กัณฑ์ที่ ๓๐๓       ๔ มีนาคม ๒๕๕๐

 

แข่งกับเวลา

 

 

 

ภารกิจที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมอบให้พวกเราบำเพ็ญปฏิบัติกันคือ ทำความดีทั้งหลายให้ถึงพร้อม  ละการกระทำบาปทั้งปวง  ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความโลภ  ความโกรธ  ความหลง เพราะเป็นทางเดียวเท่านั้น ที่จะพาให้เราไปสู่ความสุขความเจริญความก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง ไม่มีทางอื่นที่จะพาเราไปได้ ไม่มีสิ่งอื่นจะพาเราไปได้นอกจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เท่านั้น เราจึงควรรีบขวนขวายกัน เพราะเป็นการแข่งกับเวลา เวลาของเรามีน้อย เวลาของพระพุทธศาสนาก็มีน้อยเช่นเดียวกัน   อายุของพวกเรามีไม่เกิน ๑๐๐ ปีเป็นอย่างมาก อายุของพระพุทธศาสนาก็ไม่เกิน ๕,๐๐๐ ปี หลังจากนั้นโลกก็จะว่างจากศาสนา  ว่างจากพระธรรมคำสอน  จะไม่มีใครรู้เรื่องการทำความดี การละบาป การชำระจิตใจ ว่าเป็นหนทางที่จะนำพาไปสู่ความสุขความเจริญ ความประเสริฐ  โลกก็จะมืดเหมือนกับเวลาไม่มีแสงอาทิตย์ คือตอนกลางคืน ถ้าไม่มีแสงอย่างอื่นก็จะมองไม่เห็นอะไร ไม่สามารถทำอะไรได้ ใจของเราก็เป็นเหมือนกับโลก ต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรม ถ้าไม่มีใจก็จะถูกความมืดคือความหลง  ความเห็นผิดเป็นชอบครอบงำ  พาทำในสิ่งที่เสียหายเสื่อมเสีย เพราะความหลงจะทำให้โลภให้อยากในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ไม่ให้ความสุขอย่างแท้จริง ความหลงจะทำให้มองไม่เห็นถึงความเป็นอนิจจังทุกขังอนัตตาของสิ่งต่างๆ ที่เราอยากได้อยากสัมผัสกัน   ถ้ามีแสงสว่างแห่งธรรม มีปัญญา เราจะเห็นอนิจจังความไม่เที่ยง เห็นทุกขังความทุกข์ที่มีอยู่ในสิ่งต่างๆ เห็นอนัตตา ไม่มีตัวตน  ไม่มีเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง 

 

พระศาสนาจึงมีคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับผู้ปรารถนาการพ้นทุกข์ ผู้ที่จะหยุดการเวียนว่ายตายเกิด ต้องมีพระศาสนา มีแสงสว่างแห่งธรรมพาไป ถึงจะไปจุดที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ไปถึงกันได้ คือพระนิพพาน ที่ไม่มีการเกิด ไม่มีการดับ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีความทุกข์ มีแต่บรมสุข ปรมังสุขัง พวกเรามีบุญมีวาสนาที่ได้มาเกิดในสมัย ที่มีพระพุทธศาสนาปรากฏอยู่ในโลกนี้ เป็นแสงสว่างนำทาง ถ้าไม่มีพระพุทธศาสนา เราจะไม่รู้เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดของเรา    จะคิดกันว่าเกิดมาแล้ว พอตายไปก็จบกัน เพราะเห็นเพียงแต่ร่างกาย     ส่วนที่มองไม่เห็นก็คือดวงจิต ดวงใจ ดวงวิญญาณ ก็เลยไม่รู้ว่าเรามีดวงจิตดวงใจดวงวิญญาณที่จะไปเกิดใหม่อีก  ถ้าไม่มีศาสนามาสั่งสอน เราก็จะคิดว่าทำบุญทำบาปทำดีทำชั่ว ก็มีผลเพียงในชาตินี้เท่านั้น จะไม่มีผลตามมาต่อไปในชาติหน้า ก็จะทำให้เราประมาท    ไม่สนใจที่จะทำความดี เพราะการกระทำความดีของปุถุชนอย่างพวกเราเป็นสิ่งที่ยาก เพราะชอบทำไม่ดีจนติดเป็นนิสัย เวลาจะต้องทำดีก็เลยรู้สึกลำบากยากเย็นเหมือนกับถนัดมือขวาแล้วต้องมาใช้มือซ้าย จะไม่ถนัด จะลำบาก จะไม่อยากใช้มือซ้าย แต่ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ เช่นเวลามือขวาเกิดพิกลพิการไป ไม่สามารถใช้การได้ เหลือแต่มือซ้ายมือเดียว เราก็ต้องหัดใช้มือซ้ายจนชำนาญได้ บางคนไม่มีแขนก็ยังใช้เท้าแทนได้  ใช้เท้าวาดรูปสวยกว่าคนที่ใช้มือวาดเสียอีก เพราะร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือของใจเท่านั้น ผู้ที่ใช้ร่างกายใช้แขนใช้ขาคือใจ    ถ้าใจมีความสามารถอยู่แล้วก็จะใช้ได้ทั้งแขนทั้งขา  

 

เราจึงไม่ควรปล่อยให้ความยากลำบากในการทำความดี การละการกระทำบาป การชำระจิตใจ การกำจัดความโลภ ความโกรธ ความหลง มาเป็นอุปสรรคขวางกั้น ต่อการดำเนินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นอุปสรรคแล้ว จะไม่สามารถก้าวไปสู่จุด ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้ก้าวไปถึงได้ เราต้องดูพระพุทธเจ้า ดูพระสาวกเป็นตัวอย่าง ท่านก็เป็นเหมือนเรามาก่อน เป็นปุถุชนธรรมดาสามัญ ชอบทำบาปมากกว่าทำบุญ  ชอบทำสิ่งที่ไม่ดีมากกว่าทำความดี    แต่ท่านมีจิตสำนึกที่เห็นว่า การทำความดีมีคุณมีประโยชน์มากกว่าการทำบาป   ท่านก็เลยพยายามฝืนทำไป  เมื่อทำไปเรื่อยๆแล้วก็จะเป็นความชำนาญเป็นความถนัดไป ก็จะสามารถทำความดีไปได้ตลอด จะลำบากก็เพียงช่วงแรกๆ  เมื่อทำไปเรื่อยๆแล้วต่อไปจะถือเป็นเรื่องปกติ เช่นบางท่านที่ไม่เคยเข้าวัดมาก่อน เมื่อมีเพื่อนฝูงชวนเข้าวัด  ก็มาเรื่อยๆจนติดเป็นนิสัย ต่อไปไม่มีใครชวนก็จะมาเอง อยากจะมา เพราะมาแล้วได้รับความสุข  ได้รับความฉลาด ได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น เป็นสิ่งที่คนทั่วไปจะไม่รู้ไม่เห็นกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นเขาก็จะไม่พูดกัน จะพูดแต่เรื่องที่เขารู้กัน เป็นเรื่องที่ไม่เป็นความจริง  เพราะไม่เห็นความจริง  คิดว่าเป็นความจริง แต่ไม่ใช่ความจริง  เช่นรู้ว่าร่างกายเป็นตัวเราของเรา    ซึ่งตามหลักความจริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างนั้น ร่างกายไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง ก็เห็นกันอยู่ว่าเกิดมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วสักวันหนึ่งก็ต้องตายไป กลายเป็นดิน กลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป ไม่เป็นของใคร มาจากดินก็ต้องกลับคืนสู่ดินไป

 

คนทั่วไปจะไม่รู้ไม่เห็นกัน ก็จะไม่พูดกัน เมื่อไม่พูดก็ยิ่งทำให้ไม่รู้มากยิ่งขึ้นไปใหญ่ ทำให้หลงมากขึ้น คิดว่าร่างกายเป็นเราเป็นของเรา เมื่อหลงแล้วก็เกิดความยึดติด ยึดว่าร่างกายเป็นตัวเราจริงๆ  ของเราจริงๆ อยากจะให้อยู่กับเราไปตลอด    แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น  เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายจะต้องจากไป ใจก็ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ ทั้งๆที่ใจก็ไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกายเลย    เพราะใจไม่มีความรู้ที่ถูกต้องนั่นเองจึงเศร้าโศกเสียใจ ถ้าใจได้รับการศึกษา ได้ร่ำเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว จะรู้ว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา จะรู้ว่าเกิดมาแล้วสักวันหนึ่งก็ต้องแตกดับต้องตายไป เมื่อรู้อย่างนี้แล้วก็จะไม่หลง ไม่หลงยึดติด ไม่อยากให้อยู่ไปนานๆ ยินดีที่จะอยู่จนถึงวันสุดท้าย เมื่อถึงเวลาที่จะไปก็ปล่อยไป เพราะใจไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกาย ทำไมจะต้องมาเศร้าโศกเสียใจ มาวุ่นวายใจด้วย คนรู้แล้วจะเป็นอย่างนี้ เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย  ท่านรู้แล้วว่าร่างกายไม่ได้เป็นตัวท่าน ไม่ได้เป็นของท่าน เป็นเหมือนสมบัติยืมเขามา เวลาเรายืมของใครมา เราจะไม่ยึดติด จะไม่อยากเก็บไว้เป็นของเรา เมื่อใช้เสร็จแล้วก็เอาไปคืน เช่นเวลาเราไม่มีมีด เราก็ไปยืมมีดของเพื่อนมาใช้ พอใช้เสร็จแล้วเราก็เอาไปคืนเขา ไม่เสียอกเสียใจเสียดายอะไร เพราะรู้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าไม่ได้เป็นของเรา ก็เลยไม่หลงไม่อยากให้อยู่กับเราให้เป็นของเรา การมาวัดจึงทำให้เราได้ยินได้ฟังในสิ่งที่ตามปกติจะไม่ได้ยินได้ฟังกัน สิ่งที่ได้ยินได้ฟังจะเป็นความหลงทั้งนั้น หลอกให้ยึดให้ติดกับสิ่งนั้นสิ่งนี้ กับคนนั้นคนนี้  กับร่างกายนั้นร่างกายนี้ เมื่อยึดติดแล้วก็จะต้องวุ่นวายไปกับสิ่งที่ยึดติด เพราะไม่เที่ยงแท้แน่นอน เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีมามีไป มีได้มีเสีย มีเจริญมีเสื่อม 

 

เวลาได้มาก็ดีอกดีใจ  เวลาเจริญก็ดีอกดีใจ  เวลาเสื่อมไปเวลาจากไป ก็เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้  ไม่มีใครสอนไม่มีใครพูดถึงการปล่อยวางกันเลย ไม่มีใครพูดว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่กัน เป็นของชั่วคราวทั้งนั้น เป็นสมบัติชั่วคราว อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วก็ต้องจากกันไป    ถ้าทุกคนคุยเรื่องเหล่านี้กันแล้ว เชื่อได้ว่าจะอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข   จะไม่มีใครโลภอยากได้อะไรมากเกินความจำเป็น พอมีพอกินก็ถือว่าดีแล้ว จะไม่เอาอะไรมากมาย เป็นหมื่นล้านเป็นแสนล้าน เอาไปทำไม  ไม่นานก็ต้องจากมันไป กลายเป็นของคนอื่นไป ถ้าได้ยินได้ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ แล้วจิตใจจะปล่อยวาง ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ จะไม่หวง จะไม่ตระหนี่  มีอะไรพอช่วยเหลือกันได้ แบ่งปันให้กันได้ ก็ยินดี ไม่อยากจะเก็บเอาไว้เป็นภาระทางจิตใจ ถ้าเก็บเอาไว้ก็ยังหวงยังตระหนี่อยู่ นอกจากเก็บไว้ด้วยเหตุผล เผื่อวันข้างหน้า เวลาที่เกิดการขัดสน ขาดแคลน ไม่มีรายได้ มีความจำเป็น เช่นในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ก็จะได้มีเงินทองที่เก็บไว้มาดูแลรักษา นอกเหนือจากนั้นแล้วก็ไม่รู้จะเก็บเอาไว้ทำไม  เวลาได้ช่วยเหลือผู้มีความทุกข์มีความเดือดร้อน เราจะมีความสุขมากกว่าการเก็บเงินเก็บทองเอาไว้ แทนที่จะมีความสุขกลับมีความกังวล ห่วงใย กลัวจะหาย  กลัวจะถูกลักขโมยไป แต่ถ้าเอาเงินไปช่วยเหลือผู้อื่น เอาไปทำสาธารณะประโยชน์ สร้างโรงเรียน  สร้างโรงพยาบาล ช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก  เราจะมีความสุข ดีกว่าเก็บเอาไว้แล้วมีแต่ความกังวล  เมื่อมีความสุขก็จะมีความสบายใจ ไม่ห่วงใย เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากสิ่งต่างๆไป  จะจากไปอย่างสบายใจ จะไปดี

 

ถ้ายังไปไม่ถึงพระนิพานก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์ ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาสร้างบุญสร้างกุศลต่ออีก จนกว่าจะถึงพระนิพพาน เป็นทางเดียวกันกับที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้ดำเนินมา ได้ปฏิบัติมา ท่านทำอย่างนี้ทั้งนั้น   ทำบุญทำกุศลตลอดเวลา ละเว้นจากการกระทำบาปเสมอ ต่อสู้กับความโลภความโกรธความหลงอย่างต่อเนื่อง เวลาโลภก็ใช้เหตุผลระงับ อยากจะได้อะไรก็ใช้ปัญญาพิจารณาดูว่าจำเป็นหรือไม่    ถ้าไม่จำเป็นก็จะไม่เอา ไม่มีสิ่งที่อยากจะได้แล้วจะตายหรือไม่    ถ้าไม่ตายก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหามา  เวลาอยากได้รองเท้าคู่ใหม่ แต่เมื่อพิจารณาด้วยปัญญาแล้ว ก็เห็นว่ายังมีรองเท้าอยู่เต็มตู้ อย่างนี้ก็ไม่มีความจำเป็น ไม่ได้คู่ใหม่มาก็ไม่ตาย ถ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นก็ต้องหามา  เช่นอาหารต้องมีรับประทาน อย่างนี้ขาดไม่ได้  อากาศต้องมีไว้หายใจ น้ำต้องมีไว้ดื่ม อย่างนี้ก็ต้องมีไว้ ไม่ถือว่าเป็นความโลภ แต่ต้องพอประมาณ ต้องพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป  ถ้ามากเกินไปก็เป็นความโลภเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร คนเรามีท้องเดียว กินได้เพียงเท่านั้น กินมากไปกว่านั้นก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะเกิดโทษ ทำให้ร่างกายมีน้ำหนักเกินความจำเป็น มีโรคภัยเบียดเบียน   รูปร่างไม่สวยงาม เป็นคนอ้วน   ดังนั้นถึงแม้สิ่งที่อยากได้เป็นสิ่งที่จำเป็นก็ต้องรู้จักประมาณ ให้พอดีกับความต้องการของร่างกายอย่าให้มากเกินไป  การต่อสู้กับความโลภต้องใช้เหตุและผล    ส่วนความโกรธก็ต้องใช้ความเมตตา ต้องให้อภัยกัน ถือเสียว่าเป็นเรื่องปกติเวลาอยู่ร่วมกันย่อมกระทบกระทั่งกันบ้าง ถ้าฉลาดก็จะไม่ให้การกระทบกระทั่งกันมาสร้างความทุกข์ให้กับเรา

 

ความโกรธเป็นความทุกข์ เป็นเหมือนไฟเผาใจ ลองสังเกตดูระหว่างเวลาที่ไม่โกรธกับเวลาที่โกรธ  จะเห็นเลยว่าเป็นคนละเรื่องกันเลย อย่างในขณะนี้ใจของเราโกรธหรือไม่ คงจะไม่โกรธกัน เพราะถ้าโกรธแล้วคงจะนั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ จะต้องลุกไปทำให้ความโกรธหายไป  แต่ไม่ได้เป็นวิธีที่จะทำให้ความโกรธหายไปได้อย่างแท้จริง เพราะคราวหน้าความโกรธก็เกิดขึ้นมาใหม่ได้อีก  เช่นใครทำให้โกรธก็ไปต่อว่าต่อขานไปทะเลาะกัน เสร็จแล้วความโกรธก็หายไป  คราวหน้าพอเจอกันอีก มีเรื่องมีราวกันอีก ก็ต้องทะเลาะกันอีก   แต่ถ้าให้อภัยไม่ถือสา คิดเสียว่าสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เขาทำ ก็ผ่านไปแล้ว ย้อนกลับไปไม่ลบมันไม่ได้ แต่เราลบมันออกไปจากใจของเราได้  ด้วยการให้อภัย  พอให้อภัยแล้วใจก็จะสงบเย็น  คราวหน้ามีปัญหาแบบนี้อีก ก็จะสามารถระงับดับความโกรธได้เสมอไป เป็นวิธีที่ดีที่สุด คือการให้อภัย ไม่จองเวรจองกรรมกัน  พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เวรไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร  ถ้าไม่จองเวรจองกรรมจะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย  ถ้าจองเวรจองกรรมจะอยู่แบบกินไม่ได้นอนไม่หลับ พอคิดถึงเรื่องที่ทำให้โกรธทีไรก็ลุกเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที จึงต้องรู้จักให้อภัย ต้องมองว่าเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เป็นอดีตไปแล้วเหมือนความฝัน  เมื่อคืนนี้เราฝันถึงเรื่องอะไร จะดีหรือจะชั่วอย่างไร มันก็ผ่านไปแล้ว ถ้าไม่คิดถึงมันก็ไม่เป็นปัญหาอะไร  เรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าไม่คิดถึงมัน ก็จะไม่มีปัญหาอะไรกับเรา  เช่นในขณะนี้เรานั่งฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่ ก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ที่ทำให้วุ่นวายใจไม่พอใจ เราจึงต้องหัดปล่อยวางให้ได้ อะไรเกิดขึ้นแล้วก็ให้มันผ่านไป ถ้าเป็นสิ่งที่ทำให้เราทุกข์ขึ้นก็ปล่อยมันไป ถ้าทำให้เราสุขให้เราฉลาดขึ้น หูตาสว่างขึ้น ก็ควรคิดถึงบ่อยๆ

 

เวลาทำอะไรผิดพลาดไป รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่ควรทำอีก ก็ควรคิดสอนเราอยู่เรื่อยๆว่าไม่ดี ทำไปแล้วทำให้เกิดความเสียหายทั้งกับตัวเราและกับผู้อื่น ถ้าคิดอยู่เรื่อยๆ จะเป็นคุณเป็นประโยชน์   เรื่องที่ผ่านไปแล้วมีทั้งที่ควรลืมและควรจะคิดถึงอยู่เรื่อยๆ เวลาทำความดีแล้วมีความสุขก็ควรจะคิดถึงอยู่เรื่อยๆ เพราะจะทำให้อยากจะทำอีก เมื่อมีโอกาสจะได้รีบทำกัน อย่างวันนี้เรามาฟังเทศน์ฟังธรรมกัน ก็ได้รับประโยชน์จากการฟัง  ได้รู้จักชีวิตของเราว่าเป็นอย่างไร รู้ว่าไม่ได้เกิดแล้วตายเพียงเท่านั้น รู้ว่าหลังจากที่ตายไปแล้ว ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีก แล้วเราจะไปสูงไปต่ำก็ขึ้นอยู่กับการกระทำในปัจจุบันนี้     ถ้าทำตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงสอนให้ทำความดี ละบาป ชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์  ก็จะไปสู่ทางที่ดี พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จะได้ไปถึงที่ ที่พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายได้ดำเนินไปถึง นี้คือสิ่งที่เราควรคิดอยู่เรื่อยๆ เพราะเป็นประโยชน์ ทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน  มีกำลังใจที่จะทำความดี ต่อสู้กับความโลภความโกรธความหลง      แต่ถ้าไม่คิด พอไปทำเรื่องอื่น ก็จะลืมสิ่งที่ดีที่วิเศษที่ได้ยินได้ฟังในวันนี้ ก็จะถูกความหลงหลอกให้ไปโลภไปอยากได้สิ่งต่างๆ ที่จะสร้างความทุกข์สร้างความวุ่นวายใจ สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับเราพอเห็นอะไรถูกอกถูกใจก็อยากจะได้ขึ้นมาทันที โดยไม่คิดเลยว่าเอามาทำไม เอามาแล้วมีประโยชน์อะไร ให้ความสุขกับเราจริงหรือไม่ หรือมีความทุกข์แฝงมาด้วย  ความทุกข์ที่เกิดจากความห่วงใย ความหึงหวงความเสียใจเวลาจากเราไป เราไม่ค่อยคิดกันเท่าไร เพราะไม่มีปัญญาคิดไม่เป็น

 

ถ้าหัดคิดอยู่เรื่อยๆแล้ว ต่อไปจะไม่ถูกความหลงหลอกให้ไปหาความทุกข์มาใส่ใจ     จะปล่อยวางเป็น จะไม่ยึดไม่ติด  จะไม่อยากได้ในสิ่งที่ไม่จีรังถาวร   ไม่ให้ความสุขกับเราอย่างแท้จริง ไม่ได้เป็นสมบัติของเราอย่างแท้จริง  จะเห็นได้ถ้าใช้ปัญญา คิดด้วยปัญญาเสมอ   ถามตัวเองเสมอว่าจีรังถาวรหรือไม่ อยู่กับเราไปตลอดหรือไม่  ให้ความสุขกับเราไปตลอดหรือไม่ หรือจะสร้างความทุกข์สร้างความกังวลใจให้กับเรา  ถ้าถามตัวเองอยู่เรื่อยๆแล้ว รับรองได้ว่าจะไม่ถูกความหลงหลอก จะอยู่อย่างสุขอย่างสบาย  ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายหาสิ่งต่างๆมา   ทุกวันนี้ที่ลำบากยากเย็นกัน ไม่ใช่เพราะไม่มีกินไม่มีอยู่กัน แต่เป็นเพราะไม่รู้จักคำว่าพอเท่านั้นเอง ถูกความหลงหลอกอยู่เรื่อยๆ   ได้อะไรมามากน้อยเพียงไรก็ไม่รู้จักพอ เพราะสิ่งที่ได้มาไม่ได้ให้ความพอกับเรานั่นเอง  สิ่งที่จะให้ความพอกลับไม่แสวงหากัน   คือการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ทำความดี ละบาป กำจัดความโลภ ความโกรธ  ความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจ  ถ้าปฏิบัติตามได้ รับรองได้ว่าความพอจะปรากฏขึ้นมาตามลำดับจนเต็มหัวใจ เช่นเดียวกับของพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ท่านไม่หิวไม่อยากกับอะไร แม้จะไม่มีสมบัติข้าวของเงินทองเลยก็ตาม  ท่านไม่หิวไม่อยากไม่เหมือนกับพวกเรา ที่มีสมบัติข้าวของเงินทองเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แต่ยังไม่มีความพอเสียที จึงควรเห็นคุณค่าของการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาพบกับพระพุทธศาสนา เพราะมนุษย์เท่านั้นที่จะสามารถปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้   เมื่อได้พบพระธรรมคำสอนแล้ว ให้น้อมเอาเข้ามาปฏิบัติ ในเบื้องต้นจะรู้สึกยากลำบาก ก็ขอให้อดทนเอาไว้ ฝืนทำไป เมื่อได้รับผลคือความสงบร่มเย็นเป็นสุขในจิตใจแล้ว จะมีกำลังใจที่จะปฏิบัติให้มากยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงผลอันประเสริฐเลิศโลก ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้รับกัน  จึงขอฝากเรื่องการบำเพ็ญปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ท่านทั้งหลายนำไปปฏิบัติ ด้วยศรัทธาความเชื่อ  ด้วยสติ ด้วยปัญญา  ด้วยวิริยะความอุตสาหะพากเพียร  เพื่อประโยชน์สุขและการพ้นทุกข์ที่จะตามมาต่อไป    การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้