปเพราะมีนิสัยติดอยู่กับใจ ไปเพราะสังคมเรียกร้องให้ไปเท่านั้นเอง  แต่คนที่ได้ทำบุญทำทานมาแล้ว จะติดเป็นนิสัย จะได้รับอานิสงส์ 

 

จึงควรสะสมนิสัยการทำบุญให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป   ถ้าปีหนึ่งมาวัดเพียงแค่ ๒, ๓ ครั้ง  ก็เพิ่มขึ้นให้เป็น ๒๐, ๓๐ ครั้ง บางคนมาปีละ ๕๐ กว่าครั้ง คืออาทิตย์ละหนึ่งครั้ง ถือเป็นหน้าที่  เพราะทำแล้วได้รับประโยชน์ ได้ทั้งความสุขในปัจจุบัน และได้อริยทรัพย์ที่จะติดตัวไปเวลาที่ตายไปแล้ว  เมื่อทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ  จิตใจก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ชาตินี้ทำบุญปีละ ๕๒ ครั้ง ชาติต่อๆไปก็จะทำบุญปีละ ๓๖๕ ครั้ง    เช่นใส่บาตรทุกวันก็ได้ จะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นเหมือนพระเวสสันดรไปในที่สุด  มีอะไรก็ไม่อยากจะเก็บไว้ ใครอยากจะได้อะไรก็ยินดีให้ เพราะมีอยู่พอเพียงแล้ว  เมื่อทำบุญทำทานได้ระดับพระเวสสันดรแล้ว พระพุทธภูมิ คือการได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าในภพชาติต่อไป ก็จะไม่ยากเย็นอะไรเลย เพราะเกิดจากการได้บำเพ็ญบุญบารมี ละบาป กำจัดความโลภ  ความโกรธ ความหลงในแต่ละภพในแต่ละชาตินั่นเอง เป็นเหตุให้ได้เกิดเป็นมนุษย์  เป็นเทพ  เป็นพรหมอยู่เรื่อยๆ โอกาสที่จะเกิดเป็นเดรัจฉาน ไปตกนรก ก็มีน้อยมาก  ยกเว้นบาปกรรมเก่าที่เคยทำไว้แล้วยังไม่ได้แสดงผลยังไม่ส่งผล ก็อาจจะส่งให้ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง   ไปตกนรกบ้าง  แต่ถ้าทุกครั้งที่ได้เกิดเป็นมนุษย์แล้ว ได้บำเพ็ญตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน ทำแต่ความดี  ละการทำบาป  กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจ  ถ้าทำอย่างนี้แล้วจิตใจจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อยๆ  ภพชาติจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ   ความทุกข์จะน้อยลงไปเรื่อยๆจนหมดสิ้นไป

 

เมื่อจิตใจได้รับการพัฒนา ได้รับการชำระจนสะอาดบริสุทธิ์ กลายเป็นจิตของพระอรหันต์ไปแล้ว  ภพชาติคือการเวียนว่ายตายเกิดก็จะไม่มีอีกต่อไป ความทุกข์ที่เกิดจากความแก่  ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากกัน ก็จะไม่มีตามมาเพราะเกิดจากการเกิดนั่นเอง  เมื่อเกิดแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกัน  แต่ถ้าไม่เกิดก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ตามมา ทุกข์จึงไม่มีกับผู้ที่ไม่เกิด ถ้าตราบใดยังเกิดอยู่ ตราบนั้นก็ยังจะต้องเจอกับความทุกข์อยู่  ถ้ายังมีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ ก็ยังต้องเกิดอยู่ เพราะเป็นเหตุของความเกิดนั่นเอง  เราจึงต้องมาทำความดี มาละบาป มากำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงกัน เพราะถ้าไม่ทำแล้วต่อให้มั่งมีขนาดไหนก็ตาม ต่อให้มีฐานะสูงส่งขนาดไหนก็ตาม จะเป็นกษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี เป็นเศรษฐี  ก็ยังไม่พ้นจากความทุกข์ ความเศร้าโศก ความกังวล ความหวาดกลัวไปได้ เพราะสิ่งต่างๆที่มีอยู่  คือทรัพย์ภายนอกไม่สามารถกำจัดความวุ่นวาย ความทุกข์ใจได้นั่นเอง จึงต้องสร้างทรัพย์ภายในให้เกิดขึ้นมาด้วยศรัทธาความเชื่อ  เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน   เชื่อในสิ่งที่พระอริยสงฆ์สาวกสั่งสอน ว่าเป็นสวากขาโต ภควาตาธัมโม เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว เป็นธรรมที่ถูกตามหลักความเป็นจริง ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว กำจัดกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลงก็จะได้หลุดพ้นจากความทุกข์ จะได้บรรลุถึงพระนิพพาน จะได้ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป

 

เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวก ได้พิสูจน์มาแล้ว ได้มาครอบครองแล้ว มีความมั่นใจแน่วแน่ไม่สงสัย จึงเอามาเผยแผ่ให้กับพวกเราที่ยังไม่รู้ยังไม่เห็น เพื่อจะได้มีโอกาสพบกับสิ่งที่เลิศที่วิเศษ ที่มนุษย์อย่างพวกเราสามารถหยิบยื่นให้กับตัวเราได้  ขอให้มีคุณธรรมทั้ง ๔ ประการคือ ฉันทะความยินดี วิริยะความพากเพียร จิตตะความจดจ่อ วิมังสาการใคร่ครวญด้วยเหตุด้วยผลเท่านั้น  ถ้ามีทั้ง ๔ ประการนี้แล้ว รับรองได้ว่าสิ่งที่ดีที่งาม ที่มีคุณมีประโยชน์  ที่เราปรารถนากัน จะไม่พ้นวิสัยของเราไปได้  จึงขอให้สร้างคุณธรรมทั้ง ๔ นี้ให้เกิดขึ้น ด้วยการหมั่นศึกษา ฟังพระธรรมเทศนา  พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ แล้วความยินดีก็จะเกิดขึ้น ความพากเพียรก็จะตามมา    การจดจ่อในการทำความดีก็จะตามมา การใช้เหตุใช้ผลก็จะตามมา การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงก็จะตามมา ขอให้นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปพินิจพิจารณาไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้