กัณฑ์ที่ ๒๘๖       ๑๔ มกราคม ๒๕๕๐

 

พัฒนาจิตใจ

 

 

 

การทำสังฆทานจะได้บุญมากกว่าการทำทานแบบอื่น เพราะสังฆทานเป็นทานที่ถวายให้กับสงฆ์ คือให้กับพระภิกษุทุกรูปที่จำพรรษาอยู่ในอาราม ไม่ได้ถวายเจาะจงให้กับพระรูปใดรูปหนึ่ง ไม่ได้เจาะจงถวายให้เจ้าอาวาส ไม่ได้เจาะจงถวายให้พระอาจารย์ ไม่ได้เจาะจงถวายให้หลวงพี่องค์นั้นองค์นี้ แต่ถวายให้เป็นส่วนกลางสงฆ์ เป็นของพระทุกๆรูป มีสิทธิ์เอาไปใช้ได้ ถ้าถวายจำเพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ก็จะเป็นของบุคคลนั้น พระรูปอื่นจะมาเอาไปใช้ไม่ได้ ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน แต่ถ้าเป็นสังฆทาน ไม่ต้องขอกัน มีสิทธิ์ร่วมกันใช้ประโยชน์ได้ ถ้าอุปโลกน์เรียบร้อยแล้ว เมื่อสักครู่นี้ก็ได้ทำพิธีอุปโลกน์สังฆทานไปแล้ว เป็นภาษาบาลี ภาษาของพระ ญาติโยมฟังก็ไม่เข้าใจ ก็จะอธิบายให้ทราบว่า ขอประกาศให้สงฆ์ได้รับทราบว่า ได้มีสังฆทานเกิดขึ้นในท่ามกลางสงฆ์แล้ว ขออนุญาตนำเอาของสังฆทานเหล่านี้มาจำหน่ายแจกจ่ายกัน โดยให้พระเถระเป็นผู้พิจารณาก่อน แล้วก็เลื่อนลำดับลงไปตามอาวุโสภันเต ตามลำดับพรรษา จนถึงสามเณรองค์สุดท้าย ถ้ายังมีของเหลืออยู่ก็ให้แจกลูกศิษย์ลูกหา ศรัทธาญาติโยมที่มาทำบุญกันในวันนี้ อาหารทั้งหลายที่ได้มาจากบิณฑบาต หลังจากที่พระภิกษุได้พิจารณาได้แบ่งเอาไว้แล้ว ที่เหลือก็เอามาเลี้ยงญาติโยมที่มาทำบุญร่วมกัน และญาติโยมที่อยู่ที่วัดและคนงานของวัด ถ้าได้ทำอุปโลกน์แล้วนำเอาไปแจกจ่าย ก็จะไม่เป็นบาปเป็นกรรมอย่างไร แต่ถ้ายังไม่ได้อุปโลกน์ คือยังไม่ได้รับฉันทานุมัติจากสงฆ์ ถ้าหยิบเอาไปใช้เอาไปรับประทานก่อน ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส ก็จะเป็นบาปเป็นกรรม เป็นหนี้สงฆ์ ก่อนที่จะเอาของสังฆทานไปใช้ได้ จะต้องอุปโลกน์ก่อนทุกครั้งไป ดังที่วัดเราได้ทำเป็นธรรมเนียมมาตลอด

 

ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ได้มาจากบิณฑบาตก็ดี อาหารที่ญาติโยมนำมาใส่บาตรมาถวายพระก็ดี จตุปัจจัยไทยทานเครื่องสังฆทานต่างๆก็ดี ล้วนเป็นสังฆทานทั้งสิ้นสำหรับวัดนี้ พระเณรต้องเอามาแบ่งกัน ไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ใช้สำหรับตนเองเพียงผู้เดียว อานิสงส์ของสังฆทานจึงมากกว่าปาฏิบุคลิคทาน การให้กับส่วนรวมจึงเกิดประโยชน์มากกว่าให้กับบุคคล ให้กับสงฆ์เท่ากับให้กับพระพุทธศาสนา เพราะสงฆ์เป็นตัวแทนของพระศาสนา เป็นผู้สืบทอดพระศาสนา ทำให้ศาสนาเจริญยั่งยืน ถ้าไม่มีพระสงฆ์แล้วศาสนาก็จะค่อยหดไปๆ และหมดไปในที่สุด เพราะไม่มีผู้สืบทอดพระธรรมคำสอนอันประเสริฐของพระพุทธเจ้านั่นเอง เมื่อไม่มีการศึกษาปฏิบัติ ไม่มีการสืบทอด ก็จะไม่มีการเผยแผ่ ต่อไปโลกก็จะไม่รู้จักพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ว่าทรงสอนให้ปฏิบัติกันอย่างไร เมื่อไม่มีการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนแล้ว ความทุกข์ความหายนะต่างๆก็จะตามมา เพราะคนเราจะทำตามความอยาก ตามความต้องการกัน ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความหลง จะมีแต่ปัญหา มีแต่เรื่องวุ่นวาย มีการต่อสู้แก่งแย่งชิงดี ฆ่ากันทำร้ายทำลายกัน สังคมก็จะมีแต่ความทุกข์ ความเดือดร้อนไปทุกหนทุกแห่ง เพราะไม่มีน้ำธรรมะมาดับความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มีอยู่ในใจของสัตว์โลกนั่นเอง โลกก็จะร้อนเป็นไฟ เพราะไม่มีใครรักษาศีลกัน เวลาต้องการอะไร อยากได้อะไร ก็จะฉกชิงแก่งแย่งชิงดีกัน ต่อสู้กัน ฆ่ากัน ทำลายกัน ทำร้ายกัน แต่ถ้ายังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนาอยู่ในโลกนี้ เช่นวันนี้มีการแสดงพระธรรมเทศนา สอนให้รู้จักวิธีอยู่ร่วมกันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ให้มีเมตตากรุณา เสียสละ ก็จะทำให้เราอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขกัน

 

วันนี้เราก็มาเสียสละเวลาสมบัติข้าวของเงินทอง ซื้อข้าวของต่างๆมาถวายพระ ช่วยทำให้สังคมอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ผู้ที่เดือดร้อนก็ควรได้รับการดูแล ผู้ที่มีเหลือกินเหลือใช้ก็ควรดูแลผู้ที่เดือดร้อน แล้วทั้งสองฝ่ายจะอยู่อย่างมีความสุข ผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือก็จะมีความสุข ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือก็จะมีความสุข  เพราะเวลาได้ช่วยเหลือใครแล้ว จิตใจจะมีความสุข มีความอิ่มเอิบ มีความปีติ มีความภูมิใจ ทำให้สังคมอยู่กันด้วยความรัก ด้วยความเมตตา แต่ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดจะเอาแต่ได้โดยถ่ายเดียว ไม่อยากจะให้ ไม่อยากจะช่วยเหลือกัน ก็จะเป็นสังคมที่แร้นแค้น มีความแตกต่างกันมากระหว่างคนมีและคนไม่มี คนที่ไม่มีก็ต้องหามาด้วยวิธีที่มิชอบ ต้องไปปล้นไปขโมยจากคนที่มี ปัญหาต่างๆก็จะตามมา ความทุกข์ความเสียอกเสียใจก็จะตามมา เดือดร้อนกันไปหมด นี่คืออานิสงส์ของการถวายสังฆทานให้แก่พระสงฆ์ เพราะเป็นการสนับสนุนพระสงฆ์ให้ได้บวชเรียน ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ ได้นำเอาสิ่งที่ได้รู้ได้เห็นจากการปฏิบัติ มาเผยแผ่สั่งสอนให้กับผู้อื่นที่ยังไม่รู้ เมื่อรู้แล้วจะได้นำเอาไปปฏิบัติต่อ เมื่อทุกคนปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ทุกคนก็จะมีความสุข มีความร่มเย็น มีความเจริญก้าวหน้าทางด้านจิตใจ เพราะจิตใจของพวกเรายังต้องพัฒนากันอีกมาก ภพภูมิต่างๆที่ต้องพัฒนาขึ้นไปยังมีอีกหลายขั้นด้วยกัน ตั้งแต่ขั้นมนุษย์ขึ้นไป ต่อไปก็จะเป็นขั้นต่างๆของเทพของเทวดา จากนั้นก็เป็นขั้นต่างๆของพรหม จากนั้นก็จะเป็นขั้นต่างๆของพระอริยเจ้า คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตามลำดับ เป็นการพัฒนาจิตใจให้ดีขึ้นสูงขึ้นประเสริฐขึ้น

 

มีความสุขมากยิ่งขึ้น มีความทุกข์น้อยลงไป ภพชาติที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ดีกว่าเดิม ชาตินี้เราดีขนาดนี้ ชาติหน้าเราจะดีกว่านี้ ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีฐานะที่ดีกว่าเก่า ร่ำรวยกว่าเก่า มีสติปัญญาความรู้มากกว่าเก่า มีรูปร่างหน้าตาสวยงามมากกว่าเก่า เพราะอานิสงส์ที่เกิดจากการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เริ่มตั้งแต่การบำเพ็ญทานบารมี ดังที่พวกเราทั้งหลายกำลังบำเพ็ญอยู่นี้ จากทานบารมี ก็ขยับขึ้นไปสู่ศีลบารมี รักษาศีลกัน ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ ข้อ ก็พัฒนาขึ้นไปตามลำดับ พัฒนาจากศีลบารมีไปสู่เนกขัมมบารมี ออกบวชกัน ละเว้นหาความสุขจากการมีครอบครัว มีคู่ครอง อยู่ตามลำพัง ถือศีล ๘ ไม่นอนกับใคร นอนคนเดียว นอนบนพื้นแข็งๆ ปูเสื่อนอน ไม่ต้องนอนบนฟูก อาหารก็กินเพียงเที่ยงวันเท่านั้น หลังจากเที่ยงวันไปแล้วก็จะไม่กิน ความสุขความบันเทิงก็ไม่แสวงหา ไม่ดูหนังฟังเพลง ไม่ออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ อยู่กับวัด อยู่กับบ้าน ไหว้พระสวดมนต์ นั่งทำสมาธิ ทำจิตใจให้เกิดความสงบสุข ฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะเพื่อจะได้เกิดปัญญาบารมี ความรู้ความฉลาดกำจัดความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ เพื่อบรรลุเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด เมื่อได้เป็นพระพุทธเจ้าหรือเป็นพระอรหันต์แล้ว ภพชาติก็จะไม่มีอีกต่อไป ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องทุกข์กับการแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากกัน  

 

เพราะจิตใจไม่ใช่ร่างกาย เวลาที่ร่างกายตายไป จิตใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย จิตใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย จิตใจยังต้องไปเกิดต่อ ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนกับรถยนต์กับคนขับรถ รถยนต์เมื่อใช้ไปสักระยะหนึ่ง ก็เก่า ก็เสีย แล้วก็พังไปในที่สุด แต่คนขับไม่ได้เสียไม่ได้พังไปกับรถยนต์ คนขับก็ไปหารถยนต์คันใหม่ ถ้ามีเงินมากกว่าเก่าก็สามารถซื้อรถที่ดีกว่าคันเก่า ถ้ามีเงินน้อยกว่าก็จะซื้อรถที่ไม่ดีเท่ากับคันเก่า เงินของจิตใจที่จะไปซื้อชาติใหม่ก็คือบุญและกุศลนี้เอง ถ้าทำบุญอยู่เรื่อยๆ ทำทาน รักษาศีล บำเพ็ญเนกขัมมะ นั่งสมาธิ เจริญปัญญาอยู่เรื่อยๆ ก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าเก่า เก่งกว่าเก่า สวยกว่าเก่า รวยกว่าเก่า เพราะอำนาจของบุญบารมีที่ทำกันในภพนี้ในชาตินี้นั่นเอง เป็นเหตุที่พวกเราต้องมาวัดกันอยู่เรื่อยๆ เป็นเหมือนกับการเติมน้ำมัน เหมือนกับการรดน้ำต้นไม้ ปลูกต้นไม้ไว้ ถ้าไม่รดน้ำ ต้นไม้ก็จะเหี่ยวเฉาและตายไปในที่สุด จะไม่เจริญงอกงามขึ้นมาได้ แต่ถ้าหมั่นรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยอยู่เรื่อยๆ ต้นไม้ก็จะค่อยๆเจริญงอกงาม จนในที่สุดก็จะออกดอกออกผลให้เราได้เชยชม ได้ลิ้มรส ฉันใดการบำเพ็ญบารมีต่างๆก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้สูญหายไปไหน จะติดไปกับใจ จะเป็นใจที่ดีกว่าเดิม ฉลาดกว่าเดิม มีความโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากกว่าเดิม ไม่หลงกับการหาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ แต่จะหาความสุขจากการทำความดี รักษาศีล ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่จะติดไปกับจิตใจ แล้วไม่ช้าก็เร็วก็จะได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ หรือได้เป็นพระพุทธเจ้า ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ถ้าเกิดในสมัยที่ไม่มีคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ ก็ต้องปฏิบัติสอนตัวเราเองไปตามลำพัง จนกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้หมดไปจากจิตจากใจ ก็จะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา

 

เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าของพวกเรา ทรงประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ได้เคยบำเพ็ญบุญบารมีต่างๆมาเป็นเวลาอันยาวนาน เมื่อถึงเวลาที่บุญบารมีจะออกดอกออกผล ก็ทำให้ได้ออกบวช ได้ปฏิบัติ ได้ค้นคว้าหาความจริง จนในที่สุดก็สามารถกำจัด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้หมดไปจากจิตจากใจของพระองค์ได้ ไม่มีครู ไม่มีอาจารย์ เพราะไม่มีใครรู้วิธีต่อสู้กับกิเลสนั่นเอง พระพุทธเจ้าจึงต้องค้นหาด้วยตนเอง เมื่อสำเร็จแล้วก็เป็นพระพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้ด้วยตนเอง ถึงจะเรียกว่าพระพุทธเจ้า แต่ผู้ที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างพวกเรานี้ ถ้านำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ จนกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจได้ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันตสาวก ไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจนั้นเหมือนกัน ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นจิตของพระพุทธเจ้าหรือจิตของพระอรหันต์ ไม่ต้องไปเกิดแก่เจ็บตายเหมือนกัน ต่างกันตรงที่คนหนึ่งบรรลุ กำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลงด้วยตนเอง ไม่มีใครสั่งสอน แต่อีกคนหนึ่งคือพระอรหันตสาวกต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้สั่งสอน จึงจะบรรลุได้ แต่ผลก็เหมือนกัน คือสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด สิ้นสุดแห่งความทุกข์ทั้งปวง บรรลุถึงพระนิพพาน ถึงบรมสุขปรมังสุขังเหมือนกัน ไม่มีความแตกต่างกัน ต่างกันตรงที่คนหนึ่งต้องสอนตนเอง จึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ส่วนอีกคนหนึ่งสบายกว่า มีคนคอยสอน ง่ายกว่าคนต้องสอนตนเอง 

 

เหมือนกับคนที่ไม่รู้จักทาง ไม่มีใครชี้ทาง ต้องเดินหาเอง ก็จะยากลำบาก ต้องทดลองทางไปเรื่อยๆ ไปเหนือก่อน ถ้าไม่ใช่ก็ลองไปทางใต้ ถ้าไม่ใช่อีกก็ลองไปไปทางตะวันออก ถ้าไม่ใช่ก็ต้องไปทิศตะวันตก จนกว่าจะพบ แต่คนที่มีคนสอน มีคนบอกทางแล้ว  ก็ไม่ต้องไปทดลองทางให้เสียเวลา เดินไปตามทางที่บอกเลย อย่างพระอรหันตสาวกทั้งหลายนี้สบายมาก ไม่ต้องหาทางเอง เพียงแต่ฟังพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามเท่านั้น ก็สามารถบรรลุถึงความสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้ พ้นจากความทุกข์ทั้งปวง พวกเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ขณะนี้พวกเรากำลังศึกษา กำลังได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้ทำบุญให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญเนกขัมมบารมี ออกบวชกัน บวช ๓ วัน ๗ วัน ก็ยังดี บวช ๑๕ วันก็ยังดี บวชสักพรรษาหนึ่งก็ยังดี หรือจะบวชไปตลอดก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะเป็นวิธีทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ได้อย่างรวดเร็วที่สุด เป็นฆราวาสหลุดพ้นยาก เพราะมีเรื่องมาก มีปัญหามาก มีภาระมาก จะนั่งสมาธิก็ลำบาก จะอดข้าวเย็นก็ลำบาก เพราะคนอื่นไม่อดกัน พอเวลาเขากินข้าวเย็น ก็อดทนไม่ไหว ก็กินกับเขาด้วย ก็จะไม่สามารถยกจิตใจให้สูงขึ้นไปได้ แต่ถ้าออกบวชอยู่วัดแล้ว ทุกคนปฏิบัติเหมือนกัน ถือศีลเหมือนกัน ไม่กินข้าวเย็นเหมือนกัน ก็จะทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างง่ายดาย หลุดพ้นได้อย่างสะดวกรวดเร็ว จึงเป็นสิ่งที่เราควรให้โอกาสกับตัวเรา เป็นสิ่งที่ดีที่เรายังไม่รู้กัน ส่วนใหญ่จะกลัวกัน กลัวความลำบาก กลัวอดข้าวเย็น กลัวไม่ได้นอนบนฟูก กลัวไม่ได้ดูหนัง ดูโทรทัศน์ ที่ไม่ช่วยการบำเพ็ญ มีแต่จะฉุดลากให้วนเวียนอยู่ในวัฏจักร แห่งการเกิดแก่เจ็บตาย ไม่รู้จักจบจักสิ้น  แต่ถ้ายอมลำบากสักหน่อย อดข้าวเย็นสักหน่อย อดดูโทรทัศน์ อดดูหนังฟังเพลงสักหน่อย แล้วก็นั่งสมาธิ ศึกษาธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรม ไม่ช้าก็เร็ว ก็จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย ไม่ต้องไปเกิดแก่เจ็บตายอีกต่อไป ไม่ดีกว่าหรือ ลำบากลำบนไม่นาน ไม่กี่วัน ไม่กี่ปี จะได้ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นล้านๆปี

 

ถ้ายังไม่สามารถกำจัดความโลภความโกรธความหลงได้ ก็ยังต้องไปเกิดอยู่เรื่อยๆ ทุกครั้งที่เกิดก็ต้องร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะจะต้องเสียสิ่งนั้นเสียสิ่งนี้ จะต้องจากคนนั้นจากคนนี้ไปอยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะได้อะไรมามากน้อยเพียงไร สักวันหนึ่งก็ต้องจากกันไปทั้งหมด ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง โลกนี้เป็นที่อยู่อาศัยเพียงชั่วคราวเท่านั้น มาเกิด แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วเดี๋ยวก็ตาย ตายไปแล้วก็ไปเกิดใหม่ แล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตายอีก สูงๆต่ำๆ บางทีก็เกิดเป็นมนุษย์ บางทีก็เกิดเป็นเดรัจฉาน บางทีก็เกิดเป็นเทพเป็นพรหม บางทีก็ไปตกนรก ขึ้นอยู่กับบาปบุญที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก เชื่อสวรรค์ เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เชื่อเรื่องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อในมรรคผลนิพพาน ที่เป็นความจริงล้วนๆ ไม่มีของปลอมเลย เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ และพระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ได้พิสูจน์เห็นแล้วอย่างแจ้งชัด จึงได้นำเอามาเผยแผ่ เอามาสั่งสอนให้กับพวกเรา พวกเราควรน้อมเข้ามาด้วยศรัทธาความเชื่อ น้อมเข้ามาด้วยวิริยะความขยันหมั่นเพียร หมั่นปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน มาวัดอยู่เรื่อยๆ ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆ รักษาศีลให้มาก แล้วก็ไหว้พระสวดมนต์ นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรม ปลงสังขาร ปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เตือนตัวเองอยู่เสมอเสมอว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา นี่คือปัญญา

 

ถ้าไม่ลืมว่าจะต้องแก่ จะต้องเจ็บ จะต้องตาย จะต้องพลัดพรากจากกัน เวลาที่ความแก่เกิดขึ้น ความเจ็บเกิดขึ้น ความตายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากกันเกิดขึ้น จะไม่รู้สึกหวั่นไหว ไม่เดือดร้อน จะรู้สึกเฉยๆ เพราะได้เตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว เหมือนกับรู้ว่าพระอาทิตย์ที่ขึ้นในตอนเช้า พอตอนเย็นก็จะต้องตกลงไป เวลาตกลงไปเราก็ไม่ได้เดือดร้อน ไม่วุ่นวายใจ ไม่เสียอกเสียใจ ไม่ร้องห่มร้องไห้ เพราะตรียมตัวเตรียมใจไว้แล้ว ว่าจะต้องเกิดขึ้น การเตรียมตัวเตรียมใจคือการปล่อยวางนั่นเอง ไม่ยึดไม่ติดกับสิ่งต่างๆ ไม่ยึดไม่ติดกับร่างกาย จะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็ให้เป็นไปตามเรื่องของมัน ใครจะจากเราไป เราจะจากใครไป ก็ปล่อยให้เป็นไป เพราะใจไม่ตาย ไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น เป็นผู้รู้ เพียงแต่รับรู้เท่านั้น ถ้าเข้าใจหลักนี้แล้ว จะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์กับอะไร แต่ต้องเตือนตัวเราอยู่เสมอว่า อย่าไปยึด อย่าไปติด เป็นของชั่วคราว เป็นของยืมมา สักวันหนึ่งเจ้าของก็จะมาเอาคืนไป ไม่ว่าจะเป็นสมบัติข้าวของเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา เป็นบุตร เป็นธิดา เป็นญาติสนิทมิตรสหาย เขาจะต้องมาเอาคืนไปอย่างแน่นอน แม้แต่ร่างกายของเรา เขาก็จะต้องเอาคืนไปเช่นเดียวกัน ถ้าเตือนตนอยู่เรื่อยๆแล้ว จะไม่หลง จะไม่ยึด จะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย นี่คืออานิสงส์ของการประพฤติปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อปฏิบัติแล้วจิตใจจะร่มเย็นเป็นสุข ไม่โลภโมโทสัน จะอยู่กันด้วยความเมตตากรุณา ดูแลกันช่วยเหลือกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน ทุกคนก็จะมีความสุข ดังสุภาษิตที่ว่า เมตตาเป็นเครื่องค้ำจุนโลก โลกเราจะอยู่ด้วยความสุข ความร่มเย็น เพราะมีความเมตตาต่อกัน จึงอย่ามองข้ามความเมตตา อย่ามองข้ามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ขอให้น้อมเอามาปฏิบัติและเตือนตนอยู่ตลอดเวลา จะได้ดำเนินชีวิตให้เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วผลที่เลิศที่วิเศษก็จะเป็นสิ่งที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้