กัณฑ์ที่ ๓๐๑       ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐

 

 

ธรรมไม่ได้อยู่ที่อินเดีย

 

 

 

พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนอันประเสริฐ ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์ประกอบสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือหัวใจของพระพุทธศาสนาก็คือ พระรัตนตรัย  พระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์  ความเป็นมาของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน  การเกิดขึ้นของพระรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะเป็นองค์แรกที่อุบัติขึ้นมาก่อน เกิดขึ้นจากการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ซึ่งเดิมทีทรงเป็นเจ้าชายสิทธัตถะราชกุมาร หลังจากมีพระชนมายุ ๒๙ พรรษา ก็ทรงเสด็จออกผนวชและทรงบำเพ็ญเพียรอยู่  ๖ ปีด้วยกัน จนถึงวันเพ็ญเดือน ๖   ก็ได้ทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทรงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง  หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  จึงปรากฏเป็นพระพุทธรัตนะขึ้นมา แต่เป็นพระพุทธรัตนะที่ยังไม่ได้ประกาศพระธรรมให้สัตว์โลกได้รู้จัก ยังอยู่ในพระทัยของพระพุทธเจ้าอีกประมาณ  ๒ เดือน จนถึงวันเพ็ญเดือน ๘  วันอาสาฬหบูชา ที่พระธรรมรัตนะ  พระสังฆรัตนะ จึงได้ปรากฏขึ้นมา คือพระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระธรรมคำสอนเป็นครั้งแรกในวันนั้น แก่พระปัญจวัคคีย์ที่มีอยู่  ๕ รูปด้วยกัน  หลังจากที่ได้ทรงแสดงธรรม หนึ่งในพระปัญจวัคคีย์ คือ พระอัญญาโกณฑัญญะ ก็ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน มีดวงตาเห็นธรรม เป็นพระอริยสงฆ์องค์แรก    วันนั้นจึงปรากฏมีพระรัตนตรัยพร้อมบริบูรณ์ มีพระพุทธรัตนะ           พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ถ้าไม่มีพระรัตนะทั้ง  ๓  องค์นี้แล้ว ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนา ถึงแม้พระพุทธเจ้าจะได้ทรงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณก็ตาม แต่ถ้าไม่ทรงประกาศพระธรรมคำสอนให้แก่สัตว์โลก  ก็จะไม่มีการปรากฏขึ้นมา ของพระธรรมรัตนะและพระสังฆรัตนะ  เมื่อไม่มีพระรัตนตรัยครบทั้ง ๓ องค์  พระพุทธศาสนาก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาในโลกนี้ได้ เหมือนที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้

 

เพราะการจะมีพระพุทธศาสนาได้ ต้องมีพระรัตนตรัยครบทั้ง ๓ องค์ด้วยกัน มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรมเป็นองค์แรก แล้วนำพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้   มาสั่งสอนให้กับสัตว์โลก  เมื่อผู้ฟังมีจิตศรัทธาน้อมเอาไปปฏิบัติ ก็จะบรรลุเป็นพระอริยสงฆ์เป็นขั้นๆไป ซึ่งมีอยู่  ๔   ขั้นด้วยกันคือ ๑. พระโสดาบัน  ๒. พระสกิทาคามี  ๓. พระอนาคามี  ๔. พระอรหันต์ พระอริยสงฆ์เป็นได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย ทั้งนักบวชและฆราวาส เพราะพระอริยสงฆ์ไม่ได้หมายถึง ผู้ที่บวชนุ่งห่มเหลืองโกนศีรษะ  แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่เรียกว่าสุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ผู้ใดก็ตามไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ฆราวาสหรือนักบวช  เด็กหรือผู้ใหญ่  ถ้ามีสติปัญญา ความพากเพียร ความสามารถ ที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ก็จะสามารถบรรลุเป็นพระอริยสงฆ์ได้ด้วยกันทั้งนั้น เป็นสังฆรัตนะได้ ในสมัยพระพุทธกาลจึงมีพระอริยะอยู่ทุกเพศทุกวัย  นักบวชก็มี ฆราวาสก็มี สามเณรก็มี เพราะจิตใจไม่ได้มีอายุเหมือนกับร่างกาย  จิตใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย  เมื่อได้บำเพ็ญบุญบารมีสะสมบุญบารมี เวลาตายจากชาตินี้ไปเกิดชาติหน้า บุญบารมีต่างๆที่ได้สะสมไว้ ก็ไม่ได้สูญหายไปไหน แต่ติดไปกับใจ ถ้าได้สะสมบุญบารมีไว้มาก  สะสมปัญญาไว้มาก เวลาไปเกิดชาติต่อไป ก็จะมีบารมีมาก มีปัญญามาก บางคนเป็นเพียงเด็ก แต่หลังจากที่ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็สามารถบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะใจได้สะสมปัญญาบารมี และบารมีอย่างอื่นมาอย่างมากมาย พร้อมที่จะแสดงผล คือพร้อมที่จะเป็นพระอริยบุคคลนั่นเอง 

 

พระอริยสงฆ์จึงไม่เป็นเฉพาะนักบวช ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร แต่อยู่ที่การปฏิบัติ ๔ ประการที่ทรงตรัสไว้ก็คือ สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ ปฏิบัติถูกต้องตามหลักพระธรรมคำสอน   ถ้าปฏิบัติอย่างนี้แล้วก็จะสามารถบรรลุเป็นพระอริยสงฆ์ได้ ไม่ขึ้นกับกาลกับเวลา ไม่ได้หมายความว่าจะบรรลุได้เพียงแต่ในสมัย ที่มีพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอยู่เท่านั้น  ในสมัยนี้ก็สามารถบรรลุได้  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ ไม่จำเป็นต้องไปประเทศอินเดีย เพื่อบรรลุธรรม เพราะธรรมไม่ได้อยู่ที่ประเทศอินเดีย ธรรมอยู่ที่ผู้สั่งสอน ที่ไหนมีการสั่งสอนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วมีผู้ฟังที่มีจิตศรัทธาน้อมเอาไปปฏิบัติ ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้อย่างแน่นอน นี่คือพระรัตนตรัย ที่พวกเราทั้งหลายยึดเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง คือพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ  พระสังฆรัตนะ   พระพุทธรัตนะก็ได้เสด็จดับขันธปรินิพานไปแล้ว   มีองค์พระปฏิมาเป็นองค์แทน ให้เราได้กราบไหว้บูชา แต่เรายังมีพระธรรมรัตนะ  คือมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีพระสังฆรัตนะ คือพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทำหน้าที่สืบทอดพระศาสนาแทนพระพุทธเจ้า เป็นผู้ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ  แล้วก็นำเอาสิ่งที่ตนได้บรรลุได้รู้มาสั่งสอนให้แก่ผู้อื่นต่อไป  เราจึงยังไม่ขาดพระรัตนตรัย เรายังมีพระธรรมรัตนะและพระสังฆรัตนะเป็นผู้ทำหน้าที่แทนพระพุทธรัตนะ

 

ความจริงแล้วพระรัตนตรัยไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่อยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติ ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ จนมีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ก็จะมีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะปรากฏขึ้นในจิตใจของตน เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนมีดวงตาเห็นธรรม คือผู้เห็นเราตถาคต ถ้าปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระอริยสงฆ์ มีดวงตาเห็นธรรมแล้ว ก็จะเห็นพระพุทธเจ้าในใจของตน  จะรู้ว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร จะรู้ว่าพระธรรมเป็นอย่างไร จะรู้ว่าพระสงฆ์เป็นอย่างไร เพราะเมื่อมีดวงตาเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นธรรมอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เห็น และจะเห็นพระพุทธเจ้าด้วย เพราะพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดเห็นตถาคตผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ที่จะเห็นพระพุทธเจ้าเห็นธรรมได้ ก็คือพระอริยสงฆ์นั่นเอง ดังนั้นผู้น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ จนมีดวงตาเห็นธรรม ก็จะมีพระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะอยู่ภายในใจของตนมีที่พึ่งที่ทำให้ตนหลุดพ้นจากความทุกข์ ไม่ต้องทุกข์กับเรื่องต่างๆอีกต่อไป เหมือนกับปุถุชนธรรมดาอย่างเราอย่างท่าน ที่ยังทุกข์ ยังกังวล  ยังวุ่นวาย ยังเศร้าโศกเสียใจกับเรื่องต่างๆ ที่สัมผัสพบเห็น เวลาสูญเสียสิ่งที่รัก ก็เศร้าโศกเสียใจ เวลาที่ยังไม่สูญเสีย ก็มีความกังวลห่วงใย เพราะไม่มีดวงตาเห็นธรรม ไม่มีปัญญา มีความมืดบอดครอบงำอยู่ จึงทำให้ไม่เห็นไตรลักษณ์ คือคุณลักษณะที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นวัตถุข้าวของต่างๆ  ล้วนมีไตรลักษณ์ทั้งนั้นคือ

 

. ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่จีรังถาวร มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  ๒. เป็นทุกข์ถ้าไปหลงยึดติดไปอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆ  ไม่เป็นไปตามความอยาก ตามความต้องการของใครทั้งสิ้นแต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย มีเหตุให้เกิดก็เกิด เมื่อเหตุให้อยู่ไม่มีก็ดับไป เหมือนกับไฟถ้าเอาฟืนใส่เข้าไปในกองไฟเรื่อยๆ ไฟก็จะติดอยู่เรื่อยๆ  ถ้าไม่ใส่ฟืนเข้าไป เมื่อฟืนที่มีอยู่ในกองไฟถูกเผาไหม้หมดไป ไฟก็ต้องดับไป นี้คือเหตุและผล  ฉันใดสิ่งต่างๆในโลกนี้ ที่มีปรากฏขึ้นมาให้เห็น ให้ได้สัมผัส ให้มีไว้ครอบครอง ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีเหตุปัจจัยทำให้ปรากฏขึ้นมาให้อยู่ก็จะอยู่ เมื่อเหตุที่ทำให้อยู่หมดไปแล้วก็จะไม่อยู่  เช่นตายไปเป็นต้น คนเราทุกคนเกิดมาแล้วต้องตายด้วยกันทั้งนั้น ถ้าไปหลงไปยึดไปติด อยากจะให้อยู่ไปเรื่อยๆ ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายก็จะต้องทุกข์ จะต้องวุ่นวายใจ  นี้คือลักษณะที่ ๒  คือความทุกข์ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง ประการที่ ๓ ก็คือไม่มีตัวตนในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของวัตถุต่างๆหรือบุคคล เช่นสัตว์หรือมนุษย์ก็ไม่มีตัวตนเช่นเดียวกัน แต่ใจที่ไม่มีปัญญา ที่ยังมีความหลงครอบงำอยู่ จะเห็นว่าร่างกายเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวเรา เป็นของเรา  แต่ผู้ที่มีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญา เช่นพระพุทธเจ้า จะเห็นว่าไม่เป็นตัวเป็นตน เป็นเพียงธาตุ ๔  ดินน้ำลมไฟเท่านั้นเอง ที่เกิดขึ้นจากอาหารที่รับประทานเข้าไป อาหารก็เป็นธาตุ ๔  ดินน้ำลมไฟ  เช่นข้าวก็ต้องมีดินมีน้ำมีลมมีไฟถึงจะเจริญเติบโตได้  ต้นไม้ผักผลไม้ต่างๆก็เช่นเดียวกัน ส่วนสัตว์ต่างๆ เช่นปูปลาหมูวัวควายก็ต้องกินผักกินข้าว ถึงจะเป็นรูปเป็นร่างได้  ก็มาจากดินน้ำลมไฟเช่นเดียวกัน  เมื่อร่างกายรับประทานอาหารผักผลไม้เนื้อสัตว์ต่างๆเข้าไป ก็เปลี่ยนเป็นผมเป็นขนเป็นเล็บเป็นฟันเป็นหนังเป็นเนื้อเป็นเอ็นเป็นกระดูกฯลฯ แล้วก็อยู่ไประยะหนึ่ง  เมื่อถึงเวลาที่ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ แตกสามัคคีกัน ธาตุทั้ง ๔ ไม่ยอมอยู่ร่วมกันแล้ว  ก็จะแยกออกจากกัน

 

ร่างกายก็ไม่สามารถอยู่ต่อไปได้  ก็กลายเป็นร่างของคนตายไป ทิ้งเอาไว้น้ำก็จะไหลออกมา ลมก็จะไหลออกมา ไฟก็จะไหลออกมา จนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก เหี่ยวแห้งกลายเป็นดินไปในที่สุด นี้คือความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่มีตัวตนในสิ่งต่างๆ ในวัตถุต่างๆ ที่เราก็รู้เราก็เห็นว่าไม่มีตัวตน  ฉันใดร่างกายเราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่มีตัวตนเช่นเดียวกัน  มีใจมาครอบครองเป็นเจ้าของเท่านั้น แล้วก็สั่งให้ร่างกายทำอะไรต่างๆ  มีความหลงพาให้คิดว่าร่างกายเป็นตัวตน เป็นตัวเรา เป็นของเรา  เมื่อมีความคิดอย่างนี้ก็มีความยึดติด มีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น แล้วก็มีความอยาก อยากให้ร่างกายอยู่ไปนานๆ โดยไม่คำนึงถึงความจริง ว่าร่างกายเป็นอนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง อยู่ไปตลอดไม่ได้  เมื่อเกิดความอยากก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา เพราะไม่สามารถทำให้ร่างกายอยู่ไปได้ตลอด  นี้คือไตรลักษณ์ที่มีอยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นอนิจจังไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน  ถ้าน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาปฏิบัติ พิจารณาให้เห็นตลอดเวลา ว่าไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรให้ความสุขกับเราได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความทุกข์ทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา ก็จะปล่อยวางได้ จิตก็จะมีแต่ความสุข  หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง เพราะเมื่อปล่อยวางแล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ก็จะไม่เดือดร้อน ไม่เสียอกเสียใจ ไม่ทุกข์วุ่นวายใจกับสิ่งที่ได้ปล่อยวางแล้ว แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ปล่อยวาง ที่ยังยึดยังติด ยังหลง ยังคิดว่าเป็นของเรา เป็นตัวเรา ให้ความสุขกับเรา ก็จะต้องทุกข์กับสิ่งนั้น เวลาเปลี่ยนแปลงไป เช่นเวลาร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาหรือใกล้จะตาย ถ้ายังไม่ได้ปล่อยวาง ก็จะต้องทุกข์วุ่นวายใจเป็นอย่างมาก  แต่ถ้าปล่อยวางได้แล้วจะรู้สึกเฉยๆ เป็นเหมือนร่างกายของคนอื่น ที่เวลาเป็นอะไรเราจะไม่ทุกข์ไม่วุ่นวายใจด้วย เพราะไม่ได้ไปยึดไปติดนั่นเอง

 

แต่ถ้าไปยึดไปติด  เช่นร่างกายของสามีของภรรยา ของพ่อของแม่ของลูก  ถ้าไปยึดติดก็อยากให้เขาอยู่นานๆ  เวลาเขาเป็นอะไรไป เราก็จะวุ่นวายใจ ปัญหาของเราจึงอยู่ที่ความหลงนี่เอง ไม่รู้ว่าร่างกายเป็นเพียงดินน้ำลมไฟ เป็นเหมือนต้นไม้ต้นหนึ่ง อยู่ไปไม่ได้ตลอด อยู่ได้สักระยะหนึ่งแล้วก็จะต้องแตกดับไป คนที่รู้อย่างนี้เป็นผู้มีดวงตาเห็นธรรม  เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มีการเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นของเรา จิตเป็นเพียงผู้ครอบครอง แล้วก็ไปหลงว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นสิ่งที่ให้ความทุกข์กับเรา ถ้าไปยึดไปติด ไม่ปล่อยวาง แต่คนที่เห็นด้วยปัญญาจะปล่อยวาง ปล่อยให้เป็นไปตามความเป็นจริง ไม่ได้อยากให้เป็นอย่างอื่น  เมื่อถึงเวลาแก่ก็ยอมรับความจริงว่าเป็นธรรมดา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยอมรับว่าเป็นธรรมดา เวลาตายก็ยอมรับความจริงว่าจะต้องตาย จะรู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อนอะไร เพราะมองเห็นร่างกายนี้เหมือนกับร่างกายของคนอื่น ร่างกายของคนอื่นเวลาเป็นอะไรไปเราไม่เดือดร้อนฉันใด ร่างกายนี้เราก็จะไม่เดือดร้อนเช่นเดียวกัน เพราะมองเห็นด้วยปัญญาแล้วว่า ไม่จีรังถาวร ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา  ไม่อยู่กับเราไปตลอด เพราะถ้าไปอยากก็จะเกิดความทุกข์ขึ้นมา  เมื่อเห็นอย่างนี้แล้วก็ต้องปล่อย เพราะปล่อยแล้วจะได้ไม่ทุกข์นั่นเอง ถ้าไม่ปล่อยจะทุกข์จะทรมานจิตใจ ไม่มีใครจะช่วยดับทุกข์ที่มีอยู่ในใจของเราได้  นอกจากตัวเราเองเท่านั้น คือ เราต้องปล่อยวางให้ได้ พยายามมองร่างกายของเราเหมือนกับร่างกายของคนอื่น จะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไป ถ้าดูแลรักษาได้ก็ดูแลไป รักษาไป   แต่ถ้าถึงเวลาที่ทำอะไรไม่ได้ ก็ต้องปล่อยให้เป็นไป

 

เพราะคนเราทุกคนไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกัน ต่างกันตรงที่ว่า จะแก่จะเจ็บจะตายอย่างมีความทุกข์มากหรือไม่มีความทุกข์เลย   เราสามารถเลือกได้ จะทุกข์กับร่างกายก็ได้ จะไม่ทุกข์ก็ได้  ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ต้องคอยสอนใจให้ปล่อย เตือนสติอยู่เรื่อยๆว่าเดี๋ยวเราต้องแก่แล้วนะ เดี๋ยวเราต้องเจ็บไข้ได้ป่วยแล้วนะ เดี๋ยวเราต้องตายแล้วนะ  คอยเตือนคอยสอนใจอยู่เรื่อยๆ แล้วจะไม่กล้าไปยึดไปถือว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา จะไม่กล้าไปอยากให้อยู่ไปนานๆ  ไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เมื่อไม่มีความอยาก ไม่มีความหลง ไม่มีอุปาทานแล้ว เวลาร่างกายเป็นอะไรไป เราจะรู้สึกเฉยๆ รับรองได้ พวกเราทุกคนสามารถทำกันได้ ถ้าหมั่นคิดหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่พิจารณาความหลงก็จะครอบงำจิตใจ  ความอยากไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตายก็จะครอบงำจิตใจ ความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเราก็จะเข้าครอบงำจิตใจ เวลาเกิดความแก่ความเจ็บความตายขึ้นมาก็จะร้องห่มร้องไห้ เศร้าโศกเสียใจ วุ่นวายใจ  นี้คือสิ่งที่พวกเราต้องทำกันเอง ไม่มีใครทำให้เราได้ พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆสาวกเป็นเพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น  เป็นผู้บอกวิธีแก้ความทุกข์ให้กับเรา เพื่อเราจะได้อยู่ในโลกนี้อย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องวุ่นวายกับเรื่องราวต่างๆ  ถ้ารู้จักปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีอยู่ มีไว้ใช้ประโยชน์  มีไว้ดูแลรักษา แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อยึดติด  อยากให้อยู่กับเราไปตลอด  อย่างวันนี้ญาติโยมก็ได้มาฝึกปล่อยวางกัน มาปล่อยวางเวลาอันมีค่า  ปล่อยวางเงินทอง เอาเงินทองไปซื้อข้าวของมาถวายพระ ญาติโยมก็ไม่รู้สึกเสียอกเสียใจ เสียดายเงินทองที่เสียไป เพราะปล่อยวางเงินทองก้อนนั้นแล้ว   ถ้ายังไม่ได้ปล่อยวาง ยังหวงเงินก้อนนั้นอยู่ ก็จะไม่สามารถเอาไปซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระได้

 

ถ้าฝึกปล่อยวางอย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้ว ต่อไปถ้ามีขโมยมาลักเงินลักทองของเราไป เราจะไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่เสียดาย กลับคิดว่าเป็นเหมือนได้ทำบุญไปในตัว  เพราะใครเอาไปก็ได้รับประโยชน์มีความสุข เราก็มีความพอใจ เพราะชอบทำบุญเป็นปกติอยู่แล้ว ไม่ยึดไม่ติดกับเงินทอง ต่างกับคนที่ไม่รู้จักให้   ไม่รู้จักปล่อยวางเงินทอง เวลาเงินหายไปเพียง  ๕ บาท  ๑๐ บาทก็วุ่นวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เสียดาย โกรธแค้น เกิดความทุกข์ขึ้นมา เสีย ๒ ต่อ เสียเงินเสียทองแล้วยังต้องมาเสียใจมาเจ็บใจอีก  แต่คนที่รู้จักปล่อยวางเงินทอง ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆ เวลาเสียเงินเสียทองไป จะได้กำไร เพราะจะไม่เสียใจ กลับรู้สึกสบายใจว่าหมดปัญหาไป เงินก้อนนั้นถ้าอยู่กับเรา ก็ต้องคอยดูแลรักษา เมื่อถูกขโมยไปแล้วก็หมดภาระไป ไม่ต้องมาห่วงมาดูแล มาคิดว่าจะเอาไปทำอะไร เราได้กำไร ได้ทำบุญ ได้ปล่อยวาง เรากลับมีความสุข  เวลาสูญเสียอะไรไป เราจะมีความสุขมากขึ้น เพราะสิ่งต่างๆที่เรามีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือเป็นบุคคล ล้วนเป็นภาระทางด้านจิตใจทั้งนั้น มีอะไรก็ต้องคอยดูแลรักษา เป็นห่วงเป็นภาระเป็นความกังวล แต่เมื่อไม่อยู่กับเราแล้ว เราก็สบายใจ เช่นมีรถเราก็ต้องคอยดูแลรักษารถ  ต้องคอยห่วงเวลาจอดจะถูกใครมาทำอะไรหรือเปล่า จะขโมยไปหรือเปล่า พอถูกขโมยไปก็หมดภาระไป เราก็สบายใจ ไม่ต้องดูแลอีกต่อไป 

 

ถ้ารู้จักปล่อยวางแล้ว เวลาสูญเสียอะไรไป จะรู้สึกเฉยๆ   ไม่เสียอกเสียใจ ไม่เสียดาย ไม่เสีย ๒ ต่อ การที่จะปล่อยวางได้ ก็ต้องสอนใจอยู่ตลอดเวลาว่า ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นตัวเราของเรา ถ้าไปหลงไปยึดไปติดก็จะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา  ให้ท่องคาถานี้ไว้ตลอดเวลา สอนใจเรา แล้วเราจะไม่กล้าไปยึดไปติดกับอะไร จะไม่กล้าไปอยากให้อะไรเป็นไปตามใจของเรา จะยอมรับสภาพความเป็นจริงอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป แต่ใจของเราจะไม่วุ่นวาย กับการเกิดการดับของสิ่งต่างๆ นี้คือความสุขที่แท้จริงที่จะเกิดขึ้นในใจ  ที่ถูกปลดเปลื้องจากความทุกข์  ความวุ่นวายใจ  ความเศร้าโศกเสียใจ ความอาลัยอาวรณ์ต่างๆ จะไม่มีอยู่ในใจของผู้มีดวงตาเห็นธรรม มีปัญญา จะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อเราน้อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้ามาปฏิบัติ  ปฏิบัติอย่างสุปฏิปันโน อุชุฯ ญายะฯ สามีจิฯ ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง อย่างสม่ำเสมอ รับรองได้ว่าไม่ช้าก็เร็ว พวกเราทุกคนจะมีดวงตาเห็นธรรมกัน จะมีที่พึ่งในจิตในใจ จะไม่ทุกข์วุ่นวายกับอะไรอีกต่อไป  ขอให้ท่านทั้งหลายให้ความสำคัญแก่การเข้าหาพระรัตนตรัย ด้วยการมาวัดอยู่เรื่อยๆ มาทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ฟังเทศน์ฟังธรรมกันเพราะนี่คือวิธีสร้างพระรัตนตรัยให้ปรากฏขึ้นมาในจิตในใจ เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งของเรานั่นเอง การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้