กัณฑ์ที่ ๒๙๕       ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

 

 

การต่อสู้ภายในใจ

 

 

 

วันนี้เรามาวัดเพื่อมาเติมบุญเติมกุศล เติมความดีงามกัน เสริมสร้างกำลังจิตกำลังใจ ที่จะผลักดันให้เราไปสู่ความสุขและความเจริญ เพราะชีวิตของเราเป็นการต่อสู้ภายในใจระหว่าง ๒ ฝ่าย ระหว่างบุญกับบาป  กุศลกับอกุศล  ธรรมะกับอธรรม  ปัญญากับความหลง  ความเห็นที่ถูกต้องกับความเห็นผิดเป็นชอบ สัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฐิ ที่ต่อสู้กันอยู่ภายในใจของพวกเราตลอดเวลา ฝ่ายที่มีกำลังมากกว่าก็จะเป็นผู้สั่งการให้เราไปทำสิ่งต่างๆ ถ้าฝ่ายดีมีกำลังมากกว่าก็จะสั่งให้เราไปทำสิ่งที่ดี ถ้าฝ่ายไม่ดีมีกำลังมากกว่าก็จะสั่งให้เราไปทำในสิ่งที่ไม่ดี อย่างวันนี้พวกเรามีกำลังของฝ่ายดีมากกว่าจึงสั่งให้เรามาวัด มาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม มาปฏิบัติธรรมกัน เพราะการมาวัดเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นสิ่งที่จำเป็น  เหมือนกับรถยนต์ที่ต้องเข้าสถานีบริการเพื่อเติมน้ำมัน  ถ้าไม่ได้เข้าก็จะวิ่งไปได้ไม่นาน น้ำมันก็จะต้องหมด จะไม่สามารถวิ่งต่อไปได้ การเข้าวัดก็เพื่อเติมพลังของความดีงามทั้งหลาย ไว้ต่อสู้กับพลังของความไม่ดี ที่มีอยู่ในจิตในใจของพวกเราทุกคน ถ้าอยู่ห่างวัดเราจะมีกำลังทำความดีน้อย ถ้าเข้าวัดอยู่เรื่อยๆ เราจะมีพลังทำความดีมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนมีมากกว่าพลังของความไม่ดี  ทำให้เราไม่ต้องไปทำในสิ่งที่เราต้องเสียอกเสียใจ ต้องทุกข์ต้องวุ่นวายใจอีกต่อไป เราจึงควรให้ความสำคัญต่อการเติมพลังความดี เติมบุญเติมกุศล เติมธรรมะ เติมปัญญา  เติมสัมมาทิฐิความเห็นชอบให้มีมากยิ่งๆขึ้นไป  ด้วยการฟังธรรมในเบื้องต้น   เพราะการฟังธรรมเป็นการศึกษาหาความรู้  ให้รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อะไรถูกต้องอะไรไม่ถูกต้อง อะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป  อะไรเป็นเหตุของความสุขความเจริญ  อะไรเป็นเหตุของความทุกข์ความเสื่อมเสียทั้งหลาย 

 

เมื่อได้ยินแล้วจะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้ยินได้ฟัง เราก็ต้องเชื่อคนอื่นหรือเชื่อความคิดของเราเอง ซึ่งอาจจะถูกก็ได้อาจจะผิดก็ได้ ถ้าเป็นความคิดที่ถูกก็โชคดีไป ถ้าเป็นความคิดที่ผิดก็จะต้องเสียใจในภายหลังแต่ถ้าได้ฟังเทศน์ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราจะมั่นใจได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะทุกคำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ถูกต้องตามหลักความเป็นจริง  สามารถนำเอาไปปฏิบัติได้อย่างมั่นใจ ว่าจะไม่ผิดพลาด ไม่ต้องมาเสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ในภายหลัง นี้คืออานุภาพของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า    เป็นธรรมที่จะนำให้ผู้ปฏิบัติหลุดพ้นจากความทุกข์  จากความเสื่อม ความเศร้าโศกเสียใจ จากความหวาดผวา ความวุ่นวายของจิตใจ  ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้ดำเนินมาแล้ว  ได้พิสูจน์มาแล้ว ถ้าเป็นยาก็เป็นยาที่ได้รับการรับรองจากสถาบันรับรองยาแล้ว ว่าเป็นยาที่มีคุณภาพ สามารถรักษาโรคตามที่ได้โฆษณาไว้  ฉันใดธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ฉันนั้น สามารถชำระโรคภัยไข้เจ็บทางด้านจิตใจได้ ถ้าเรานำเอาธรรมะโอสถ คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้ามาปฏิบัติกับจิตกับใจเราแล้ว  ต่อไปใจก็จะหายจากโรคต่างๆ  โรคของใจก็คือความวุ่นวายใจ ทุกข์ใจ กังวลใจ เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์ หวาดกลัวกับสิ่งต่างๆ เป็นสิ่งที่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าสามารถกำจัดให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจได้  สามารถกำจัดความเห็นผิดที่จะพาให้ไปทำในสิ่งที่ผิดในสิ่งที่เสียได้   เราจึงต้องหมั่นฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เสมอ เพราะการฟังเทศน์ตามกาลตามเวลาเป็นมงคลแก่ชีวิต      ดังในพระบาลีที่แสดงไว้ว่า กาเลน ธัมมัสวนัง เอตัมมัง กลมุตตมัง

 

เพราะจะได้รู้จักผิดถูกดีชั่ว รู้จักการดำเนินชีวิต เพื่อความสุขความเจริญก้าวหน้า ไกลจากความทุกข์ ความวุ่นวายทั้งหลาย เราจึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ  อย่างน้อยที่สุดอาทิตย์หนึ่งต้องฟังเทศน์ ๑  ครั้ง เช่นในวันพระ  เป็นวันธรรมสวนะ เป็นวันฟังธรรม  พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ตั้งแต่  ๒,๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว และมีการปฏิบัติตามกันมาอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับประโยชน์จากการฟังเทศน์ฟังธรรมนี้เอง ทำให้เราเห็นความผิดเป็นชอบที่มีอยู่ในตัวเรา แล้วนำไปแก้ไข เพื่อจะได้ดำเนินชีวิตไปสู่ความสุขความเจริญ  ความเห็นผิดเป็นชอบมีอยู่มากมายหลายอย่างด้วยกัน เช่นเห็นว่าการรักษาศีลทำให้ไม่เจริญก้าวหน้า  ทำให้อยู่ในสังคมในปัจจุบันไม่ได้  เพราะคิดว่าถ้าไม่โกหกแล้วจะขายของไม่ได้  เวลาเขาถามว่าราคาต้นทุนเท่าไร ก็ไม่กล้าบอกราคาจริงๆไป ต้องโกหกไป เพราะกลัวว่าถ้าบอกราคาจริงแล้วเขาจะไม่ซื้อ เพราะเห็นว่าเอากำไรมากไป  เรื่องอย่างนี้เราไม่ต้องกังวล  เพราะถ้าไม่อยากจะพูดก็นิ่งเฉยเสีย หรือว่าบอกไม่ได้ก็หมดเรื่อง  ไม่จำเป็นต้องโกหกหลอกลวงกัน อันไหนพูดได้ก็พูดไป  อันไหนพูดไม่ได้ก็ไม่ต้องพูด  ไม่ต้องไปกังวลว่าเขาจะซื้อหรือไม่ ถ้าไม่ซื้อก็ไม่เป็นไรเพราะคนที่เข้าร้านก็ไม่ได้ซื้อกันทุกคน  บางคนอาจจะมาสอบถามราคาดูเท่านั้นเอง เพื่อเปรียบเทียบกับราคาของร้านอื่น  แต่ถ้าเราตั้งมั่นอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต ไม่พูดโกหก เขาก็จะได้รู้ว่าเราเป็นคนดี ไม่โกหกเพราะถ้าเราโกหกไป เขาก็จะรู้อยู่ดี เพราะเมื่อไปถามร้านอื่น ไปเปรียบเทียบราคากับร้านอื่น  ก็จะรู้ว่าไม่ใช่ราคาจริง รู้ว่าเราเป็นคนไม่ดี พูดปดมดเท็จ แทนที่อยากจะกลับมาซื้อของ  มาทำมาค้าขายกับเรา  เขาก็จะตัดเราออกไป  แต่ถ้าเขารู้ว่าเราเป็นคนดี เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต พูดความจริง หรือถ้าพูดความจริงไม่ได้ก็ไม่พูด เขาจะเคารพเรา เพราะเห็นว่าเราไม่พูดปด ถ้าต้องทำการค้ากับเรา เขาก็จะมั่นใจว่าเราจะไม่โกหกหลอกลวง  นี้คือความเห็นผิดของคนในสังคม

 

อีกอย่างหนึ่งก็คือการเสพสุรายาเมา คิดว่าถ้าไม่ดื่มสุราแล้วจะไม่เจริญก้าวหน้า จะเข้าสังคมไม่ได้  เพราะเวลามีงานเลี้ยง ต้องมีสุราให้ดื่ม ถ้าเราไม่ดื่มก็กลายเป็นเชยคนล้าสมัย ก็กลัวว่าต่อไปเขาจะไม่คบค้าสมาคมกับเรา  กลัวจะไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง   เพราะเป็นคนเชย เป็นคนล้าสมัย  นี้ก็เป็นความคิดที่ผิดเช่นเดียวกัน เพราะคนที่จะเลื่อนตำแหน่งให้กับเรา ไม่ได้ดูตรงที่ว่าเรากินเหล้าหรือไม่ เขาดูตรงที่ว่าเรามีความสามารถ มีความรู้มากน้อยเพียงไรต่างหาก เขาจะเห็นว่าการเสพสุรายาเมาเป็นส่วนลบ เพราะถ้าดื่มสุราเกินความสามารถที่จะประคับประคองจิตใจของตนเองได้ ก็จะกลายเป็นคนที่มีความประพฤติที่ไม่ดี สร้างความเสียหายให้กับผู้อื่น จะไม่ทำงานได้เต็มที่ เพราะเมื่อดื่มจนเมามากๆ   ก็จะนอนตื่นสายมาทำงานไม่ทันหรือมาไม่ได้ คนที่มีปัญญา มีความเห็นที่ถูกต้องแล้ว จะรู้ว่าคนที่เสพสุรายาเมาเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจ ไม่น่าส่งเสริม  ไม่เหมือนกับคนที่ไม่เสพสุรายาเมา ถึงแม้จะเข้าสังคมไม่เป็น ก็ไม่เสียหายอะไร  เพราะเรื่องของสังคมไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของการงาน ถ้าต้องเข้าสังคมก็ไม่จำเป็นต้องดื่มสุรา เพราะมีน้ำอย่างอื่นให้ดื่ม ดื่มน้ำเปล่าๆ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ก็ได้ ไม่มีกฎหมายบังคับให้ดื่มสุรา ถ้าไม่ดื่มสุราจะผิดกฎหมาย จะต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางแต่อย่างใด  แต่เป็นเพราะว่าเราไม่อยากจะให้คนอื่นมองว่า เราเป็นคนด้อยคนล้าสมัย   อยากจะให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนทันสมัย เป็นคนเก่ง ก็เลยต้องดื่ม   นี้ก็เป็นความเห็นผิดที่เราจะไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม  ไม่ได้ศึกษาจากคนที่ฉลาด คนที่รู้ เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ที่อยู่ห่างไกลจากพวกอบายมุขเหล่านี้

 

ห่างจากการเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน  เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตรและความเกียจคร้าน  เพราะเห็นด้วยเหตุด้วยผลแล้วว่า มีแต่จะฉุดลากให้ลงไปสู่ที่ต่ำ ไม่ได้สริมสร้างรายได้ มีแต่เสริมสร้างรายจ่าย ทำลายทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ให้หมดไป ถ้าไม่สามารถหามาใหม่ด้วยความสุจริต  ก็ต้องหามาด้วยการทุจริตต่างๆ ไปฉ้อโกง ไปลักไปขโมย ไปโกหกหลอกลวง ไปฆ่าผู้อื่น เพื่อจะได้มีเงินมาใช้กับอบายมุขต่างๆ   พระพุทธเจ้าทรงเห็นอย่างแจ้งชัดแล้วว่า เป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ควร  คนที่เกี่ยวข้องกับอบายมุข ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นคนที่มีมิจฉาทิฐิ มีความเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกลับตาลปัตร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ขาดปัญญา ถูกความหลงครอบงำจิตใจ ดังนั้นถ้าเรากำลังเกี่ยวข้องกับอบายมุขต่างๆ ขอให้เตือนตัวเองว่าเรากำลังหลงทาง กำลังเดินผิดทาง ไม่ได้ไปสู่ความสุขความเจริญ แต่กำลังเดินเข้าสู่กองทุกข์ สู่ความเสื่อมเสีย ควรรีบถอยออกมา  ถ้าเสพสุรายาเมาก็พยายามเลิกเสีย  ถ้าเล่นการพนันก็พยายามเลิกเล่น  ถ้าชอบเที่ยวกลางคืนก็พยายามเลิกเที่ยว  ถ้าชอบคบคนชั่วเป็นมิตรก็พยายามเลิกคบ  คนชั่วก็คือคนที่ชอบเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน ชอบเที่ยวกลางคืนฯลฯ เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบค้าสมาคมด้วย  เพราะจะชวนไปทำแต่สิ่งเหล่านี้  ท่านสอนให้คบคนดี คบบัณฑิต ที่จะพาเราไปสู่ความสุขและความเจริญ  บัณฑิตก็คือคนที่มีสัมมาทิฐิ มีความเห็นชอบ เห็นว่าอบายมุขจะพาไปสู่ความเสื่อมเสีย บัณฑิตทั้งหลายเช่นพระพุทธเจ้า พระอรหันตสาวก จะไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขเลย จะไม่เสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร และไม่มีความเกียจคร้าน นี้คือสัญลักษณ์ของบัณฑิต

 

บัณฑิตจะขยันหมั่นเพียรทำงานทำการ ศึกษาหาความรู้อยู่เรื่อยๆ  แม้จะมีอายุมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังต้องศึกษาอยู่เรื่อยๆ   เพราะการศึกษาของชีวิตจะสิ้นสุดได้ก็ต่อเมื่อจิตได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ถ้ายังไม่ได้บรรลุก็ถือว่ายังไม่ฉลาดพอ ยังไม่ได้เป็นบัณฑิต ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพราะยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของความหลง ของความเห็นผิดอยู่ จะมากจะน้อยเท่านั้นเอง ถ้าได้ศึกษาธรรมะมากๆ ความเห็นผิดเป็นชอบก็จะน้อยลงไปตามลำดับ และหมดไปในที่สุด ถ้ายังไม่หมดก็ต้องศึกษาไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้ทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นความรู้ที่แท้จริง ที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ที่จะพาให้เราไปสู่ความสุขและความเจริญอย่างแท้จริง  เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ความรู้อย่างอื่นในโลกก็เพียงแต่ช่วยให้ทำมาหากินได้ดีขึ้น ได้เงินทองมากขึ้น ถ้าเรียนจบปริญญาตรีแล้วไปเรียนต่อปริญญาโท  ปริญญาเอก เวลาไปหางานทำก็จะได้งานที่ดีกว่าเก่า เพราะทางโลกยอมรับว่ามีความรู้มากขึ้น สามารถทำประโยชน์ได้มากกว่าคนที่เรียนจบปริญญาตรี  ก็ยินดีที่จะจ้างในเงินเดือนที่สูงขึ้นกว่าเดิม  แต่ก็ได้เพียงเท่านั้น เพราะความรู้ทางโลกนี้ ต่อให้รู้มากเท่าไร ก็เป็นความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด จะเรียนจนจบปริญญาเอกก็ตามแต่ ก็ยังไม่สามารถกำจัดความทุกข์ให้หมดไปจากจิตจากใจได้ ไม่สามารถกำจัดโมหะความหลง  มิจฉาทิฐิความเห็นผิดเป็นชอบได้ คนที่จบปริญญาเอกจึงกินเหล้าเมายา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน แล้วก็ไปทำผิดศีลผิดธรรม ไปทำการทุจริตต่างๆ ไปติดคุกติดตะราง ถูกจำคุกตลอดชีวิต ถูกประหารชีวิตไปเลยก็มี

 

เพราะความรู้ทางโลกเป็นเพียงความรู้ทางวิชาชีพเท่านั้นเอง  ให้รู้จักวิธีทำมาหากิน แต่ไม่ได้สอนให้ทำมาหากินด้วยวิธีใด ไม่ได้สอนวิธีที่ทำแล้วไม่เกิดความทุกข์ เกิดความวุ่นวายใจขึ้นมา เพียงแต่สอนวิธีหาเงินหาทองเท่านั้นเอง ถ้าเป็นธรรมะแล้วจะสอนวิธีหาเงินหาทองที่ถูกต้อง แบบไม่วุ่นวายใจ  ไม่ทุกข์ใจ ไม่เศร้าโศกเสียใจ ด้วยสัมมาชีพ ไม่ผิดศีล ผิดธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปดมดเท็จ ไม่เสพสุรายาเมา ให้หาแบบนี้ หาด้วยปัญญา  รู้ว่าสิ่งที่หามาได้นี้ไม่จีรังถาวร  ไม่อยู่กับเราไปตลอด ไม่แน่นอน ได้มาวันนี้พรุ่งนี้อาจจะสูญไปก็ได้ จึงต้องมีปัญญาเพื่อจะได้ไม่หลงยึดติด ไม่มีอุปาทาน เตรียมใจไว้เสมอว่าสักวันหนึ่งจะต้องเสียไป จะต้องหมดไป จะหมดไปอย่างไร เสียไปเมื่อไร ไม่มีใครรู้  เวลาได้เงินได้ทองมาจะได้ไม่หลงดีอกดีใจ ว่าจะอยู่กับเราไปตลอด   อาจจะหมดไปในวันใดวันหนึ่งก็ได้ จะไม่ประมาทยึดติดกับเงินทอง อาศัยเงินทองเป็นเครื่องให้ความสุข  คนฉลาดแล้วจะไม่ใช้เงินทองซื้อความสุข เพียงแต่อาศัยดูแลรักษาอัตภาพชีวิตร่างกาย เพื่อจะได้ไปทำความดี  ไปทำบุญทำกุศล ไปช่วยเหลือผู้อื่น สะสมคุณงามความดีไว้ต่อสู้ ไว้กำจัดสิ่งที่ไม่ดีที่มีอยู่ในใจ สร้างสัมมาทิฐิความเห็นที่ถูกต้องให้เกิดขึ้น เพื่อทำลายความเห็นผิดเป็นชอบ นี่คืองานที่แท้จริงของพวกเรา คือการสร้างความดี สร้างบุญสร้างกุศล สร้างธรรมะ สร้างปัญญา สร้างสัมมาทิฐิ  เพื่อทำลายกำจัดความไม่ดี ทำลายบาป ทำลายอกุศล ทำลายมิจฉาทิฐิ ทำลายความหลงให้หมดสิ้นไป นี่คืองานของพวกเรา เพราะถ้าทำจนสำเร็จแล้ว จะได้รับรางวัลที่ไม่มีอะไรในโลกนี้สามารถให้กับเราได้  คือความพ้นทุกข์ เราจะอยู่เหนือความทุกข์ทั้งปวง 

 

คนอื่นจะร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ อาลัยอาวรณ์กับเรื่องอะไรก็ตาม  แต่เราจะรู้สึกเฉยๆ  ไม่เดือดร้อนเลย เวลาเสียอะไรไป แม้จะเสียคนรักไป เสียชีวิตของเราไป จะไม่รู้สึกเศร้าโศกเสียใจ กระวนกระวายใจ ทุกข์ใจเลย เพราะมีบุญ มีกุศล มีธรรมะ มีปัญญาไว้กำจัดความทุกข์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากบาป จากอกุศล จากความเห็นผิดเป็นชอบ จากความหลง นี่คือสิ่งที่เราจะได้รับ ถ้าบำเพ็ญตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อย่างที่พวกเราทั้งหลายได้มาบำเพ็ญกันในวันนี้ เรากำลังเติมบุญเติมกุศล เติมธรรมะ เติมปัญญา เติมสัมมาทิฐิ  เพื่อพาเราไปสู่ความสุข ความเจริญ ความพ้นทุกข์  ขอให้พวกเรามีความแน่วแน่มั่นใจ ในการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ท้อถอย อย่างน้อยต้องฟังเทศน์ฟังธรรมอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ทำบุญอาทิตย์ละ  ๑ ครั้ง ถ้าทำได้มากกว่านั้นได้ยิ่งดี อย่างน้อยก็คืออาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ควรจะทำมากขึ้นไปกว่านั้น ถ้าทำได้ทุกวันเลยยิ่งดีใหญ่ หรือทำทุกลมหายใจเข้าออกเลย เราอาจจะคิดว่าทำได้อย่างไรทุกลมหายใจเข้าออก ก็คือการระลึกถึงความตายนี้เอง  ระลึกถึงการดับของสิ่งต่างๆ ที่เราทำได้ทุกลมหายใจเข้าออก ดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ ให้ระลึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก เพราะถ้าระลึกแล้วจะได้ไม่ประมาท ไม่หลงยึดติดกับสิ่งต่างๆในโลกนี้ จะทำให้มีแต่ความขยัน ที่จะทำแต่ความดี สะสมบุญ สะสมกุศล สร้างปัญญา สร้างความเห็นชอบให้กับจิตใจของเรา  เมื่อทำได้อย่างนี้แล้ว รับรองได้ว่าการหลุดพ้นจากความทุกข์ จะไม่ห่างไกลจากเราเลย จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี้เอง  จึงขอให้ท่านทั้งหลายนำเรื่องราวที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ไปปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่แท้จริงที่จะตามมาต่อไป  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้