กัณฑ์ที่ ๓๑๐       ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๐

 

หลุดพ้นด้วยการปฏิบัติ

 

 

 

วันนี้เราได้ตั้งใจกันมาวัด เพื่อตักตวงประโยชน์สุข ที่พระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว จะให้กับเราได้ เพราะไม่มีศาสนาใดที่จะพัฒนาจิตใจให้ไปถึงจุดสูงสุด ให้หลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงได้ มีพระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียวเท่านั้นที่ทำได้ เป็นศาสนาที่นานๆจะปรากฏขึ้นมาในโลกสักครั้งหนึ่ง ให้สัตว์โลกได้พึ่งพาอาศัย ได้ตักตวงประโยชน์สุข พวกเราที่เห็นคุณค่าและการพบหายากของพระพุทธศาสนา จึงไม่ปล่อยให้โอกาสดีงามนี้ผ่านไป โดยไม่ได้ตักตวงประโยชน์จากพระพุทธศาสนา และจากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์เลย เพราะมีมนุษย์เท่านั้น ที่จะตักตวงประโยชน์สุขจากพระพุทธศาสนาได้เต็มที่ ได้อย่างสะดวก ถ้าเกิดเป็นอย่างอื่น โอกาสที่จะตักตวงประโยชน์สุขของพระพุทธศาสนา ก็จะมีไม่มากหรือไม่มีเลย เช่นถ้าเกิดเป็นเดรัจฉานอย่างพวกสุนัขแมวที่ถูกปล่อยไว้ในวัด ถึงแม้จะอยู่ในวัด อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนา แต่ก็จะเป็นลักษณะของทัพพีในหม้อแกง ไม่รู้ว่าศาสนาเป็นอย่างไร มีคุณมีประโยชน์อย่างไร อยู่ไปก็เพื่ออาศัยอาหารที่อยู่อาศัยไปวันหนึ่งๆเท่านั้นเอง แต่จะไม่ได้รับประโยชน์จากพระธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา ที่สอนให้ชำระกายวาจาให้สะอาดบริสุทธิ์ เพื่อความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ สิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พวกเดรัจฉานที่ได้มาเจอพระพุทธศาสนา ก็จะไม่ได้รับประโยชน์อะไร เหมือนกับพวกมนุษย์ที่เกิดในเมืองพุทธ แต่ไม่สนใจ ไม่มีความเชื่อในพระพุทธศาสนา ไม่เข้าวัด ไม่ทำบุญทำทาน ไม่รักษาศีล ไม่ปฏิบัติธรรม

 

ถ้าเข้าวัดก็จะเข้าวันที่มีหวยออก เพื่อหาเลขหาเบอร์ ไม่ได้เข้าเพื่อหาประโยชน์สุขจากพระพุทธศาสนา เข้าเพราะความโลภโกรธหลงพาให้เข้า ก็จะไม่ได้รับประโยชน์สุขจากพระพุทธศาสนา อาจจะได้เลขได้เบอร์ไปแทงหวย อาจจะถูกลอตเตอรี่ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสิ่งที่จะได้รับจากการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เงินทองที่ได้จากการแทงหวยแทงลอตเตอรี่ ก็เป็นเหมือนกับก้อนหินก้อนกรวดก้อนทราย ไม่เหมือนกับความสุขความเจริญของจิตใจ ที่เปรียบเหมือนกับเพชรนิลจินดา เพราะต่อให้มีเงินทองมากน้อยเพียงไรก็ตาม ถ้าจิตใจยังไม่ได้รับการชำระตามหลักของพระศาสนา จะหาความสุขไม่ได้ จะพ้นทุกข์ไม่ได้ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ กลับยิ่งมีความทุกข์มากขึ้นไปเท่านั้น เพราะความหลงจะหลอกให้ยึดให้ติด ให้อยากมีไปนานๆ ให้อยากอยู่กับตนไปนานๆ ซึ่งฝืนหลักความจริงแห่งไตรลักษณ์ คืออนิจจังทุกขังอนัตตา ไม่มีอะไรในโลกนี้จะอยู่ไปได้ตลอด โดยไม่เปลี่ยนแปลง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา มีการจากกันไปในที่สุด ไม่ช้าก็เร็ว ไม่ให้ความสุขได้อย่างแท้จริง เวลาอยู่ก็มีความหวงความห่วงความกังวล เวลาจากกันก็อาลัยอาวรณ์เสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ นี่คือธรรมชาติของสิ่งต่างๆในโลกนี้ เช่นเงินทองเป็นต้น นักปราชญ์เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จึงไม่หลงยึดติดกับลาภยศสรรเสริญสุข ไม่แสวงหาลาภยศสรรเสริญสุข แต่แสวงหาความหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย แสวงหาความสุขภายในจิตใจ ด้วยการทำความดีละบาป ทำจิตใจให้สงบ ปราศจากความโลภความโกรธความหลง เพื่อได้พบกับความสุขความเจริญอย่างแท้จริง

 

มีพระพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนให้ลดให้ละให้ตัด ไม่ให้ยึดไม่ให้ติดกับอะไรในโลกนี้ เพราะสิ่งต่างๆในโลกนี้เปรียบเหมือนกับกองไฟ คนที่มีความหลงก็เปรียบเหมือนกับแมงเม่า เวลาเห็นไฟก็จะบินเข้าสู่กองไฟ โดยไม่รู้ว่ามีความร้อนอยู่กับแสงสว่าง เพราะชอบแสงสว่าง แต่ไม่รู้ว่าแสงสว่างมันร้อน ที่จะเผาให้ตายได้ แมงเม่าเมื่อบินเข้ากองไฟก็จะถูกไฟเผาไปหมด พวกคนที่ไม่ฉลาด ที่มีความหลง ก็จะทุกข์ทรมานกับสิ่งต่างๆที่อยากได้ ที่แสวงหาและยึดติดอยู่ เช่นลาภยศสรรเสริญสุขต่างๆ ที่พวกเราแสวงหากันอยากได้กัน แล้วผลเป็นอย่างไร ผลก็คือความทุกข์กังวล วุ่นวายใจ เสียอกเสียใจอยู่ตลอดเวลา เป็นธรรมชาติของสิ่งต่างๆที่ไปหลงยึดติดอยู่ ไม่ได้ให้ความสุขอย่างแท้จริง มีแต่จะให้ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย จึงตัดสิ่งต่างๆ ออกบวชกัน ไม่อยากร่ำรวย มีตำแหน่งสูงๆ ให้คนสรรเสริญเยินยอ ไม่อยากได้ความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะเห็นด้วยปัญญาว่าเป็นทุกข์มากกว่าเป็นสุข มุ่งชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภความโกรธความหลง ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา เจริญสมาธิและปัญญา จนจิตสะอาดหมดจด เพื่อความสุขที่ประเสริฐเลิศโลกของพระนิพพาน ที่เรียกว่าบรมสุข ที่พระพุทธศาสนาสามารถมอบให้กับพวกเราได้ ที่พวกเราสามารถตักตวงกันได้ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อ มีวิริยะความอุตสาหะพากเพียร ที่จะตะเกียกตะกายปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะยากจะลำบากอย่างไรก็ตาม จะไม่ท้อแท้ จะไม่ยกเลิก จะพยายามทำไปจนกว่าจะพบกับความสำเร็จ ควรรีบขวนขวาย เพราะมีเวลาน้อย ชีวิตของเรามีแต่จะหมดไปหมดไป ทีละเล็กทีละน้อย และอาจจะหยุดไปทันทีทันใด เมื่อไหร่ก็ได้ไม่มีใครรู้

 

เมื่อยังมีโอกาสมีเวลามีกำลังกาย ที่จะปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ก็ควรรีบทำเสียแต่วันนี้ อย่างที่พวกเราได้มาทำกัน เพราะเห็นว่ามีเวลาน้อย ในแต่ละอาทิตย์ก็ต้องหมดไปกับการทำภารกิจอย่างอื่น ทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ดูแลคนนั้นดูแลคนนี้ แทบจะไม่มีเวลาดูแลจิตใจของตนเลย พอมีเวลาว่างเช่นวันเสาร์วันอาทิตย์ ก็ต้องเข้าวัด ต้องรีบมาบำเพ็ญ รีบมาปฏิบัติ เพราะไม่มีใครจะทำแทนเราได้ เราต้องทำเอง ทำแล้วก็จะได้มากกว่าที่เสียไป สิ่งที่เสียก็คือเวลา เช่นเสียเวลาหลับนอน อย่างวันนี้วันเสาร์วันอาทิตย์ โดยปกติถ้าไม่ต้องไปทำงานจะตื่นสัก ๙ โมง ๑๐ โมงก็ทำได้ มีคนหลายคนทำกัน แต่พวกเรากลับยอมเสียเวลาหลับนอน ตื่นแต่เช้าเพื่อมาวัด มาทำบุญทำทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม เพราะเห็นคุณค่าของเวลาและคุณค่าของพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่ปล่อยให้ผ่านไปโดยไม่ได้รับประโยชน์จากเวลาและจากพระพุทธศาสนา สิ่งที่เราควรทำอยู่เรื่อยๆ ก็คือทานศีล ภาวนา ทานคือการให้ เสียสละสิ่งที่ไม่มีจำเป็น ส่วนที่เหลือ ส่วนที่เกิน ไม่มีความจำเป็นต่อการดูแลรักษาชีวิตของเรา ไม่เอาไปใช้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าเอามาทำบุญทำทาน ก็จะสร้างความอิ่มเอิบใจ สร้างความสุข เป็นการสะสมทรัพย์ภายในที่จะรอเราอยู่ในภพหน้าชาติหน้า จะมีเงินทองรอเราอยู่ มีฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ในชาตินี้ แต่ถ้าไม่ทำบุญทำทานเลย เมื่อตายไปแล้ว จะไม่มีอะไรรอเราอยู่ เพราะการทำบุญทำทานเป็นเหมือนกับการเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารบุญ เมื่อทำแล้วบุญไม่สูญหายไปไหน จะรอเราอยู่ข้างหน้า เวลามีความจำเป็น บุญก็จะมาสนับสนุน มาดูแลเรา เหมือนกับเงินในธนาคาร เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ ก็ไปเบิกเอามาใช้ได้ เวลาทำบุญ เราจึงมีแต่ได้ ไม่เสียอะไร

 

จะไม่เสียอะไรจากการไม่ได้หลับนอน ไม่ได้ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพราะการหลับนอนกับการเที่ยวไม่ได้ให้อะไรกับจิตใจ มีแต่จะทำให้จิตใจอ่อนแอลง มีความอยากมากขึ้น จะอยู่ไม่เป็นสุข ต้องดิ้นรนตะเกียกตะกาย ไปทำตามความอยากต่างๆ ยิ่งทำมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเพิ่มความอยากให้มีมากยิ่งขึ้น ก็ต้องตะเกียกตะกายมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนอยู่เฉยๆไม่ได้เลย เพราะจะเบื่อหน่าย เศร้าสร้อยหงอยเหงา ไม่มีความสุข ทั้งๆที่ไม่มีอะไรจะสุขเท่ากับการอยู่เฉยๆ เพราะไม่ต้องไปลำบากลำบนกับอะไร เวลามีความอยากจะต้องไปลำบากลำบน ออกจากบ้านก็ต้องหาเสื้อผ้าใส่ อาบน้ำอาบท่าแต่งตัว หาเงินทองติดตัวไปด้วย ต้องไปเสี่ยงกับภัยต่างๆ เสี่ยงกับโจรผู้ร้าย เสี่ยงกับอุบัติเหตุ ต้องไปแก่งแย่งกับผู้อื่น เวลาขึ้นรถก็ต้องแย่งกันขึ้น เวลาขับรถก็เบียดกันแย่งกัน ไม่มีความสุขเลย สู้อยู่ที่บ้านเฉยๆไม่ได้ แสนจะสบาย เพราะไม่รู้จักทำใจให้สงบให้นิ่ง ปล่อยให้ไหลไปตามความอยาก จนทำให้การอยู่เฉยๆในบ้านเป็นความทรมานใจไป แต่ถ้าได้ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆ ได้รักษาศีล ได้ปฏิบัติธรรม ทำจิตใจให้สงบ จะสามารถอยู่บ้านเฉยๆได้ ไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อน เพราะใจไม่หิวไม่อยากกับอะไร เพราะการทำบุญทำทาน รักษาศีล การภาวนา เป็นการทำจิตใจให้สงบนิ่งนั่นเอง ไม่ให้ตะเกียกตะกายอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ อยากเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ อยากจะพบกับคนนั้นพบกับคนนี้ จะมีน้อยลงไปตามลำดับแห่งการปฏิบัติ จนไม่มีความอยากหลงเหลืออยู่เลย เมื่อไม่มีความอยากแล้วอยู่ที่ไหนก็แสนจะสบาย ไม่มีอะไรก็ไม่เป็นไร ไม่เดือดร้อนอะไร แม้แต่ไม่มีร่างกายก็ไม่เดือดร้อนอะไร

 

พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ ถึงแม้ร่างกายของท่านจะแตกดับไปแล้ว แต่ใจของท่านก็ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่หิวไม่อยากไม่ต้องการอะไร ไม่มีร่างกายก็อยู่ได้ ในขณะที่มีร่างกายก็ไม่ยึดไม่ติด จะเป็นอย่างไรก็รับได้ จะแก่ก็รับได้ จะเจ็บไข้ได้ป่วยก็รับได้ จะตายก็รับได้ เพราะใจไม่มีความอยากอะไรกับร่างกาย กับอะไรทั้งปวง ใจได้ตัดความอยากไปหมดแล้วกับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ใจเป็นธรรมชาติที่แปลก สามารถอยู่ตามลำพังได้โดยไม่ต้องมีอะไร เหตุที่พวกเราต้องไขว่คว้าหาสิ่งนั้นหาสิ่งนี้ หาคนนั้นหาคนนี้มา เพราะความหลงนั่นเอง เมื่อเกิดความหลงก็คิดว่าถ้าได้สิ่งนั้นสิ่งนี้มา ได้คนนั้นคนนี้มา จะทำให้มีความสุข ก็ไปแสวงหากัน หาสิ่งนั้นมาหาคนนั้นมา แล้วก็ต้องมาทุกข์กับสิ่งนั้น ต้องมาทุกข์กับคนนั้น แต่ก็ยังไม่เคยเห็นโทษ กลับไปหาเพิ่มขึ้นอีก หาเพิ่มไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่มีความอยากได้อะไร ก็ต้องไปทำตาม ไม่เคยพิจารณาเลยว่า ได้อะไรมาก็มากแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยพบกับความพอสักที ไม่ได้พบกับความสุขที่แท้จริงสักที ไม่เคยคิดอย่างนี้ เพราะอำนาจของความหลงไม่เปิดโอกาสให้คิด ต้องได้เจอกับพระพุทธศาสนาเท่านั้น ถึงจะได้ยินได้ฟังถึงผลเสียของความอยาก ของการมีสิ่งต่างๆ ของการยึดติดกับสิ่งต่างๆ ว่าเป็นเหตุสร้างความทุกข์ให้กับใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อทราบแล้ว และเห็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายเป็นตัวอย่าง ว่าสามารถอยู่ได้โดยไม่มีความอยาก และมีความสุขอย่างยิ่งด้วย ก็จะทำให้เกิดศรัทธาความเชื่อ ฉันทะความพอใจ ที่จะปฏิบัติตาม ก็จะได้สัมผัสกับผลที่เกิดจากการปฏิบัติ การได้ยินได้ฟังอย่างเดียวไม่เพียงพอ ฟังแล้วไม่นำเอาไปปฏิบัติ ก็เหมือนกับการเห็นอาหาร แต่ไม่ได้รับประทาน ต่อให้มองดูอาหารไปจนวันตาย ก็จะไม่รู้ว่ารสชาติของอาหารเป็นอย่างไร จะไม่ได้รับความอิ่มจากอาหาร จะอิ่มได้จะรู้ว่ารสชาติของอาหารเป็นอย่างไร ก็ต้องรับประทาน

 

ฉันใดถ้าอยากจะรู้ว่าบรมสุข ปรมังสุขังของพระนิพพานเป็นอย่างไร ถ้าอยากจะรู้ว่าการหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงเป็นอย่างไร ก็ต้องปฏิบัติ ต้องทำบุญทำทาน อย่าไปเสียดายเงินทองที่มีเกินความจำเป็น ถ้าไม่ต้องอาศัยเงินทองส่วนนั้นแล้ว ก็นำเอาไปทำบุญทำทานเสีย จะได้ความอิ่มเอิบใจ ความสุขใจ แล้วก็รักษาศีล ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ว่าจะทำอะไรจะพูดอะไร  จะให้อยู่ในกรอบของศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปดมดเท็จ ไม่เสพสุรายาเมา จิตใจจะได้เย็นสบาย เพราะเวลาทำผิดศีลผิดธรรม จิตใจจะว้าวุ่นขุ่นมัวกังวล เพราะเวลาไปสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ย่อมมีผลกลับมาสู่ใจของเรา จะเดือดร้อนวุ่นวายกังวล กลัวจะต้องใช้โทษที่ไปทำเอาไว้ แต่ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด ใจก็จะเย็นสบาย ถ้าได้ทำจิตใจให้สงบด้วยการนั่งทำสมาธิ ก็ยิ่งมีความสุขสบายมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำหนดจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกก็ดี อยู่กับการบริกรรมพุทโธๆก็ดี อยู่กับการสวดมนต์ก็ดี ควบคุมจิตด้วยสติ ไม่ให้ไปคิดถึงเรื่องอื่น ให้อยู่กับบทสวดมนต์ ให้อยู่กับคำบริกรรมพุทโธๆ หรืออยู่กับลมหายใจเข้าออก ถ้าสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ช้าก็เร็วจิตจะสงบลง จะรวมตัวลง จะขาดจากอารมณ์ต่างๆ ขาดจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ จะทำให้จิตเบาสบาย มีปีติมีความสุข มีความพอ มีความอิ่ม ถ้าได้สัมผัสกับความสุขแบบนี้แล้ว จะเห็นว่าไม่มีความสุขอย่างอื่นในโลกนี้ จะดีเท่ากับความสุขแบบนี้เลย เมื่อก่อนนี้มีก้อนกรวดก้อนอิฐ ก็คิดว่าเป็นของวิเศษ แต่พอได้เจอกับเพชรนิลจินดาเข้า ก็จะเห็นว่าไม่มีคุณค่าอะไร ฉันใดถ้าได้พบกับความสุขที่เกิดจากความสงบของจิตใจแล้ว จะไม่สนใจกับความสุขที่ได้จากลาภยศสรรเสริญสุขเลย จะสามารถตัดความสุขเหล่านี้ออกไปจากใจได้ จะพุ่งไปสู่ความสุขที่เกิดจากความสงบ จะปฏิบัติธรรมมากยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้บวช ถ้าไม่ได้บวชก็ปฏิบัติแบบนักบวชไป จนบรรลุถึงธรรมขั้นสูงสุด

 

เพราะธรรมขั้นสูงสุดและธรรมขั้นต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการบวชหรือไม่บวช  แต่อยู่กับการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  แต่ไม่ได้บวช ก็สามารถบรรลุธรรมได้ ถ้าบวชแต่ไม่ได้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ ไม่ได้อยู่ที่บวชหรือไม่ เป็นหญิงหรือเป็นชาย เป็นเด็กหรือเป็นผู้ใหญ่ อยู่ที่การปฏิบัติเท่านั้น ถ้าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจากความทุกข์ ปฏิบัติชอบ ก็จะสามารถบรรลุธรรมขั้นต่างๆได้อย่างแน่นอน อยู่ที่ตรงนี้ อยู่ที่การปฏิบัติเท่านั้น การที่จะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้ ก็ต้องได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนเสียก่อน เพราะไม่เช่นนั้นจะไม่รู้ว่าการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นอย่างไร ดังนั้นในเบื้องต้นจึงต้องให้ความสนใจต่อการศึกษา การได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสไว้ว่า กาเลน ธัมมัสวนัง เอตัมมัง กลมุตตมัง  การฟังธรรมตามกาลตามเวลาเป็นมงคลอย่างยิ่งแก่ชีวิต ตามกาลตามเวลาคือ อย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งสักครั้งหนึ่งเป็นอย่างต่ำ เพราะอาทิตย์หนึ่งจะมีวันพระหนึ่งครั้ง ในสมัยปัจจุบันเนื่องจากวันพระไม่ตรงกับวันหยุดทำงาน ก็ต้องเปลี่ยนวันพระมาเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์แทน เพื่อจะได้มาวัดฟังเทศน์ฟังธรรม ทำบุญรักษาศีลปฏิบัติธรรมพร้อมกันไปด้วย ถ้าไม่สามารถมาวัดได้ ก็สามารถฟังเทศน์ฟังธรรมที่บ้านได้ มีเทปธรรมะก็เปิดฟังได้ มีหนังสือธรรมะก็เปิดฟังได้ มีวิทยุก็เปิดฟังได้

 

ถ้าไม่สนใจต่อให้มีอยู่มากน้อยเพียงไร ก็จะไม่ได้ฟังไม่ได้อ่าน เพราะใจจะถูกความหลงหลอกให้ไปดูไปฟังเรื่องอื่นกัน ไปดูหนัง ฟังเพลง ไปเที่ยวที่นั่น ไปเที่ยวที่นี่กัน จนหาเวลาเข้าวัดไม่ได้ หาเวลาฟังเทศน์ฟังธรรมไม่ได้ เราจึงต้องบังคับตัวเราเหมือนกับบังคับให้กินยา เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องฝืนกินยาให้ได้ ถึงแม้จะไม่ชอบกิน เพราะรู้ว่าถ้าไม่กินยาโรคจะไม่หาย ฉันใดธรรมะก็เป็นยาเหมือนกัน เป็นธรรมโอสถ ที่เราต้องฝืนต้องบังคับใจให้กินให้ได้ เมื่อถึงเวลาต้องกินยาก็ต้องกินยา เวลาหมอสั่งให้รับประทานวันละกี่ครั้งกี่เวลา ก็ต้องทำตามคำสั่ง พระพุทธเจ้าก็ทรงสั่งให้พวกเราฟังเทศน์ฟังธรรมกันอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยที่สุดอย่างต่ำที่สุดก็ต้องอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี ยิ่งได้ฟังมากยิ่งมีประโยชน์มาก เพราะจะทำให้เข้าใจลึกซึ้งเข้าไป จะทำให้เกิดศรัทธา เกิดความยินดีที่จะปฏิบัติตาม จึงควรให้ความสนใจ ให้เวลากับพระพุทธศาสนา เพราะเป็นการให้ความสุขความเจริญกับจิตใจ ที่ไม่มีอะไรจะให้ได้ นอกจากพระพุทธศาสนาเท่านั้น ควรรีบตักตวง เพราะเมื่อตายไปแล้ว ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก อาจจะไม่ได้พบกับพระพุทธศาสนาอีกก็ได้ จะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้พบอีก จึงไม่ควรปล่อยให้โอกาสนี้ผ่านไป โดยไม่ได้ตักตวงประโยชน์เท่าที่จะทำกันได้ การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้