กัณฑ์ที่ ๒๘๘       ๒๗ มกราคม ๒๕๕๐

 

คิดแบบคนฉลาดคิด

 

 

 

วันนี้พวกเราได้ตั้งใจมาวัดเพื่อมาบำเพ็ญศาสนกิจ ที่พระบรมศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เราเลื่อมใสศรัทธากราบไหว้บูชา ได้ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติ ด้วยการทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม เพราะเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุขความเจริญ ความก้าวหน้าอย่างแท้จริงแก่ชีวิตจิตใจของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อจะได้รู้ความจริงที่ไม่รู้กัน เนื่องจากใจของพวกเราถูกอวิชชาความมืดบอด โมหะความหลงครอบงำอยู่ ทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสิ่งที่ไม่ดีว่าดี เห็นสิ่งที่ดีว่าไม่ดี เห็นว่าบาปไม่มี บุญไม่มี นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี เพราะตาของพวกเราไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนตาของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เราเป็นเหมือนคนตาบอด ส่วนพระพุทธเจ้าพระอรหันต์เป็นเหมือนคนตาดี ถึงแม้คนตาดีจะบอกว่ามีอะไรอยู่ที่ตรงนั้นตรงนี้ คนตาบอดก็มองไม่เห็นอยู่ดี เห็นแต่ความมืดอย่างเดียว คนตาบอดถ้าเป็นคนฉลาดก็จะต้องเชื่อคนตาดี ว่าเห็นในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เห็น แต่คนตาบอดที่โง่เขลาเบาปัญญา ก็จะไม่เชื่อคนตาดี จะเชื่อแต่ในสิ่งที่ตนเองมองเห็นเท่านั้น ถ้าสิ่งใดที่ตนเองมองไม่เห็นก็จะปฏิเสธว่าไม่มี เช่นพวกเรามองไม่เห็นนรก มองไม่เห็นสวรรค์ ถ้าเราเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา ก็จะปฏิเสธว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี บุญไม่มี บาปไม่มี ทำบุญแล้วไม่เกิดผล ทำไปก็สูญเปล่า เมื่อตายไปแล้วก็จบ ไม่ต้องทำบุญให้เสียเวลาไปเปล่าๆ ทำไปก็ไม่ได้ไปสวรรค์ เพราะนรกสวรรค์เป็นสิ่งที่ถูกสมมุติขึ้นมา เพื่อหลอกให้เราทำความดีกัน คนโง่เขลาเบาปัญญาจะคิดอย่างนี้ 

 

แต่คนฉลาดเมื่อยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า นรกมีจริงหรือสวรรค์มีจริงหรือไม่ ก็ยังไม่กล้าปฏิเสธ แล้วถ้าได้ยินได้ฟังจากผู้ที่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จนมีดวงตาเห็นธรรม มีแสงสว่างภายในใจ เห็นเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นแล้ว ก็ทำให้ต้องคิดหนัก จะปฏิเสธเลยก็ไม่ได้เพราะยังไม่เห็น จึงคิดว่าน่าเชื่อดีกว่า เพราะคนที่ตาบอดเหมือนเรายังเห็นได้ ถ้าเราทำอย่างที่เขาทำ ก็อาจจะเห็นได้เหมือนกัน คนตาบอดที่ฉลาดจะคิดอย่างนี้ จะไม่ปฏิเสธสิ่งที่คนตาดีบอก ถึงแม้จะมองไม่เห็น พอได้ทำตามที่คนตาดีสอนให้ทำแล้ว ไม่ช้าก็เร็วความมืดบอดก็จะหายไปจากจิตจากใจ ความสว่างก็จะปรากฏขึ้นมา ก็จะเห็นสิ่งต่างๆที่คนตาดีคนตาสว่างเห็นกัน เมื่อเห็นแล้วก็จะได้ไม่ต้องมาทุกข์ มาเศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์ต่างๆ ทุกวันนี้ที่เรายังมีความเศร้าโศกเสียใจทุกข์ใจกันอยู่ เพราะมองไม่เห็นเหมือนกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกมองเห็นกัน   เราจะเห็นว่าเวลาที่คนตายจากเราไป ก็จากไปเลย สูญหายไปเลย เพาะไม่รู้ว่าเขาไม่ได้สูญหายไปไหน เขาเพียงแต่เปลี่ยนร่างกายเท่านั้นเอง เหมือนกับเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเสื้อผ้าขาด เราก็ซื้อเสื้อผ้าใหม่มาใส่ เสื้อผ้าก็ไม่ใช่ตัวเรา ฉันใดร่างกายก็เป็นเหมือนเสื้อผ้าของใจ ใจเอาร่างกายมาใส่ เอามาเป็นเครื่องมือ เวลาใจจะทำอะไรก็อาศัยเครื่องมือ ถ้าไม่มีเครื่องมือก็ทำไม่ได้ ต้องมีร่างกาย อยากจะทำบุญต้องมีร่างกายพาไปทำ จะทำบาปก็ต้องมีร่างกายพาไปทำ เมื่อทำไปแล้วผลก็ย้อนกลับมาที่ใจ คือความสุขหรือความทุกข์ ที่เกิดจากการกระทำของใจ เมื่อร่างกายแตกดับไป ใจก็ไม่ได้แตกดับไปกับร่างกายด้วย ใจก็เป็นเหมือนร่างกายของเรา เมื่อเสื้อผ้าขาดไปแล้ว กายก็ไม่ได้ตายไปด้วย ก็หาเสื้อผ้าชุดใหม่มาใส่ใหม่เท่านั้นเอง

 

นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา เพื่อไม่ให้หลงยึดติดกับร่างกายว่าเป็นตัวเราของเรา แต่เป็นเหมือนเสื้อผ้าชุดหนึ่งเท่านั้นเอง มีใส่ก็ใส่ไป มีใช้ก็ใช้ไป เมื่อถึงเวลาจะแตกจะดับก็ปล่อยไป เพราะใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ใจคือผู้รู้ ผู้ฟังอยู่ขณะนี้ไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นใจ ใจรับฟังผ่านร่างกาย ผ่านเสียงที่เข้าไปสัมผัสกับหู แล้วให้ใจรับรู้ว่าพูดอะไร ใจก็คิดตามไป นี่คือใจไม่ใช่ร่างกาย เป็นคนละส่วนกัน เป็นเหมือนกับโทรศัพท์มือถือ เครื่องโทรศัพท์มือถือกับคลื่นโทรศัพท์ที่เข้าไปในเครื่องเป็นคนละส่วนกัน ถ้าเครื่องโทรศัพท์เสีย ก็เปลี่ยนเครื่องใหม่ได้ คลื่นโทรศัพท์ไม่ได้เสียตามไปด้วย ฉันใดเมื่อร่างกายแตกดับไปแล้ว จิตก็ไปหาร่างใหม่ต่อไปเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปไหน จะได้ร่างดีกว่าเก่าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ได้ทำไว้ ถ้าถึงวาระของบุญจะส่งผล ก็จะทำให้ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ได้ไปเกิดบนสวรรค์ เป็นเทพเป็นพรหม เป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ในภพชาติต่อไปก็ได้ เป็นฐานะที่เกิดขึ้นจากการทำบุญ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสม่ำเสมอ เมื่อถึงวาระที่บุญจะส่งผล ก็จะทำให้ได้ไปพบกับสิ่งที่ดีกว่าเก่า ถ้ากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามกว่าเก่า มีฐานะการเงินการทองดีกว่าเก่า มีสติปัญญาฉลาดแหลมคมกว่าเก่า มีอายุยืนยาวนานกว่าเก่า  ในทางตรงกันข้าม ถ้าเป็นวาระของบาปส่งผล เมื่อตายไปก็จะต้องไปเกิดในอบาย ในชั้นใดชั้นหนึ่ง เป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง ไปตกนรกบ้าง เป็นอานิสงส์ผลของการทำบาป เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา  ไม่มีใครห้ามได้

 

เพราะการกระทำเป็นเหมือนกับการปลูกต้นไม้ ปลูกต้นไม้ชนิดใด  ก็จะได้ผลชนิดนั้น ปลูกต้นทุเรียน ก็จะได้ทุเรียน จะให้เป็นส้มเป็นแตงโมไม่ได้ เพราะเหตุและผลเป็นอย่างนั้น ทำดีทำบุญทำกุศล ก็จะได้ดีได้สุขได้เจริญ ได้เป็นมนุษย์ ได้เป็นเทพ ได้เป็นพรหม ได้เป็นพระอริยเจ้า  ทำบาปก็ไปเป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต ไปตกนรก ไปเป็นผี เป็นหลักกรรม เป็นกฎแห่งกรรม ไม่มีใครยับยั้งได้ จะยับยั้งได้ก็ต่อเมื่อไม่กระทำอะไรทั้งนั้น ถ้าไม่กระทำอะไรก็จะไม่มีผลอะไรตามมา ถ้าไม่ทำบุญ ไม่ทำบาปเลย ก็จะไม่มีภพชาติตามมา มีพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์เท่านั้นที่ละทั้งบาปละบุญได้ หลังจากที่ได้บำเพ็ญบุญกุศลจนจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากความโลภ ความโกรธแล้ว ก็จะไม่มีความอยากที่จะทำอะไรอีกต่อไป เพราะมีความอิ่มมีความพออยู่ในใจ ไม่หิว ไม่อยาก ไม่ต้องการอะไร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรอีกต่อไป ไม่ต้องทำความดี เพราะทำไปก็ไม่ได้มากกว่าเดิม เหมือนกับน้ำที่เต็มแก้วแล้ว ต่อให้เติมน้ำเข้าไปอีกมากน้อยเพียงไร น้ำในแก้วก็จะมีแค่เพียงเต็มแก้วเท่านั้น ไม่สามารถมีมากกว่านั้นไปได้ เทเข้าไปอีกน้ำก็ต้องล้นไหลออกมา ฉันใดจิตใจของผู้ที่ได้ปฏิบัติธรรม จนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้ว จิตใจจะเต็มเปี่ยมด้วยบรมสุข มีแต่ความสุข ไม่มีความทุกข์ มีแต่ความอิ่ม ไม่มีความหิว ไม่มีความกระหาย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำบุญอีกต่อไป ส่วนบาปนั้นก็ไม่ทำอยู่แล้ว เพราะคนที่มีปัญญาย่อมรู้แก่ใจว่า เมื่อทำบาปแล้วเป็นอย่างไร

 

คนที่ยังไม่บรรลุจะไม่รู้ที่ว่าไม่ต้องทำบุญไปตลอด เพราะบุญก็มีจุดอิ่มตัวเหมือนกัน เมื่อทำจนเต็มเปี่ยมอยู่ในใจแล้ว ก็ไม่สามารถทำให้มีมากไปกว่านั้นได้ เหมือนกับรับประทานอาหาร เมื่อรับประทานจนเต็มท้องแล้ว ก็รับประทานเข้าไปอีกไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เป็นจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น ที่จะละได้ทั้งบาปและบุญ คือไม่ทำอะไรอีกต่อไป เมื่อไม่มีการกระทำกรรม ไม่ว่าจะเป็นบาปหรือเป็นบุญแล้ว ผลของบาปหรือบุญคือการไปเกิดที่สูงที่ต่ำ ก็จะไม่มีตามมาอีกต่อไป หลังจากที่ร่างกายของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้แตกดับไปแล้ว ท่านก็ไม่ไปไหนแล้ว ท่านอยู่ในพระนิพพาน ในจิตที่มีความอิ่ม มีความสุขเต็มที่แล้วนั่นเอง และจะอยู่อย่างนั้นไปตลอดอนันตกาล ส่วนจิตของพวกเรายังไม่ถึงจุดอิ่มตัว ยังมีความหิว มีความกระหาย ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ความหิว ความกระหาย ความอยากฉุดลากพาไปทำบาปทำกรรม ถ้ายังอยากจะมีเงินมีทอง มีความสุขจากสมบัติข้าวของเงินทอง จากการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ไปในทางบาป อย่าไปฉ้อโกงลักทรัพย์ของผู้อื่น เวลาโกรธก็ต้องหักห้ามจิตใจ อย่าอาฆาตพยาบาท อย่าไปฆ่าผู้อื่น เพราะต้องไปใช้เวรใช้กรรม ตกนรกหมกไหม้ ทุกข์ทรมานจิตใจ ถ้าหักห้ามจิตใจไม่ให้ทำบาปได้ ภพชาติข้างหน้าก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ ได้เกิดเป็นเทพบ้าง เป็นพรหมบ้าง เป็นมนุษย์บ้างสลับกันไป จนกว่าจิตจะมีความอิ่มมีความสุขเต็มที่ ก็จะไม่ไปเกิดอีกต่อไป นี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่พวกเราได้ยินได้ฟังกัน และเป็นสิ่งที่พวกเราจะต้องเอาไปปฏิบัติ เพื่อจะได้มีความเห็นที่ถูกต้อง

 

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ ที่เราคิดว่าเป็นของเรานั้น ไม่ใช่เป็นของเราอย่างแท้จริง เป็นเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นเอง ร่างกายของเราก็เป็นของเราเพียงระยะหนึ่ง พออายุ ๘๐ ปี  ๙๐ ปี ก็ต้องคืนเขาไป อาจจะต้องคืนไปก่อนนั้นก็ได้ บางคนอายุเพียงหนึ่งวันก็ตายไปก็มี  หนึ่งเดือนตายไปก็มี หนึ่งปีตายไปก็มี ยี่สิบปี สามสิบปี สี่สิบปีตายไปก็มี ไม่แน่นอน เรื่องอายุขัยของคนเรา แต่เรื่องที่แน่นอนก็คือ ต้องคืนเขาไปทุกคน พวกเราทุกคนที่อยู่ในศาลานี้ สักวันหนึ่งก็ต้องคืนร่างกายนี้ไปสู่ดินน้ำลมไฟ ที่เป็นเจ้าของเดิม แต่ใจของเราไม่ได้ไปกับร่างกาย จะไปตามบุญตามกรรมต่อไป ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม ละเว้นจากการทำบาปทำกรรม เวลาร่างกายแตกดับไป ก็จะไปสู่ที่ดี สู่สุคติ เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา ผู้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ก็จะได้รับผลประโยชน์ที่ดีเช่นเดียวกับพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่นี้ ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ก็พยายามตัดความยึดติดในร่างกาย ในสมบัติต่างๆ มีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองมากน้อยเพียงไร ก็สละให้ผู้อื่นหมด แล้วก็ออกบวช อยู่แบบนักบวช มีเพียงแต่ปัจจัยสี่ไว้คอยดูแลรักษาร่างกายเท่านั้น ส่วนจิตใจก็มีธรรมะที่เกิดจากการปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิเจริญปัญญา ทำจิตใจให้สงบ เพื่อกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่คอยฉุดลากให้ไปทำบุญ ให้ไปทำบาป ให้ไปเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยในภพใหญ่ให้หมดสิ้นไป จนใจสะอาดบริสุทธิ์ กลายเป็นพระอรหันต์ เป็นนิพพานขึ้นมาแล้ว ใจก็ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป ไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปทุกข์กับการแก่ การเจ็บ การตาย การพลัดพรากจากกัน เหมือนที่พวกเรากำลังทุกข์กันอยู่

 

เวลาที่เราสูญเสียญาติพี่น้อง คนที่เรารักไป เราก็ร้องห่มร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับกัน เพราะหลงยึดติดร่างกายของคนนั้นคนนี้ว่าเป็นพี่น้องของเรา เป็นญาติของเรา แต่ความจริงแล้วเขาเป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย ต่างกันตรงที่ร่างกายมีใจมาครอบครอง จึงทำให้ร่างกายนี้พูดได้ ทำได้ มีความรู้สึก แต่ผู้ที่พูด ผู้ที่ฟัง ผู้ที่มีความรู้สึกนี้ไม่ใช่ร่างกาย เป็นใจต่างหาก ถ้าร่างกายไม่มีใจเมื่อไหร่แล้ว ก็จะไม่รู้สึกอะไร จะฟังอะไรไม่ได้ยิน จะไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น ลองไปพูดกับคนตายดู ลองไปสะกิดร่างกายของคนตายดู เอาเข็มไปทิ่มร่างกายของคนตายดู จะสะดุ้งขึ้นมาหรือไม่ จะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้เลย เหมือนต้นไม้ เอามีดไปฟันก็จะไม่มีอาการสะดุ้ง เพราะไม่มีการรับรู้นั่นเอง เพราะไม่มีผู้รับรู้ในต้นไม้ ร่างของคนตายก็เหมือนต้นไม้ เพราะไม่มีใจผู้รับรู้อยู่กับร่างกายแล้ว จะเอาไปทำอะไรก็ไม่เดือดร้อน จะเอาไปฝังก็ไม่เดือดร้อน จะเอาไปเผาก็ไม่เดือดร้อน เพราะใจผู้เป็นเจ้าของผู้ครอบครอง ไม่ได้อยู่ในร่างนั้นแล้ว ได้ออกเดินทางไปสู่ร่างใหม่แล้ว จะได้ร่างอะไรก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ทำไว้ นี่คือความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เรารู้กัน ไม่ให้หลง ไม่ให้ยึด ไม่ให้ติด ไม่ต้องกลัวว่าร่างกายจะเป็นอะไรไป ไม่ต้องเสียดาย ถึงเวลาจะเป็นอะไรก็ให้เป็นไป แต่ขณะที่ยังอยู่ก็ดูแลรักษากันไป เพราะยังต้องอาศัยร่างกายมาช่วยทำใจให้หลุดพ้นจากความหลง จากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าไม่มีร่างกายก็จะไม่สามารถมาฟังเทศน์ฟังธรรม ทำบุญทำทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ ปฏิบัติธรรมได้ เราจึงต้องดูแลรักษาร่างกายนี้ให้ดี เพื่อจะได้เอามาช่วยเหลือจิตใจให้ได้ปฏิบัติธรรม เพื่อจะได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 

อย่าเอาร่างกายไปทำในสิ่งที่ไร้สาระ ไร้คุณไร้ประโยชน์ ไปสะสมลาภยศสรรเสริญสุขต่างๆ ที่ไม่ได้เป็นที่พึ่งของเรา แต่จะทำให้เราหลง ทำให้มีความทุกข์มากยิ่งขึ้นไป คนเราเวลาไม่มีเงินมีทองนั้น มีความทุกข์น้อยกว่าคนมีเงินมีทอง เพราะคนมีเงินมีทองจะต้องกังวลต้องห่วง ต้องดูแลรักษา เวลาสูญเสียไปก็จะต้องทุกข์มาก คนที่ไม่มีเงินมีทองก็ไม่ต้องมาทุกข์กับการดูแลรักษา ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องร้องห่มร้องไห้เสียอกเสียใจ เพราะไม่มีเงินที่จะเสียไปนั่นเอง แต่คนที่มีกลับมีความทุกข์มากกว่าคนไม่มี ยกเว้นคนที่มีแล้วฉลาด มีแล้วไม่ยึดไม่ติดไม่หวง มีก็เอามาใช้ ให้เกิดคุณเกิดประโยชน์ ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทำบุญทำทาน ให้ผู้อื่นมีความสุข ตนเองก็จะมีความสุขตาม อย่างนี้ก็เป็นประโยชน์ ถ้ารู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ ไม่ยึดไม่ติด เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งชีวิตของเราก็จะต้องหมดสิ้นไป เงินทองหามาได้มากน้อยเพียงไร ก็จะกลายเป็นสมบัติของผู้อื่นไป แต่ถ้าเอามาทำบุญทำทานก่อน ก็จะเป็นสมบัติของเรา เป็นบุญเป็นกุศลติดตัวกับใจเราไป เมื่อไปเกิดข้างหน้า ก็จะได้ไปเกิดดีกว่าเก่า เพราะบุญกุศลจะทำให้รวยกว่าเก่าดีกว่าเก่า เราจึงไม่ควรมองข้ามการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีอะไรก็อย่ายึดอย่าติด เตรียมตัวเตรียมใจไว้ ว่าสักวันหนึ่งจะต้องจากมันไป สิ่งไหนจำเป็นจะต้องเก็บไว้ก็เก็บไว้ เพื่อดูแลรักษาชีวิตของเรา ส่วนที่ไม่มีความจำเป็นก็อย่าเก็บเอาไว้ให้เป็นภาระทางด้านจิตใจ ให้เกิดความทุกข์ ทำให้เป็นคนใจแคบ ขาดความเมตตา ไม่มีความสุขกับทรัพย์สมบัติที่มีอยู่ แต่ถ้าเอาใช้ให้เกิดประโยชน์ เราจะมีความสุข อย่างวันนี้เราเอาเงินทองไปซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระ เราก็มีความสุข ความเย็นใจ ความปีติ ความภูมิใจ  ถ้าไม่ได้ทำเราก็จะไม่มีความรู้สึกแบบนี้

 

จะมีแต่ความอยากได้เงินทองเพิ่มมากขึ้นไปเรื่อยๆ อยากจะใช้เงินทองไปในทางที่ไม่มีประโยชน์ เอาไปเที่ยว ไปซื้อของฟุ่มเฟือย แล้วก็ทำให้อยากจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก เพราะต้องไปเที่ยวอีก ต้องไปซื้อของฟุ่มเฟือย ใหม่อีก เที่ยวเท่าไหร่ซื้อมาเท่าไหร่ก็ไม่อิ่มไม่พอ จนเงินทองไม่พอใช้ก็ต้องดิ้นรนหาเงินหาทอง เพื่อมาเที่ยวเพื่อมาซื้อของฟุ่มเฟือยอีก ต่างกับการทำบุญ ทำได้มากเท่าไหร่แล้ว จิตใจจะมีความอิ่มมีความพอมากยิ่งขึ้นไปเท่านั้น ทำให้ไม่อยากจะได้อะไร อยู่เฉยๆอยู่ที่บ้านก็มีความสุข เป็นอานิสงส์จากการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ให้ของให้เงินทองคนอื่น ทำให้จิตใจของเรามีความอิ่ม ความสุข ความพอ ไม่หิว ไม่กระหาย ไม่อยากไปเที่ยว ไปซื้อของฟุ่มเฟือย เพราะรู้ว่าไม่มีประโยชน์กับจิตใจ ไม่ได้ให้ความอิ่มความสุขกับจิตใจ จึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนว่า ไม่มีอะไรเป็นของเราในโลกนี้ แม้กระทั่งร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา สักวันหนึ่งก็ต้องคืนเจ้าของเดิม คือดินน้ำลมไฟไป  แล้วใจก็จะต้องไปต่อ จะไปสุขไปทุกข์ ก็อยู่ที่บุญบาปที่ได้ทำไว้ ถ้าทำบุญไว้ก็จะไปดี ไปสู่ความสุขความเจริญ ถ้าทำบาปไว้ก็จะไปไม่ดี ไปสู่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ เรามีทางเลือกคือทำดีหรือทำไม่ดี ยึดติดหรือไม่ยึดติด ถ้าไม่ยึดไม่ติดเราก็จะสบาย เวลาต้องพลัดพรากจากอะไรไป ก็จะไม่ร้องห่มร้องไห้ ไม่เศร้าโศกเสียใจ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเรารู้ว่าของต่างๆที่เรามีอยู่นี้ไม่ใช่ของเรา เรายืมเขามา สักวันหนึ่งเจ้าของก็ต้องมาทวงเอาคืนไป ไม่เห็นต้องมาร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจอะไร นี่คือประโยชน์ที่เราจะได้รับจากการมาวัด มาฟังเทศน์ฟังธรรมปฏิบัติธรรม จิตใจจะร่มเย็นเป็นสุข  ท่ามกลางความวุ่นวาย ท่ามกลางเหตุการณ์ที่เลวร้ายต่างๆ จิตใจจะผ่านไปได้อย่างราบรื่น อย่างสะดวก อย่างสบายเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย จึงขอให้ท่านทั้งหลายจงมีความเชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และนำไปปฏิบัติให้มากเท่าที่จะมากได้ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้