กัณฑ์ที่ ๒๙๓       ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

 

สุขตอนต้น ทุกข์ตอนปลาย

 

 

 

วันนี้เป็นวันที่ท่านมีความตั้งใจมาวัดเพื่อมาสะสมบุญบารมีกัน เอาบุญมาฝากไว้ในธนาคารบุญ เอาทรัพย์ภายนอกมาแปลงเป็นทรัพย์ภายใน เหมือนกับเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคาร เพราะเชื่อว่าบุญจะติดตัวไปกับเรา สามารถเอาบุญที่ฝากไว้ในธนาคารบุญไปใช้ได้ เมื่อไปเกิดในภพต่อไป จะได้มีสิ่งที่ดีที่งามรอเราอยู่ เหมือนกับที่ได้พบกับสิ่งที่ดีที่งามในชาตินี้ เพราะในอดีตชาติเราก็เคยสะสมบุญกันมา จึงทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีฐานะดี อยู่เย็นเป็นสุข ไม่เดือดร้อน ไม่ลำบากลำบน เป็นอานิสงส์ของบุญกุศลที่ได้เคยทำไว้ในอดีต ทำให้เรามาทำกันต่อ เพื่อจะได้มีอนาคตคือภพหน้าชาติหน้า ที่ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในภพนี้ชาตินี้ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ตรัสรู้ได้รู้เห็นกัน ได้พิสูจน์มาแล้ว เห็นประจักษ์กับใจ เพราะเห็นตัวใจที่ไปเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ แต่พวกเรายังไม่เห็นกัน ทั้งๆที่อยู่กับเรา เป็นตัวเรา แต่เรากลับมองไม่เห็นกัน เหมือคนตาบอดที่ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้ ฉันใดใจของเราก็เป็นเช่นเดียวกัน บอดด้วยโมหะความหลง บอดด้วยอวิชชาความไม่รู้ จึงทำให้ไม่เห็นตัวเราที่แท้จริง ไม่เห็นตัวใจ เห็นแต่ร่างกายที่เราคิดว่าเป็นตัวเรา เราจึงไม่ให้ความสำคัญกับใจ ไม่ให้ความสำคัญกับภพหน้าชาติหน้า แต่ให้ความสำคัญกับภพนี้ชาตินี้ กับความสุขที่จะหาได้ในชาตินี้ แต่ไม่คิดถึงความสุขในชาติหน้า โชคดีที่ได้มาเจอพระพุทธเจ้า เจอพระธรรมคำสอน เจอพระอริยสงฆ์สาวกทั้งหลาย ที่รู้จักตัวใจแล้วนำเอามาสั่งสอนพวกเรา ให้รู้ว่าตัวเราที่แท้จริงนั้น ไม่ใช่ร่างกายแต่เป็นใจ ที่กำลังรับรู้อยู่นี้ ถ้าไม่มีใจจะไม่สามารถรับเสียงที่กำลังพูดอยู่ได้ จะไม่เข้าใจถึงความหมาย เพราะถ้าไม่มีใจแล้ว ร่างกายก็เป็นเหมือนคนตาย คนตายนี้แลคือร่างกายที่ไม่มีใจอยู่แล้ว ได้แยกทางกันไปแล้ว ไปกันคนละทิศละทาง

 

เหมือนรถยนต์ที่ถูกจอดทิ้งไว้ ไม่มีคนขับ ก็จะจอดอยู่อย่างนั้น จะไม่ขยับเขยื้อนไปไหนได้ จนกว่าจะมีคนขับมาขับไป ร่างกายนี้ก็เช่นกัน ถ้าไม่มีคนขับคือใจ ก็จะไม่สามารถทำอะไรต่อไปได้ ไม่สามารถรักษาให้เจริญเติบโต ไม่ให้เน่า ไม่ให้แตกสลายไปได้ เพราะไม่มีผู้ดูแลรักษา คือใจนั่นเอง ใจนี้แลคือตัวที่ไปเวียนว่ายตายเกิด เป็นเหมือนกับคนขับรถยนต์ พอรถยนต์คันเก่าพังไป คนขับก็ไปหารถคันใหม่ ถ้ามีเงินมากก็ซื้อรถคันใหม่ที่ดีกว่าเก่า ถ้ามีเงินน้อยก็ซื้อรถที่ไม่ดีกว่าเก่า ภพชาติของเราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน หลังจากที่ร่างกายแตกดับไปแล้ว ใจก็จะไปเกิดใหม่ ไปหาร่างใหม่ จะได้ร่างที่ดีกว่าเก่า หรือเลวกว่าเก่า ก็ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ทำไว้ ถ้าทำบุญอย่างสม่ำเสมอ ไม่ทำบาปทำกรรม ก็จะได้ร่างใหม่ที่ดีกว่าเดิม ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณสวยงามกว่าเดิม มีสติปัญญาความฉลาดรู้มากกว่าเดิม มีฐานะสูงกว่าเดิม ถ้าไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะได้เกิดเป็นเทพ เป็นพรหม  ในทางตรงกันข้าม ถ้าไม่ทำบุญมัวแต่ทำบาป เช่นวันนี้มีคนอีกมากที่ไม่ได้เข้าวัดกัน แล้วก็ไปทำบาปกัน ไปเล่นการพนัน ไปเสพสุรายาเมา ไปยิงนกตกปลา ไปกระทำสิ่งที่จะฉุดลากจิตใจให้ตกลงไปสู่ที่ต่ำ เมื่อแยกออกจากร่างกายไปแล้ว ก็จะได้ร่างใหม่ที่เลวกว่าเก่า ได้ร่างของเดรัจฉาน ไปเกิดเป็นแมวบ้าง เป็นสุนัขบ้าง เป็นจิ้งจก เป็นตุ๊กแกบ้าง เพราะทำแต่บาปกรรม ไม่ได้ทำบุญ ถ้าไม่ได้ร่างของเดรัจฉาน ก็จะไปเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์นรก ขึ้นอยู่กับบาปกรรมที่ทำไว้ว่ามีมากน้อยเพียงไร เราจึงควรเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น แล้วนำมาสั่งสอนพวกเรา เนื่องจากพวกเรายังไม่สามารถเห็นได้ด้วยตัวของเราเอง ทั้งๆที่มีความสามารถที่จะเห็นได้

 

เพราะไม่รู้จักเปิดตาใน ที่ถูกปิดด้วยความหลง ความโลภ ความโกรธ จึงทำให้ไม่เห็นตัวใจ ที่เป็นผู้กระทำ เป็นผู้รับผลของบุญและบาป จึงไม่เชื่อในเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เพราะเห็นเพียงแต่ร่างกายที่ใจครอบครองอยู่เท่านั้น จึงคิดว่าเมื่อร่างกายแตกสลายไปแล้ว ถ้าเอาไปเผาก็กลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป ไม่มีอะไรที่จะตามมาต่อไป แต่ไม่เคยคิดเลยว่า แล้วเรามาเกิดได้อย่างไร อยู่ดีๆมาเกิดได้อย่างไร ถ้าไม่มีใจจะมาเกิดได้อย่างไร ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วปฏิบัติตามคำสอน ทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ สักวันหนึ่งตาในของเราที่มืดบอด ก็จะเกิดสว่างขึ้นมา เพราะการกระทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เป็นการชำระความมืดบอดที่ครอบงำจิตใจนั่นเอง เหมือนกับรถยนต์ที่มีฝุ่นมีโคลนปิดบังกระจกหน้ารถไว้ ทำให้ไม่สามารถมองทะลุออกมาข้างนอกได้ แต่ถ้าเอาน้ำมาล้างกระจก ชำระฝุ่นโคลนให้หมดไป กระจกก็จะใสขึ้นมา คนขับรถก็จะสามารถมองเห็นออกมาจากภายในได้ สามารถเห็นทางเห็นอะไรต่างๆได้  ใจของเราก็เป็นอย่างนั้น ขณะนี้มองไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ ไม่เห็นบาป ไม่เห็นบุญ ไม่เห็นการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เห็นการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เห็นมรรคผลนิพพาน เพราะถูกโคลนตมแห่งโมหะความหลง โคลนตมแห่งอวิชชาความไม่รู้ ปกปิดจิตใจ จึงไม่เห็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายเห็นกัน จึงไม่กลัวบาปกัน ไม่ยินดีที่จะทำบุญทำความดีกัน เพราะมองสั้นๆ ชอบหาความสุขในปัจจุบัน ที่เป็นสุขในเบื้องต้น แต่เป็นทุกข์ในบั้นปลาย ไม่มองว่ามีความสุขอีกชนิดหนึ่ง ที่เป็นสุขตอนปลาย แต่ทุกข์ตอนต้น

 

ความสุขที่เป็นสุขต้นแต่ทุกข์ปลายก็คือ ความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ความสุขจากการดูหนัง ดูละคร ฟังเพลง รับประทานอาหารที่ถูกอกถูกใจ ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ซื้อข้าวซื้อของต่างๆที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ คือของฟุ่มเฟือยทั้งหลาย เช่นเครื่องสำอาง น้ำหอม เสื้อผ้าสวยๆงามๆ และเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ที่มีมากเกินความจำเป็น เรามีความสุขกับสิ่งเหล่านี้ เวลาที่ออกไปเดินตามห้างสรรพสินค้า ซื้อสิ่งของต่างๆมา จะมีความสุขกัน แต่ความสุขแบบนี้จะไม่สุขไปตลอด เพราะเมื่อร่างกายแก่ลงไป ก็จะไม่มีกำลังวังชา ที่จะไปทำอย่างที่เคยทำได้ ไม่สามารถหาความสุขแบบนั้นได้ ต้องอยู่ในบ้าน ก็จะรู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงาหงุดหงิด ถ้าร่างกายเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะต้องทุกข์ทรมานใจ ยิ่งใกล้ตายก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นไป เพราะหาความสุขภายนอก ที่เป็นสุขเบื้องต้นแล้วก็ทุกข์บั้นปลายไม่ได้ แต่ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ซึ่งเป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะยากลำบาก เป็นความทุกข์สำหรับพวกเรา เราจะทุกข์ตอนต้นแต่สุขตอนปลาย เพราะการปฏิบัติตามพระพุทธเจ้ามันสวนกระแสกับความอยากของเรา จึงทำให้รู้สึกทุกข์ยากลำบาก เช่นวันนี้ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อมาทำบุญที่วัดกัน ถ้าไม่มาวัดก็ไม่ต้องตื่นแต่เช้า นอนจนถึงเวลานี้ก็ยังนอนได้ นอนอย่างสุขอย่างสบาย ไม่ต้องเสียเงินทองไปกับการทำบุญ เอาเก็บไว้ซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆดีกว่า ถ้าเห็นความสุขทางโลกก็จะคิดอย่างนี้ คิดว่าสำคัญกว่าความสุขทางธรรม แต่ถ้าเห็นว่าความสุขที่เกิดจากการทำบุญ มีคุณค่ากว่าความสุขที่ได้จากการนอนตื่นสายๆ ซื้อของฟุ่มเฟือย เราก็ยอมเสียสละเงินมาทำบุญ ยอมตื่นแต่เช้า ไม่นอนตื่นสาย ถึงแม้จะรู้สึกลำบากบ้างก็ตาม แต่จะส่งผลให้จิตใจมีความสุข มีความพอใจภูมิใจ เพราะการทำบุญทำความดี เป็นการให้อาหารกับใจนั่นเอง

 

ต่างกับการไปเที่ยว ไปดูละคร ไปฟังเพลง ไปซื้อของฟุ่มเฟือย ไม่ได้เป็นอาหารใจ แต่เป็นยาพิษ เพราะทำให้ใจเกิดความหิวความอยากเพิ่มมากขึ้นไปอีก สังเกตดูตั้งแต่เกิดมานี้ เราได้ไปเที่ยว ไปกิน ไปดื่ม ไปดูหนังฟังเพลง ไปซื้อของฟุ่มเฟือยมามากน้อยเพียงไรแล้ว เราเคยถึงจุดอิ่มพอบ้างหรือยัง หรือว่ายังอยากที่จะทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ เพราะไม่เป็นวิธีที่จะให้ความอิ่มความพอกับใจนั่นเอง   แต่การทำความดีเช่นเสียสละทรัพย์ส่วนตัวของเรา เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ทำประโยชน์ให้กับผู้อื่น กลับทำให้อิ่มเอิบใจสุขใจ ทำให้ไม่ต้องการไปเที่ยว ไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ ไปดูหนังฟังเพลงดูละคร ไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ เพราะไม่ได้ให้ความอิ่มความพอ เหมือนกับการทำบุญทำความดี การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม การได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ที่เป็นการให้อาหารกับจิตใจ เป็นการสะสมความสุขภายในใจ ที่จะอยู่ติดกับใจ และจะเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จนเป็นความสุขที่เต็มเปี่ยมที่ไม่จางหายไป เป็นผลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมา เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เป็นนิพพานัง ปรมังสุขัง เป็นบรมสุขของพระนิพพาน ของจิตใจที่ได้ทำความดีจนมีความสุขเต็มเปี่ยม มีความดีเท่านั้นคือบุญและกุศล ที่จะสร้างความสุขให้กับจิตใจของเรา และไม่สูญสลายไปเมื่อเราตายไป เพราะไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย ไม่ได้อยู่ที่ข้าวของเงินทอง ไม่ได้อยู่กับคนนั้นหรือคนนี้ แต่อยู่กับใจของเรา เมื่อใจแยกออกจากกายไปสู่ภพใหม่ชาติใหม่ ใจก็จะขนความสุขนี้ไปด้วย แต่ความสุขภายนอกที่ได้จากข้าวของเงินทองต่างๆ จากคนนั้นคนนี้ จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ เอาติดใจไปไม่ได้ เมื่อตายไปก็ต้องทิ้งไปหมด ถ้าไม่ได้สะสมบุญ สะสมความสุขภายในใจ สะสมทรัพย์ภายในใจไว้ เวลาใจต้องเดินทางไป ก็จะไปแบบไม่มีความสุขติดตัวไปด้วย มีแต่ความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจอาลัยอาวรณ์ เพราะไม่ได้สะสมบุญไว้ สะสมแต่ความสุขจากสิ่งภายนอก เมื่อถึงเวลาต้องจากกัน ก็จะสร้างความทุกข์ให้กับใจเป็นอย่างยิ่ง

 

สังเกตดูเวลาที่ต้องจากคนที่รักไป จะรู้สึกอย่างไร เวลาที่ต้องอยู่คนเดียว ไม่มีใครเป็นเพื่อน ไม่มีอะไรดู ไม่มีอะไรฟัง จะรู้สึกเศร้าสร้อยหงอยเหงา ไม่มีความสุขเลย แต่ถ้าทำบุญให้ทานอยู่เรื่อยๆ รักษาศีล นั่งสมาธิทำจิตใจให้สงบ ปลงอนิจจังทุกขังอนัตตา ปล่อยวางสิ่งต่างๆ ก็จะไม่ทุกข์ ไม่เศร้าสร้อยหงอยเหงา เพราะรู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องอยู่คนเดียว ก็เลยหัดอยู่แบบคนเดียวไปก่อน อยู่กับใครก็ได้ ไม่อยู่กับใครก็ได้ ฝึกทำใจให้ปล่อยวาง เพราะรู้ว่าเป็นคุณเป็นประโยชน์ ถ้ายังยึดติดอยู่กับสิ่งนั้นสิ่งนี้ กับคนนั้นกับคนนี้อยู่ ก็จะสร้างความทุกข์ ความเศร้าโศกเสียใจให้กับเรา ในยามที่ต้องจากกัน แต่ถ้าสมมุติอยู่เรื่อยๆว่า จะต้องอยู่คนเดียวสักวันหนึ่ง คนที่เรารักเราชอบสักวันหนึ่งก็ต้องจากเราไป ก็ซ้อมอยู่คนเดียวไปเรื่อยๆ ไม่หวังพึ่งอะไรจากใคร ไม่ต้องการสิ่งนั้นสิ่งนี้จากใคร ไม่ต้องการความสุขจากใคร ถ้าฝึกทำอย่างนี้ได้แล้ว ต่อไปจะอยู่คนเดียวได้ ไม่จำเป็นจะต้องมีอะไร วิธีฝึกที่ง่ายที่สุดก็คือการมาอยู่วัดนี้เอง มาถือศีล ๘ ไม่ต้องมีอะไรเป็นเครื่องให้ความสุข ไม่เอาแฟนมา ไม่เอาวิทยุโทรทัศน์มา ไม่เอาของกินของขบเคี้ยวต่างๆมา  มาแต่ตัวเปล่าๆ มาฝึกอยู่แบบเรียบง่าย หาความสงบด้วยการอ่านหนังสือธรรมะบ้าง ฟังเทศน์บ้าง นั่งสมาธิบ้าง ถ้าฝึกทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้ว ต่อไปจะเคยชินกับการอยู่แบบนี้ จะไม่รู้สึกว้าเหว่อย่างไร ในเบื้องต้นจะรู้สึกว้าเหว่บ้าง เพราะไม่เคยอยู่คนเดียว ไม่เคยอยู่เฉยๆ ชอบอยู่รวมกันหลายๆคน ทำกิจกรรมร่วมกัน ดูหนังฟังเพลง รับประทานอาหาร ดื่มเครื่องดื่มต่างๆด้วยกัน เป็นความสุขชั่วขณะ แล้วก็หมดไป เวลาไม่ได้ทำก็จะมีความว้าเหว่ เศร้าสร้อยหงอยเหงา  เพราะติดอยู่กับการกระทำเหล่านี้นั่นเอง

 

เราจึงต้องพยายามหักห้ามจิตใจ ไม่ให้ไปยึดติดกับความสุขแบบนี้ เพราะเป็นสุขในปัจจุบัน แล้วก็จะเป็นทุกข์ในอนาคต หัดอยู่แบบทุกข์ในปัจจุบัน เช่นมาอยู่วัดมาบวชกัน ใหม่ๆจะรู้สึกว้าเหว่เศร้าสร้อยหงอยเหงาบ้าง แต่ถ้าฝึกไปเรื่อยๆทำไปเรื่อยๆแล้ว ต่อไปความรู้สึกว้าเหว่เศร้าสร้อยหงอยเหงาก็จะหายไป ทำให้อยู่เฉยๆได้ อยู่คนเดียวได้ ไม่ต้องมีสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่ต้องมีคนนั้นคนนี้ มาให้ความสุข จะอยู่อย่างนี้ไปได้จนถึงวันตายเลย ถึงแม้ร่างกายจะเจ็บไข้ได้ป่วย จะแก่ชราอย่างไร หรือจะตาย ก็จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับใจ เพราะใจไม่ได้อาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือแล้ว เหมือนกับคนที่ไม่อาศัยรถยนต์เป็นเครื่องมือ จะไปไหนมาไหน เวลารถเสียก็ไม่เดือดร้อน แต่คนที่ต้องใช้รถทุกวัน ไปไหนมาไหนต้องใช้รถ เวลารถเสียก็จะหงุดหงิดใจรำคาญใจ เพราะไปไหนไม่ได้ แต่คนที่ไม่ไปไหน อยู่บ้านตลอดเวลา จะไม่เดือดร้อนเลยเวลารถเสีย หรือไม่มีรถใช้ จะไม่เดือดร้อนอะไร ใจก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่อาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือหาความสุขแล้ว ร่างกายจะเป็นอย่างไร ก็ไม่ทำให้ใจทุกข์วุ่นวายเลย จะอยู่เฉยๆได้อย่างสบาย เวลาใกล้ตายก็นอนไป แล้วก็ภาวนาทำจิตใจให้สงบ ปล่อยให้ร่างกายหยุดหายใจไป ไม่ทุรนทุรายวุ่นวายใจ ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่เสียดายอาลัยอาวรณ์กับอะไรทั้งสิ้น เพราะได้ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เป็นสิ่งที่พวกเราควรฝึกกัน สำรวจดูว่ายังยึดติดกับอะไร ถ้าไม่จำเป็นก็ลองหยุดดูสักพักหนึ่ง เช่นดูโทรทัศน์ถ้าไม่จำเป็น ก็ลองไม่ดูสักระยะหนึ่ง ดูหนังฟังเพลงถ้าไม่มีความจำเป็น ก็อย่าไปดูอย่าไปฟัง ไม่จำเป็นต้องกินอาหารที่เอร็ดอร่อยเสมอไป ก็หัดกินตามมีตามเกิดบ้าง เหมือนกับพระ เวลาไปบิณฑบาตได้อาหารอะไรมา ก็กินตามมีตามเกิด อย่าไปเลือก อย่าไปจู้จี้จุกจิก อย่าไปฝันว่าวันนี้อยากจะกินอาหารชนิดนั้นชนิดนี้ อยากจะหาความสุขจากการดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้

 

ลองเลิกการกระทำเหล่านี้ดู แล้วอยู่แบบเฉยๆบ้าง เช่นวันนี้วันเสาร์ หลังจากกลับจากวัดไปแล้วก็ไม่ต้องไปไหน ถ้าไม่มีธุระจำเป็น ไม่ต้องจับจ่ายกับข้าวกับปลาอาหาร เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ก็กลับไปอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องเปิดโทรทัศน์ดู เปิดเพลงฟัง ถ้าอยากจะฟังอะไร ก็เปิดธรรมะฟัง   ถ้าอยากจะดูอะไร ก็เปิดหนังสือธรรมะดู ถ้าไม่อยากดูไม่อยากฟังก็นั่งทำสมาธิกัน กำหนดจิตให้อยู่กับพุทโธๆไปเรื่อยๆ  ไม่ต้องไปคิดเรื่องอะไร คิดแต่พุทโธๆคำเดียว ลองทำดู ถ้าทำได้แล้วใจจะมีความสงบนิ่ง ไม่หิว ไม่กระหาย ไม่อยากทำอะไร อยู่เฉยๆได้นานอย่างมีความสุข ไม่หงุดหงิดใจรำคาญใจ เศร้าสร้อยหงอยเหงาแต่อย่างใด มีความอิ่มความพอ เป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเรา แต่เราไม่เคยทำให้เกิดขึ้นมา เพราะมัวไปหาความสุขจากสิ่งต่างๆภายนอก ยิ่งหาเท่าไหร่ก็ยิ่งวุ่นวายขึ้นไปเท่านั้น เพราะบางทีก็ไม่ได้ดังใจ ก็เสียใจผิดหวัง เวลาได้ดังใจก็ดีอกดีใจ ก็อยากจะได้เพิ่มขึ้นไปอีก ก็ต้องหาไปอยู่เรื่อยๆ เป็นความทุกข์ทั้งนั้น สู้หาความสุขในตัวเราไม่ได้ ด้วยการควบคุมกายวาจาใจ ให้ทำให้น้อยที่สุด ทำแต่สิ่งที่จำเป็น เช่นทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  แต่ไม่จำเป็นต้องไปเที่ยว ไปดูหนังฟังเพลง ไปดื่ม ไปทำอะไรต่างๆ ให้หันกลับมาอยู่ที่บ้าน มาทำกิจกรรมภายในใจ ถ้านั่งทำสมาธิไม่ได้ ก็สวดมนต์ไปก่อน สวดไปในใจไปเรื่อยๆ หลายๆรอบ จนรู้สึกพอ อยากจะหยุดก็หยุดดู ดูว่าใจนิ่งใจสบายหรือยัง ถ้ายังไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ ก็กลับมาสวดใหม่ ต่อสู้กับความคิด อย่าปล่อยให้คิดไปแบบไม่มีขอบไม่มีเขต เพราะไม่ได้นำความสุขมาให้ การหยุดคิดต่างหากที่จะให้ความสุข

 

แต่เราไม่สามารถหยุดคิดได้ด้วยความตั้งใจ ต้องมีอุบายแห่งสมาธิ คือการสวดมนต์ก็ดี บริกรรมพุทโธๆก็ดี ถ้าทำอย่างนี้แล้วรับรองได้ว่า อีกไม่นานใจก็จะหยุดคิดได้ จะได้พบกับความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน เป็นความสุขที่ดีที่เลิศกว่าความสุขภายนอก ดังที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า สุขอื่นๆในโลกนี้ ไม่เสมอเท่ากับความสุข ที่เกิดจากความสงบของจิตใจ จะสงบได้ก็ต้องหยุดคิด ต้องบริกรรมพุทโธๆ ต้องสวดมนต์ มีสติควบคุมบังคับไม่ให้ไปคิดเรื่องอื่น ถ้าสามารถให้จิตอยู่กับบทสวดมนต์หรืออยู่กับคำบริกรรมพุทโธได้อย่างต่อเนื่องแล้ว จะได้พบกับความสงบอย่างแน่นอน จึงควรเห็นความสำคัญของทรัพย์ภายใน คือความสุขภายในใจ มากกว่าทรัพย์ภายนอก คือความสุขภายนอก พยายามลดละความสุขภายนอก แล้วหันมาเพิ่มความสุขภายในกัน จะได้มีที่พึ่งอย่างแท้จริง เพราะต่อไปเมื่อร่างกายต้องแก่ลง ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องตายไป ใจจะได้ไม่ทุกข์กับร่างก่าย เพราะไม่ได้อาศัยร่างกายเป็นเครื่องมือให้ความสุขแล้ว ให้หมั่นมาวัดกัน มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาปฏิบัติธรรม อยู่ที่บ้านก็เช่นเดียวกัน ให้หมั่นรักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรม อ่านหนังสือธรรมะไปเรื่อยๆ แล้วจิตใจจะมีเครื่องหล่อเลี้ยง ทำให้มีความอิ่ม มีความสุข มีความพอ ขอให้นำสิ่งที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ไปปฏิบัติตามสมควรแก่กำลังแห่งสติปัญญาศรัทธาความเพียร เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้