กัณฑ์ที่ ๒๙๑       ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

 

ความดีซื้อไม่ได้

 

 

 

วันนี้ท่านทั้งหลายได้แบ่งเวลาที่มีค่า มาทำสิ่งที่เป็นคุณเป็นประโยชน์  ทำความดีเพื่อพัฒนาตนให้ดีขึ้น ให้เจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนให้ทำ เช่นให้เสียสละ มีความเมตตา ความกรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีไมตรีจิตต่อเพื่อนร่วมโลก  ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน เพราะคนเราทุกคนสัตว์ทุกตัว ที่เกิดมาในโลกนี้ปรารถนาความสุข  ปรารถนาไมตรีจิตด้วยกันทั้งนั้น  เวลาได้รับไมตรีจิตก็จะมีความสุขใจ  เราจึงควรให้ความเมตตาต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นใครจะเป็นคนที่รู้จักหรือไม่ก็ตาม ขอให้คิดว่าเป็นเพื่อนเดินทางกัน  ชีวิตของพวกเราเป็นการเดินทาง จากชาติหนึ่งไปสู่อีกชาติหนึ่ง  จากภพหนึ่งไปสู่อีกภพหนึ่ง  จะต้องฟันฝ่าความทุกข์ ความลำบากต่างๆมากมาย  ถ้าทุกคนมีไมตรีจิต มีความปรารถนาดีต่อกัน เวลาเจอกันก็ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายกัน ถามสารทุกข์สุกดิบกัน เวลามีปัญหาอะไร มีความลำบากยากเย็นอย่างไร พอจะช่วยเหลือกันได้ สงเคราะห์กันได้ ก็ทำกันไป  เมื่อทำแล้วจะทำให้มีความสุขทั้ง ๒ ฝ่าย  ผู้กระทำก็มีความสุข ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือก็มีความสุข โลกของเราจะได้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข จะไปไหนมาไหนก็ไม่ต้องหวาดผวากับภัยอันตรายต่างๆ เหมือนกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้   เนื่องจากจิตใจของคนเราขาดแสงสว่างแห่งธรรม ขาดธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้อยู่ร่วมกันด้วยความเมตตา เพราะความหลงทำให้เกิดความโลภ เกิดความอยาก เกิดความต้องการ เลยลืมมองถึงคนอื่นไป  ต้องการอะไรก็ต้องแสวงหามาให้ได้ไม่ว่าจะไปสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นหรือไม่ก็ตาม จึงไม่มีเวลามาทักทาย มาแสดงไมตรีจิตกัน เพราะมัวแต่แสวงหาความสุข  แสวงหาประโยชน์ จนลืมมองคนรอบข้างไป

 

ทำให้เป็นสังคมที่ไร้ความเมตตาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เป็นสังคมที่แก่งแย่งชิงดีกัน เพราะเมื่อมีความอยากแล้ว ก็จะต้องเอามาให้ได้ ถ้ามีผู้อื่นอยากในสิ่งเดียวกัน ก็ต้องแก่งแย่งชิงดีกัน แข่งขันกัน ต่อสู้กัน  ทะเลาะเบาะแว้งทำร้ายกัน เพราะขาดความเมตตานั่นเอง  ถ้ามีความเมตตาแล้วถึงแม้จะต้องการอะไร เวลาแสวงหาก็แสวงหาด้วยความเมตตา  ถ้ามีผู้อื่นต้องการสิ่งเดียวกันก็ตกลงกัน  ตั้งกฎกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับกัน แล้วก็ทำกันไป  ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไปหาอย่างอื่นแทนก็ได้   ถ้าเขาต้องการจริงๆ เราก็เสียสละไป แทนที่เราจะเสียเรากลับได้  เราเสียสิ่งที่ต้องการไป แต่สิ่งที่เราได้มาก็คือความดีงาม ทำให้เราเป็นคนน่าเคารพเลื่อมใส คนที่เสียสละได้อยู่กับใครก็ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใคร  แต่คนที่เสียสละไม่ได้มักจะสร้างความเดือดร้อน สร้างความวุ่นวายให้กับผู้อื่นเสมอ เพราะจะทำโดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนที่จะเกิดขึ้นกับผู้อื่น  โลกเราจึงเป็นไปได้ ๒ รูปแบบด้วยกันคือ ๑. อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข โดยนำพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้กัน ๒. อยู่กันอย่างวุ่นวายเดือดร้อน ถ้าเอาใจเราเป็นที่ตั้ง ต้องการอะไรก็หามาโดยไม่คำนึงว่า จะไปสร้างความเดือดร้อน สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นหรือไม่  เราจึงควรเห็นความสำคัญของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าไปคิดว่าการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะทำให้เราไม่เจริญ อย่างนี้ไม่ใช่ความจริง   เพราะการกระทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จะทำให้เราทุกคนเจริญร่วมกัน ต่างคนต่างก็ปฏิบัติ ทำหน้าที่ของตน ถ้ามีผู้อื่นเดือดร้อนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ช่วยเหลือกันไป

 

เพราะคนเรามีความสามารถแตกต่างกัน มีบุญวาสนาบารมีแตกต่างกัน คนที่ได้บำเพ็ญบุญบารมีวาสนามามาก ก็จะทำมาหากินได้สะดวกสบาย  ร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว  คนที่ไม่ได้บำเพ็ญมา ก็จะลำบากลำบน ถ้าไปทำบาปทำกรรมมาในอดีต ก็จะมีความบกพร่องทางร่างกาย เป็นคนพิกลพิการ หูหนวกตาบอด  แขนขาดขาขาด  อดีตเราย้อนกลับไปไม่ได้ จะไปลบอดีตเพื่อทำให้ปัจจุบันดีไม่ได้ แต่เราสามารถทำอนาคตและปัจจุบันให้ดีได้ ด้วยการช่วยเหลือกัน มีความกรุณาสงสารต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยคิดว่าถ้าเราลำบากลำบนเหมือนกับเขาแล้ว ถ้ามีผู้มีความกรุณามาช่วยเหลือมาสงเคราะห์ ให้อยู่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีความทุกข์น้อยลง เราก็จะมีความชื่นอกชื่นใจมีความสุข ถ้าเรามีบุญวาสนาบารมี  อยู่ดีกินดี เราจึงไม่ควรลืมคนที่ไม่มีวาสนาบารมี คนที่ตกทุกข์ได้ยาก เพราะการช่วยเหลือกันก็เป็นการสะสมบุญบารมีไปในตัว เมื่อถึงเวลาที่ผลจะเกิดขึ้น ก็จะกลับมาหาเรา  เวลาตกทุกข์ได้ยาก   มีความเดือดร้อน ก็จะมีผู้อื่นมาดูแล มาช่วยเหลือเรา  ดีกว่าหวงเงินหวงทองเก็บเอาไว้ ใช้ก็ไม่ได้ใช้ เสียดาย กลัวจะหมด แล้วก็ไม่ได้ใช้จริงๆ ตายไปก็ทิ้งให้คนอื่นไป  ไปข้างหน้าก็จะลำบากลำบน  ไม่มีอะไรรองรับ เพราะไม่หว่านพืชในปัจจุบัน เหมือนกับชาวนาชาวไร่เมื่อถึงเวลาต้องปลูกพืชพันธุ์ต่างๆ  แต่มีความเกียจคร้าน หรือเสียดาย ไม่ยอมเอาลงดิน ไม่ยอมปลูก เอาไปขายกินหมด พอถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็จะไม่มีดอกผลให้เก็บ เพราะไม่ได้หว่านพืชไว้นั่นเอง

 

ฉันใดการทำบุญทำความดีต่างๆ ก็เป็นการหว่านพืชเพื่อผลที่จะรออยู่ข้างหน้า ในภพหน้าชาติหน้า และเพื่อความสุขในปัจจุบันด้วย เพราะการกระทำความดี  มีความเมตตากรุณา ช่วยเหลือผู้อื่น เสียสละ ทำให้เรามีความสุขใจ ภูมิใจ พอใจ ไม่หิวไม่กระหาย ไม่อยากกับสิ่งต่างๆที่ไร้สาระ เช่นของฟุ่มเฟือยต่างๆ  การเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ได้มามากน้อยเพียงไรก็ไม่สร้างความอิ่มความพอใจ ให้กับเราได้เหมือนกับการเสียสละ ความเมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลก ทุกวันนี้ที่เราอยู่ดีกินดีกัน ส่วนหนึ่งก็เกิดจากการที่ได้หว่านพืชไว้ในอดีตนั่นเอง ในอดีตชาติเราเคยทำบุญทำทาน  เคยสงเคราะห์ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์เพื่อนสัตว์ร่วมโลก  เคยเสียสละ เคยทำความดีไว้ พอมาเกิดชาตินี้ก็ได้รับอานิสงส์   ทำให้เราอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีสิ่งต่างๆพอเพียง หรือเหลือเฟือสำหรับบางคนบางท่าน ถ้าทำไว้มากก็จะมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณที่สวยงาม เป็นสิ่งที่ต้องทำกันขึ้นมา ไม่มีใครให้ใครได้ ซื้อไม่ได้   ดังคำพูดที่ว่าความดีซื้อไม่ได้ ต้องเกิดจากการกระทำทางกายวาจาใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางใจ เพราะใจเป็นนาย กายและวาจาเป็นบ่าว จะพูดหรือจะทำอะไรทางกาย จะต้องมีใจเป็นผู้สั่งการก่อน ใจจะสั่งการให้ไปในทางที่ดีหรือไม่ดี ก็อยู่ที่ความรู้ที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง  ถ้ามีความรู้ที่ถูกต้องที่เรียกว่าสัมมาทิฐิ ก็จะสั่งการกระทำทางกายทางวาจาไปในทางที่ดีที่ถูกที่ควร ที่จะนำความสุขและความเจริญมาให้  ถ้าใจมีผู้สั่งการเป็นผู้มืดบอด เป็นคนโง่ โลภโมโทสัน ก็จะไปทำในสิ่งที่เกิดโทษขึ้นมา เพราะเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เช่นคนที่ชอบเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน  เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร  ชอบความเกียจคร้าน เป็นคนที่ถูกความหลงหรือความเห็นผิดเป็นชอบ สั่งการให้ไปทำนั่นเอง  เห็นว่ามีประโยชน์นำความสุขมาให้ แต่ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเสื่อมและความทุกข์  

 

คนที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ ก็เช่นเดียวกัน มีมิจฉาทิฐิความเห็นผิดเป็นชอบสั่งการ ให้กระทำการกระทำเหล่านี้ เพราะคิดว่าจะนำมาซึ่งความสุข  นำมาซึ่งประโยชน์ เพราะสิ่งที่ได้จากการะทำเหล่านี้ ไม่คุ้มกับสิ่งที่เสียไป ได้เงินทองมา ได้ข้าวของ ได้คนนั้นคนนี้มา แต่สิ่งที่เสียไปก็คือความเป็นมนุษย์  เป็นเทพ  เป็นพระอริยบุคคล เพราะการที่จะเป็นได้นั้น ต้องไม่กระทำผิดศีลธรรม ไม่ละเมิดศีล  ๕  คือต้องละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา จะทำได้ก็ต้องมีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ ต้องรู้ว่าการละเว้นจากการกระทำบาปทั้ง ๕ ประการนี้ เป็นทางสู่ความสุขและความเจริญอย่างแท้จริง เจริญที่ใจ ใจนี้สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด  สิ่งอื่นๆจะเจริญมากน้อยเพียงไร ก็ไม่มีผลอะไรกับใจ ไม่เหมือนกับความเสื่อมหรือความเจริญของใจ เวลาใจเสื่อมลงไป ความทุกข์ ความลำบาก ความยากเย็นเข็ญใจต่างๆ ก็จะมีมากขึ้นตามไป  ถ้าใจมีสัมมาทิฐิทำความดี ก็จะพาให้ไปสู่ความสุขความเจริญก้าวหน้า ความสุขและทุกข์จึงอยู่ที่ใจเป็นหลัก  ไม่ได้อยู่ที่ความเจริญของวัตถุข้าวของต่างๆ เช่นสมัยนี้เราว่าบ้านเมืองเราเจริญกว่าสมัยก่อน เพราะสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า ไม่มีน้ำประปา ไม่มีรถยนต์ ไม่มีวิทยุโทรทัศน์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ  ไม่มีตึกรามบ้านช่อง  ไม่มีถนนหนทาง แต่นี่เป็นความเจริญทางด้านวัตถุ แต่จิตใจของคนเรากลับไม่สุขเหมือนกับคนสมัยโบราณ มีความทุกข์ความหวาดผวากับภัยต่างๆ ออกไปนอกบ้านก็ไม่แน่ใจว่าจะกลับบ้านโดยสวัสดิภาพหรือไม่  กลับมาบ้านก็ไม่ทราบว่าข้าวของยังจะอยู่ครบถ้วนหรือไม่

 

เพราะความเสื่อมของจิตใจของคนมีอยู่มาก  ทำให้มีการลักทรัพย์  มีการฆ่ากันอยู่ตลอดเวลา ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ เปิดวันไหนก็จะต้องมีข่าวคราวของการฆ่ากันทำลายกัน นี้คือผลของความเสื่อมทางด้านจิตใจ ส่งออกมาภายนอกก็สร้างเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ในใจก็จะมีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจ   เมื่อไปทำสิ่งที่ผิดแล้วก็มีความหวาดกลัว  กลัวจะถูกจับไปลงโทษ จึงอยู่ไม่เป็นสุข  แต่ในสมัยโบราณสมัยก่อนนั้น ถึงแม้จะไม่เจริญทางด้านวัตถุ แต่อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข มีความสบายทางด้านจิตใจ จะไปไหนมาไหนก็ไม่กลัวว่าจะมีใครมาทำร้าย มาปล้นมาจี้ เวลาออกจากบ้านไปก็ไม่ได้ใส่กุญแจ ไม่ได้ปิดบ้าน กลับมาข้าวของก็ยังอยู่ครบทุกอย่าง  เพราะคนสมัยก่อนมีความเจริญทางด้านจิตใจ มีสัมมาทิฐิความเห็นชอบ ไม่ละเมิดศีล ๕  เพราะรู้ว่าการละเมิดศีลเป็นการทำลายตนเองและทำลายผู้อื่น มีแต่ความเมตตากรุณาต่อกัน  เวลาทำกับข้าวกับปลาอาหารอะไร มักจะไม่ทำเฉพาะคนที่บ้าน  จะคิดถึงคนข้างบ้านด้วยเสมอ  เวลาทำอาหารเสร็จก็แบ่งส่วนหนึ่งไปให้กับเพื่อนบ้าน  เพื่อนบ้านก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วแบ่งอีกส่วนหนึ่งไว้สำหรับทำบุญใส่บาตร  คนสมัยโบราณจึงอยู่กันอย่างสุขอย่างสบาย  อยู่ด้วยความเจริญ   รักษาความเป็นมนุษย์ไว้ได้  พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นได้ ให้ไปเป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะมีเวลาเข้าวัดเข้าวากัน เพราะไม่มีสถานที่ต่างๆเหมือนอย่างสมัยนี้  ที่จะคอยฉุดลากให้พวกเราไปแสวงหาความสุขกัน โดยไม่รู้ว่าเป็นการแสวงหาความทุกข์ เช่น สถานบันเทิงต่างๆ โรงภาพยนตร์ โรงนวด  โรงสุรา สถานที่ขายของฟุ่มเฟือยต่าง ๆ  โรงหนังโรงละคร  สถานที่ที่มีการร้องรำทำเพลง จึงไม่ค่อยมีเวลาเข้าวัดกัน ถ้าไม่ได้เข้าวัด โอกาสที่จะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นให้ดีขึ้น ก็จะไม่มี

 

เพราะวัดเป็นสถานที่เดียวในโลกนี้ ที่จะพัฒนาจิตใจคนให้สูงขึ้นให้ดีขึ้น รักษาป้องกันไม่ให้จิตใจตกต่ำ นอกจากวัดแล้วสถานที่อื่นๆมีแต่จะฉุดลากให้ลงต่ำ  เพราะต้องใช้เงินทอง แล้วก็จะติดนิสัย อยากจะไปเรื่อยๆ   ไปแต่ละครั้งก็ต้องหมดเงินหมดทองไปเป็นจำนวนมาก  จนเงินทองไม่พอใช้  เมื่อไม่พอใช้ก็ต้องไปกู้หนี้ยืมสิน ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น เพราะเมื่อถึงเวลาจะต้องใช้คืนก็จะไม่มีปัญญาใช้คืน ถ้ากู้หนี้ยืมสินไม่ได้ ก็ต้องฉ้อโกง ลักเล็กขโมยน้อย ปล้นจี้ แล้วก็ต่อสู้กันฆ่ากัน  เป็นชีวิตของคนปัจจุบัน เพราะมีสถานที่ฉุดลากให้ลงต่ำมาก ออกไปทางไหน เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา มีแต่สถานที่เหล่านี้ทั้งนั้น  วัดวาอารามถึงแม้จะมีอยู่บ้างก็แทบจะมองไม่เห็นกัน เพราะใจไม่คิดถึงการเข้าวัดเข้าวากันเลย  เพราะถูกอำนาจของความเห็นแก่ตัวครอบงำอยู่ ทำให้เสียสละได้ยาก ถูกความโลภ ความอยากครอบงำ จึงไม่อยากให้เงินทองผู้อื่น  อยากจะเอาเงินทองไปซื้อของที่ตนอยากได้  เอามาใช้ในสิ่งที่ตนอยากจะทำ แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง อยู่เย็นเป็นสุขหรือไม่  อยู่บ้านเฉยๆได้หรือไม่ หรือว่าเวลาอยู่บ้านเฉยๆ มีความหงุดหงิดใจ เศร้าสร้อยหงอยเหงา ต้องไปสถานที่บันเทิงต่างๆถึงจะมีความสุข อย่างนี้ก็เป็นเหมือนกับคนติดยาเสพติด จะอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องมียาเสพอยู่เรื่อยๆ เวลาขาดแล้วจะหงุดหงิด ทุรนทุราย ทรมานจิตทรมานใจ ถ้าอยู่เฉยๆไม่ได้ มีความหงุดหงิดใจ  มีความเศร้าสร้อยหงอยเหงา  มีความทรมานใจ แสดงว่าจิตใจเสื่อมลงไป ห่างธรรมะ  ไม่ได้พัฒนา  ไม่ได้รับการดูแลรักษา  จึงควรคิดถึงจิตใจบ้าง 

 

อย่าคิดตามกิเลส ความโลภ ความอยาก ที่เป็นตัวสร้างความทุกข์ให้กับใจ ให้คิดตามธรรม คิดต่อสู้ชำระกิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่มีอยู่ในใจ เพราะถ้าชำระได้มากน้อยเพียงไรแล้ว ใจจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมากน้อยเพียงนั้น ถ้าไม่มีความโลภ ความอยาก ความหลงเลย อยู่เฉยๆก็มีความสุข ไม่ต้องมีอะไรดู ไม่ต้องมีอะไรฟัง ไม่ต้องมีอะไรเคี้ยว เพราะใจไม่หิว ร่างกายก็ไม่หิว  เพราะได้อาหารพอเพียงแล้ว กินวันละมื้ออย่างพระก็อยู่ได้แล้ว แต่ที่เรายังกินวันละมื้อหรือสองมื้อไม่ได้กัน ก็เพราะใจยังไม่พอ ยังอยากอยู่ ยังต้องกินมากกว่านั้น กินเสร็จไปหยกๆ พอเห็นขนมนมเนยเข้า ก็ต้องซื้อมากินซื้อมาดื่มอีก จะกินอย่างนี้ไปจนกว่าถึงเวลาหลับนอนถึงจะหยุด แต่ความจริงแล้วร่างกายไม่ต้องการกินขนาดนี้เลย จึงทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเกิน ทำให้อ้วน เป็นเหตุของโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ  เพราะแพ้อำนาจของกิเลส  ของความโลภ ของความอยาก ถ้ายึดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องดำเนินแล้ว เราจะมีเครื่องมือต่อสู้กับความโลภ ความโกรธ ความหลง จะทำให้เราอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข เพราะถ้าสามารถปราบกิเลสได้แล้ว อยู่เฉยๆก็มีความสุข ไม่ต้องดิ้นรนหาอะไรมาให้ความสุข  เราจึงควรเข้าวัดกันบ่อยๆ เพื่อจะได้มาทำความดีกัน มาพัฒนาชีวิตจิตใจให้สูงขึ้นให้ดีขึ้น เพื่อความสุขที่จะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ในอนาคตภพชาติก็จะดีขึ้นกว่าเดิม จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณที่สวยงามกว่าเดิม  มีฐานะการเงินที่ดีกว่าเดิม มีสติปัญญาความรู้ความฉลาดมากกว่าเดิม  มีอายุยืนยาวนานกว่าเดิม มีความสุขมากกว่าเดิม เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญในปัจจุบัน  ด้วยการทำความดี เสียสละ มีความเมตตากรุณา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีไมตรีจิตต่อเพื่อนร่วมโลก ทุกคนก็จะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข

 

จะพัฒนาจิตใจขึ้นไปเรื่อยๆจนถึงจุดสูงสุด ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้พัฒนา เราก็จะไปถึงจุดนั้นเหมือนกัน สักวันหนึ่งพวกเราก็จะกลายเป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้ากัน จะได้ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป   จะอยู่ในสภาพที่มีแต่บรมสุข  ที่ไม่มีความหิว ความอยาก ความทุกข์ ความวุ่นวายใจไปตลอดอนันตกาล   นี่คือผลที่จะเกิดขึ้นจากการทำความดี  จากการมาวัดอย่างสม่ำเสมอ  จึงควรให้ความสำคัญต่อการพัฒนาจิตใจ ยิ่งกว่าการพัฒนาอย่างอื่น เพราะไม่ได้เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะสร้างอะไรทำอะไรมากน้อยเพียงไร  พอถึงเวลาก็ต้องทิ้งไปจากไป เอาติดตัวไปไม่ได้  ต้องชำรุดทรุดโทรมเสื่อมไป  หายไปหมดไป  ดูวัดวาอารามต่างๆ ที่ถูกสร้างมาในอดีต สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา วันนี้เป็นอย่างไร เหลือแต่ซากปรักหักพัง ความเจริญทางโลกเป็นอย่างนี้ เจริญแล้วก็ต้องเสื่อมหมดไป แต่ความเจริญทางจิตใจ ถ้าได้รับการพัฒนาไปเรื่อยๆแล้ว จะไม่มีความเสื่อมตามมา  จะพัฒนาไปจนถึงจุดสูงสุด จุดของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย นี้คือเป้าหมายของชีวิต จุดหมายปลายทางของการเดินทางอันยาวนาน คือพระนิพพาน  เมื่อได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ ด้วยการทำความดีตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  ถ้าไม่บำเพ็ญเราก็จะวนเวียนอยู่ในโลกของการเวียนว่ายตายเกิด ในภพน้อยภพใหญ่ สูงๆต่ำๆ  เจริญแล้วก็เสื่อม  อย่างไม่มีที่สิ้นสุด  จึงควรเลือกทางเดินที่ถูกต้อง คือเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน แล้วเราจะมีแต่ความเจริญความก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว จึงขอฝากเรื่องการมาบำเพ็ญ มาฟังเทศน์ฟังธรรม  มาชำระความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้ท่านนำไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้