กัณฑ์ที่ ๓๑๒       ๖ เมษายน ๒๕๕๐

 

สมบัติที่แท้จริง

 

 

 

ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะมีคุณค่าเท่ากับบุญบารมี  เพราะเป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา  จะอยู่ติดกับเราไปไม่ว่าจะไปที่ไหน ไปเกิดภพไหนชาติไหน   ต่างกับทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุหรือบุคคล  ไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา เพราะเมื่อเราตายไปก็กลายเป็นสมบัติของคนอื่นไป    มีรถ มีบ้าน มีสามี มีภรรยา ก็กลายเป็นของคนอื่นไป เพราะไม่สามารถเอาติดตัวไปได้   ถ้าไม่สะสมบุญบารมีมัวแต่สะสมทรัพย์ทางโลก ตายไปจะไปแบบมือเปล่า ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไป  จะไม่ได้ไปสู่ที่สุขที่เจริญ ที่บริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติต่างๆ ต้องไปสร้างใหม่  ไปเกิดเป็นคนจน ตะเกียกตะกายทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  เก็บเงินเก็บทอง กว่าจะร่ำรวยก็ใกล้ตาย ก็จะตายฟรี เพราะไม่มีเวลาทำบุญทำกุศล  พอไปเกิดใหม่ก็จะเป็นอย่างนี้อีก  ไปเริ่มต้นใหม่ แต่ถ้ามีเวลาสะสมบุญบารมี  ทำบุญทำทานอย่างต่อเนื่อง รักษาศีลอย่างสม่ำเสมอ  ไหว้พระสวดมนต์   ปฏิบัติธรรม  เจริญจิตภาวนา ก็จะมีสมบัติติดตัวไป  จะไปเกิดดีกว่าเก่า  เป็นลูกเศรษฐี เป็นลูกของกษัตริย์ ไม่ต้องเสียเวลาหาเงินหาทอง สามารถเสริมสร้างบุญบารมีต่อไปได้เลย   เพราะมีเวลาไปทำบุญทำทาน   ฟังเทศน์ฟังธรรม  ปฏิบัติธรรม  ก็จะสามารถสะสมบุญบารมีให้มีมากยิ่งขึ้นไปตามลำดับ  พัฒนาจิตใจไปสู่ระดับของพระอริยเจ้า  ไปสู่ระดับของพระอรหันต์   ไปสู่ระดับของพระพุทธเจ้าได้ในที่สุด  เป็นผลที่เกิดจากการบำเพ็ญบุญบารมีอย่างสม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่อง  เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมาหลายภพหลายชาติ จนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมา  ถ้าไม่ได้ทรงบำเพ็ญเลย ตอนนี้ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยในภพใหญ่อยู่  ไปตกนรกบ้าง  ขึ้นสวรรค์บ้าง  เป็นเดรัจฉานบ้าง  เป็นเทพเป็นพรหมบ้าง  สลับกันไปตามวาระของบุญและกรรมที่ได้ทำไว้   

 

บุญก็เป็นเหมือนเงินฝากในธนาคาร  บาปเป็นเหมือนหนี้ที่ต้องใช้  มีเงินในธนาคารก็เบิกมาใช้ได้    ฉันใดเมื่อทำบุญก็จะได้เสวยบุญ ได้เกิดในสุคติ  เกิดเป็นมนุษย์  เป็นเทพ  เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า  ถ้าไปก่อกรรมทำเข็ญก็ต้องไปใช้หนี้ในอบาย  ไปตกนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นผี บุญและบาปเป็นของจริง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ตรัสรู้เรื่องบุญและบาปนี้แล ไม่ได้ตรัสรู้เรื่องอะไร  ทรงตรัสรู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว การกระทำเป็นเหตุ  ผลคือความสุขความเจริญ  ความทุกข์ความเสื่อม ภพชาติที่ดีหรือภพชาติที่ไม่ดี ก็เกิดจากการกระทำของเราในแต่ละภพในแต่ละชาติ  ในแต่ละวัน  ในแต่ละเวลา   เช่นวันนี้เรามาทำความดี  มาทำบุญ สะสมบารมี  ก็เหมือนกับเอาเงินไปฝากไว้ในธนาคารบุญ   เมื่อเราเดินทางไปข้างหน้า  ก็จะสามารถเบิกเอาบุญที่ได้ฝากไว้ในธนาคารบุญมาใช้ได้   ก็จะไปเกิดดีกว่าเก่าสูงกว่าเก่า  เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้าที่ดีที่สูงกว่าเก่า  เกิดจากการกระทำไม่ได้เกิดจากการปรารถนา ถ้าปรารถนาจะไปนิพพาน แต่ไม่ทำบุญให้ทาน ไม่รักษาศีล  ไม่ตัดกิเลส ไม่ปฏิบัติธรรม ต่อให้ปรารถนาไปกี่ร้อยภพกี่ร้อยชาติ ก็จะเป็นเพียงแต่ความปรารถนาเท่านั้น เป็นเพียงจุดเริ่มต้น  เช่นปรารถนาจะมาวัดในวันนี้     ก็ต้องคิดก่อนว่าวันนี้อยากจะมาวัด  เมื่ออยากแล้วก็ทำในสิ่งที่ทำให้มาวัดได้   เตรียมตัวเตรียมข้าวเตรียมของ เมื่อถึงเวลาก็ออกจากบ้านเดินทางมา   ก็จะมาถึงวัดได้  แต่ถ้าอยากจะมาวัดเฉยๆ  พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ไม่อยากจะลุก อยากจะนอนต่อ ก็เลยไม่ได้มาวัด  ถ้านอนต่อป่านนี้ก็ยังไม่ตื่น  

 

ความปรารถนาจึงไม่ใช่เหตุที่จะพาให้ไปถึงที่หมายได้ เป็นจุดเริ่มต้นที่ต้องมาก่อน   ถ้าวันนี้ไม่คิดจะมาวัด ตื่นขึ้นมาก็ไม่รู้จะไปไหนดี ก็อาจจะไม่ได้ไปไหน ถ้ามีใครมาชวนให้ไปที่นั้นที่นี่ ก็อาจจะไปกับเขา   แต่ถ้าได้ตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้จะมาวัด ถึงแม้จะมีใครมาชวนให้ไปที่อื่น  ก็จะปฏิเสธ  เพราะได้ตั้งใจจะมาวัดแล้วนั่นเอง   ตั้งใจแล้วก็ต้องทำ  การตั้งใจในภาษาพระเรียกว่าอธิษฐานบารมี ให้อธิษฐานในเหตุ อย่าไปอธิษฐานในผล    อย่าอธิษฐานให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ เพราะการอธิษฐานขอไม่เป็นเหตุที่จะทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ  ต้องทำเหตุที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นมา  อยากจะได้ข้าวของก็ต้องไปที่ร้าน ไปซื้อมา   ถ้าอยู่ที่บ้านแล้วอธิษฐานขอให้สิ่งของต่างๆมา มันก็จะไม่มา ต้องไปซื้อที่ร้าน     ฉันใดถ้าอยากจะไปสู่ภพชาติที่ดี  ไปสู่สุคติ  ไปเกิดเป็นมนุษย์อยู่ทุกภพทุกชาติ เป็นเทพเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้า   ก็ต้องเจริญเหตุที่จะทำให้ได้ผลนั้น คือการสะสมบุญบารมีนี้เอง  ไม่ได้อยู่กับอะไร   อย่างที่พวกเราได้มาทำกันในวันนี้ เรากำลังสะสมบุญบารมี  จะอธิษฐานหรือไม่ก็ตาม  ขอหรือไม่ก็ตาม  ถ้าทำบุญอยู่เรื่อยๆแล้ว เมื่อตายไปก็จะไปเกิดที่ดีอย่างแน่นอน  จะปรารถนาหรือไม่ก็ตาม    เพราะการทำบุญเป็นเหตุให้ไปเกิดในที่ดีนั่นเอง  ไม่อยากติดคุกติดตะรางแต่ไปทำผิดกฎหมาย   ก็ต้องไปติด เพราะการทำผิดกฎหมายเป็นเหตุ  ถ้าไม่อยากจะติดคุกติดตะรางเราก็ต้องไม่ทำผิดกฎหมาย  ต้องเคารพกฎหมาย  นอกจากการมีความตั้งใจที่ดีแล้ว ก็ต้องทำดีด้วย  ไม่ตั้งใจเฉยๆ  อยากจะมาวัด พอถึงเวลาก็ไม่มา  อยากไปจนวันตายก็ไม่ได้มา

 

คนบางคนชอบพูดเสมอว่า ไม่ได้มาวัดเลย ไม่มีเวลา  จะมาได้อย่างไร   จะมีเวลาได้อย่างไร ถ้าไม่ตั้งใจจะมา  ไม่ให้เวลากับการมาวัด   เอาเวลาไปใช้อย่างอื่นหมด  เอาเวลาไปนอน  ไปเที่ยว  ไปทำอย่างอื่น  ก็ไม่ได้มาวัด ไม่ได้มาทำบุญ ไม่ได้สะสมบารมี ไม่ได้ในสิ่งที่อยากจะได้กัน  ได้แต่สิ่งที่ไม่อยากจะได้กัน ถ้าทำบาป ก็ต้องไปตกนรก เป็นเดรัจฉานเป็นต้น  จึงควรดูการกระทำของเราเสมอ ในแต่ละวัน  ในแต่ละเวลา ในแต่ละขณะ ว่ากำลังทำอะไรกันอยู่  กำลังทำบุญสะสมบารมี หรือกำลังทำบาปทำกรรม ทำสิ่งที่ไร้สาระ การกระทำของเรามี  ๓ ลักษณะด้วยกันคือ  ทำดี ทำชั่ว  ทำไม่ดีไม่ชั่ว  ทำดีก็จะได้ผลดี  ทำชั่วก็จะได้ผลชั่ว    ทำไม่ดีไม่ชั่ว ก็จะไม่ได้ผลดีหรือผลชั่ว  คือจะไม่ได้ไปไหน  เป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นต่อไป ถ้าอยากจะให้ชีวิตของเราดีขึ้น  มีความสุขมากขึ้น  มีความเจริญมากขึ้น  ก็ต้องทำความดี   ถ้าไม่ต้องการให้ชีวิตของเราตกต่ำลงเราก็ต้องไม่ทำความชั่ว เพราะหลักกรรมเป็นหลักตายตัว  จะเชื่อหรือไม่ ก็ไม่สามารถลบล้างความจริงของหลักกรรมได้     ถ้าปฏิบัติดีถึงแม้จะไม่เชื่อก็จะได้ผลดี    ถ้าปฏิบัติชั่วถึงแม้จะไม่เชื่อก็จะได้รับผลของความชั่วที่ทำไว้ จึงควรเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย เพราะได้สัมผัสได้พิสูจน์มาแล้วว่า ทำดีได้ดี   ทำชั่วได้ชั่วจริงๆ  ทำดีได้ไปเกิดที่ดี ไปสวรรค์ ไปพระนิพพาน ทำบาปทำกรรมก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในอบาย  ไปตกนรก  ไปเป็นเดรัจฉาน สลับกันไปสลับกันมาอยู่เรื่อยๆ เป็นความจริงที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ได้รู้ได้เห็นแล้วนำเอามาสั่งสอนพวกเรา ถ้าเชื่อเราก็จะได้กำไร  เพราะเมื่อเชื่อแล้วเราก็จะปฏิบัติตาม ถ้าไม่เชื่อเราก็จะขาดทุน จะไม่ได้รับประโยชน์จากพระศาสนา จากการได้มาเกิดเป็นมนุษย์

 

เพราะพระพุทธศาสนาและการได้เกิดเป็นมนุษย์นี้เท่านั้น ที่จะทำให้เราสามารถสร้างความดี สร้างบุญและกุศล  สร้างบุญบารมี ให้เราได้ไปสู่จุดสูงสุดของชีวิต  คือการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้  ไม่มีอย่างอื่นที่จะทำได้  ต้องมีทั้งศาสนาและการได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะถ้ามีศาสนาแต่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากศาสนา  เช่น  ได้มาเกิดเป็นสุนัข ได้มาอยู่ในวัด แต่จะไม่รู้เรื่องพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะไม่สามารถปฏิบัติได้  ไม่สามารถสะสมบุญบารมีได้   มีมนุษย์เท่านั้นในบรรดาสัตว์โลกทั้งหลาย ที่จะสามารถสะสมบุญบารมีได้  เป็นสัตว์เดรัจฉาน ไปตกนรก ก็สะสมบุญบารมีไม่ได้  ไปเกิดเป็นเทวดาก็ไม่ได้สะสมบุญบารมี  เพราะมัวแต่เสวยความสุข  เสวยอาหารทิพย์  มีความสุขอยู่กับอาหารทิพย์ต่างๆ  ก็เลยไม่สนใจที่จะสะสมบุญบารมี   มีมนุษย์นี้เท่านั้นที่จะมีโอกาส มีเวลาและมีสติปัญญา ที่จะรับรู้คำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนำเอาไปปฏิบัติได้ ภพชาติของมนุษย์จึงเป็นเหมือนกับปั๊มน้ำมัน  เป็นที่เติมน้ำมัน  เป็นที่เติมเสบียง  จิตใจที่ยังมีความโลภโกรธหลงอยู่ยังต้องเดินทาง  ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่   ถ้าต้องการไปที่ดี ไปด้วยความสุขความอิ่มหนำสำราญใจ   ก็ต้องแวะเติมน้ำมันเติมเสบียง  ถ้าไม่เติมก็เหมือนเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วไม่ทำบุญทำทาน รักษาศีล  ภาวนา ปฏิบัติธรรม  มัวแต่หาเงินหาทองแล้วก็เอาเงินทองไปกินไปใช้ไปเที่ยวไปดื่มไปหาความสุขจากกามารมณ์ จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ถึงแม้จะมีความสุขแต่ก็เป็นความสุขที่ไม่นาน  เป็นความสุขในขณะที่เสพ  พอไม่ได้เสพก็จะว้าวุ่นขุ่นมัวเบื่อหน่าย เศร้าสร้อยหงอยเหงา ต้องหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาเสพ เป็นเหมือนคนติดยาเสพติด  ไม่มีความสุขถ้าอยู่เฉยๆ  ต้องมีสิ่งนั่นสิ่งนี้มาบำรุงบำเรออยู่เรื่อยๆ 

 

แต่ถ้าได้ทำบุญอยู่เรื่อยๆ ได้ทำทาน รักษาศีล ภาวนา ก็จะมีบุญหล่อเลี้ยงจิตใจ  ทำให้มีความอิ่มหนำสำราญใจ  ไม่ต้องไปหาสิ่งนั่นสิ่งนี้มาให้ความสุข  มาบำรุงบำเรอจิตใจ  เพราะบุญและกุศลเป็นอาหารที่แท้จริงของใจ   สิ่งอื่นไม่ใช่อาหาร ต่อให้ได้มามากน้อยเท่าไร  ได้เสพมากน้อยเพียงไร ก็จะไม่อิ่มหนำสำราญใจ  ได้แต่เพลิดเพลินไปขณะหนึ่งเท่านั้นเอง  แล้วก็เหลือแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว ต้องเสพอยู่เรื่อยๆ  เกิดเป็นมนุษย์จึงควรรีบขวนขวายสะสมบุญบารมีให้มากๆ เพราะมีเวลาไม่มาก ไม่รู้ว่าจะอยู่ถึงอายุเท่าไร  บางคนก็อยู่ไปถึงร้อยกว่า  บางคนอายุไม่กี่ปีก็ตายไปแล้ว  จะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ เพราะอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน  โลกของอนิจจัง  ถ้าร่างกายเกิดพิการไปก็จะไม่สามารถทำบุญสะสมบารมีได้เท่าที่ควร ในขณะที่มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง จึงควรทำบุญให้มากๆ สะสมบารมีให้มากๆ  เพราะไม่มีอะไรเป็นสมบัติที่แท้จริง ที่เราจะพึ่งพาอาศัยได้  ไม่ว่าจะเป็นในภพนี้หรือในภพต่อๆไป  มีบุญบารมีเท่านั้นที่เราจะพึ่งพาอาศัยได้อย่างแท้จริง เพราะบุญบารมีจะคุ้มครองปกป้องรักษาใจ ไม่ให้ถูกความทุกข์ต่างๆเหยียบย่ำทำลาย ถ้ามีบุญบารมีสมบูรณ์แล้ว เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลาย ก็จะไม่มีความทุกข์มาเหยียบย่ำทำลายจิตใจเลย เพราะมีเกราะคุ้มกัน เหมือนเกราะป้องกันกระสุน เวลาถูกปืนยิงก็จะยิงไม่เข้า จิตใจที่ได้สะสมบุญบารมีแล้วก็จะมีเกราะคุ้มกัน   ถ้ามีบุญบารมีมากก็จะคุ้มกันได้มาก   ถ้ามีน้อยก็คุ้มกันได้น้อย เหมือนกับประกันภัย    ถ้าซื้อประกันภัยราคาไม่มากก็คุ้มครองไม่ได้มาก  ถ้าราคามากๆก็จะคุ้มครองได้มาก บุญบารมีจึงเป็นเหมือนกับประกันภัย  ประกันความทุกข์ของจิตใจ จึงไม่ควรนิ่งนอนใจ ผัดวันประกันพรุ่ง คิดว่าพรุ่งนี้จะเป็นเหมือนวันนี้ เพราะไม่มีใครรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์อาจจะดับไปก็ได้  แผ่นดินอาจจะไหวก็ได้   น้ำอาจจะท่วมก็ได้    มีอะไรต่างๆเกิดขึ้นได้มากมาย  ไม่เป็นเหมือนวันนี้เสมอไป   

 

วันนี้เรามีโอกาสจึงควรรีบตักตวงบุญบารมีเสีย ถ้าไม่มีธุระอย่างอื่นที่จำเป็นต้องทำ ก็อย่าให้หมดเวลาไปกับเรื่องไร้สาระ  เช่นไปเที่ยวไปดื่มไปกินไปหาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย  ที่ทางศาสนาเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ  คนที่จะบวชในพุทธศาสนาต้องละสิ่งเหล่านี้ให้ได้ เพราะไม่ใช่เหตุที่จะทำให้จิตใจเจริญรุ่งเรือง    มีแต่จะฉุดลากเหนี่ยวรั้ง ไม่ให้พบกับความสุขที่แท้จริง  คนที่ยังติดอยู่กับเรื่องกินเรื่องนอนเรื่องเที่ยวเรื่องอะไรต่างๆ จะไม่สามารถมาอยู่วัดถือศีล  ๘ หรือมาบวชได้  เพราะจิตใจยังผูกพันอยู่กับกามารมณ์ต่างๆ  ผูกพันกับความสุขที่ไม่ใช่เป็นความสุขที่แท้จริง เป็นความสุขที่มีความทุกข์ซ่อนเร้นอยู่   เป็นเหมือนกับเหยื่อที่ติดอยู่ปลายเบ็ด  ถ้าฮุบเหยื่อที่ติดอยู่ปลายเบ็ด ก็จะต้องถูกเบ็ดเกี่ยวคอ ฉันใดถ้ายังยินดีกับกามสุข ที่ได้จากการได้ดูได้ฟังได้กินได้ดื่ม ก็จะต้องติดอยู่กับสิ่งเหล่านี้ไปตลอด จะกลายเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้ไป   อยู่ไปวันๆหนึ่งก็อยู่เพื่อสิ่งเหล่านี้ แต่จิตใจไม่ได้เจริญก้าวหน้าเลย ไม่ได้บุญบารมีเพิ่มเติมเลย   ไม่ได้ศีล ไม่ได้ทาน  ไม่ได้ภาวนาเพิ่มเติมเลย ก็จะเสียชาติเกิด ไม่ได้อะไรติดตัวไปเลย  เพราะสิ่งต่างๆที่หาได้ในโลกนี้ เมื่อตายไปแล้วก็ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ เอาติดตัวไปไม่ได้  เอาไปได้แต่ความหิวความอยาก กับรูปกับเสียงกับกลิ่นกับรสกับโผฏฐัพพะต่างๆ เพราะทำจนติดเป็นนิสัย  ถ้ามีความอยากก็จะมีแต่ความหิวความกระหาย ตายไปก็ไปเกิดเป็นเปรตเป็นผี เพราะไม่มีอาหารหล่อเลี้ยงจิตใจ  ไม่มีบุญกุศลหล่อเลี้ยงจิตใจ   จึงไม่ควรประมาทนอนใจ  ควรเห็นคุณค่าของพระพุทธศาสนา  เห็นคุณค่าของการได้มาเกิดเป็นมนุษย์เพราะไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมๆกันเสมอ  

 

การเกิดเป็นมนุษย์ก็ลำบากยากเข็ญอยู่แล้ว ไม่ได้เกิดทุกภพทุกชาติ  ตายจากชาตินี้ไปอาจจะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน  ไปตกนรก  ไปเป็นเปรต ไปเป็นเทพ  เป็นพรหมก่อน  แล้วค่อยกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย นานๆจะเกิดขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง  ช่วงว่างระหว่างพระศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ก็ห่างกันเป็นกัปเป็นกัลป์  เป็นเวลาที่ยาวนานจนไม่สามารถนับได้ว่า  ทรงเปรียบเวลาของกัปหนึ่งว่า เหมือนทุกร้อยปีเอาผ้าไปลูบภูเขาหิมาลัย  ๑ ครั้ง   ทุกๆ ๑๐๐ ปีก็ไปเอาผ้าไปลูบ  ๑  ครั้ง  ทำอย่างนี้ไปจนกว่าภูเขาจะสึกหายไปหมด  จึงจะได้เวลา ๑ กัป ๑ กัลป์ คิดดูซิว่าจะนานสักแค่ไหน   ขณะลูบทุกวันทุกคืนยังไม่สึกหรอเลย แล้วทุก ๑๐๐ ปีถึงจะมาลูบเพียง  ๑ ครั้ง  แล้วเมื่อไรจะสึกหายไปหมดได้   จึงเป็นเวลาอันยาวนานมาก   คราวหน้าเมื่อได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็อาจจะไม่ได้เจอกับพระพุทธศาสนา เมื่อไม่ได้เจอก็จะไม่รู้เรื่องบุญบารมี  เรื่องเวียนว่ายตายเกิด  ไม่รู้เรื่องการทำให้การเวียนว่ายตายเกิดหมดสิ้นไป ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น  ไปทุกข์ทรมานกับการเกิดแก่เจ็บตาย การพลัดพรากจากกัน ชาตินี้เรามีบุญมีวาสนามาก ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์และได้เจอพระพุทธศาสนา ถ้าปฏิบัติตามก็จะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดไปได้  ถ้ายังไม่หลุดพ้นก็จะได้สะสมบุญบารมีที่จะพาให้ไปสู่ที่ดี  ไปรอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป   เพื่อจะได้ปฏิบัติต่อจนได้บรรลุ  ไม่ต้องไปตกนรก เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรตเป็นผี  เพราะบุญบารมีจะป้องกันไม่ให้ไปเกิดในอบาย   ทำบุญจึงมีแต่ได้เสมอ  จึงควรเห็นคุณค่า อย่าปล่อยให้เวลาที่มีค่านี้ผ่านไป  มีเวลาว่างก็ให้รีบทำบุญสะสมบุญบารมีกัน  ถ้าไม่ได้มาวัดก็ทำที่ไหนก็ได้  เห็นใครเดือดร้อนพอที่จะช่วยเหลือได้ก็ช่วยเหลือกันไป  อยากจะได้อะไรก็หามาด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  อย่าไปทำผิดศีลผิดธรรม  ก็มีศีลแล้ว  อยู่ที่บ้านก็ฟังเทศน์ฟังธรรมได้  ไหว้พระสวดมนต์ได้ นั่งสมาธิได้เหมือนกัน ถ้าไม่มีเวลามาวัดก็ทำที่บ้าน ทำได้เสมอ ไม่ขึ้นกับกาลและสถานที่ เรื่องการทำบุญทำกุศล  ขึ้นอยู่กับความศรัทธาความพากเพียรเท่านั้น  ถ้ามีศรัทธามีความพากเพียรแล้ว จะสามารถทำบุญสะสมบารมีได้ตลอดเวลา  ได้ทุกสถานที่  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้