กัณฑ์ที่ ๓๑๓       ๗ เมษายน ๒๕๕๐

 

สมบัติของใจ

 

 

 

วันนี้เป็นวันดี เพราะท่านทั้งหลายได้มาประกอบความดีกัน มาทำบุญทำกุศล ละเว้นจากการทำบาป ชำระกายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์ การทำความดีไม่ได้ขึ้นกับกาลกับเวลา ไม่ได้ขึ้นกับสถานที่ อยู่ที่กายวาจาใจเป็นหลัก อยู่ที่ไหนก็มีกายวาจาใจ จึงสามารถทำความดีได้เสมอ ไม่ต้องรอวันเกิด วันขึ้นปีใหม่ วันเทศกาลสำคัญๆ เพราะจะไม่พอเพียง ควรทำอย่างสม่ำเสมอ ทำให้มากเท่าไหร่ได้ยิ่งดี เพราะมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์กับชีวิตและจิตใจ นำมาซึ่งความร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญรุ่งเรือง การทำอย่างอื่นแม้จะได้มามากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะไม่มีคุณค่าเหมือนกับการทำความดี เพราะความดีเป็นสมบัติคู่กับใจ เป็นสมบัติของใจ เป็นทรัพย์ภายใน ที่จะอยู่กับใจไปตลอด ไม่มีใครสามารถแย่งหรือขโมยไปได้ เพราะอยู่ภายในใจ ต่างกับสมบัติภายนอกที่ไม่แน่เสมอว่าจะอยู่กับเราไปตลอด ถ้าเผลอวางไว้เดี๋ยวก็หายไปได้ หรือแม้จะเก็บไว้อย่างดี ใส่กุญแจไว้อย่างดี ก็ยังถูกขโมยไปได้ ไม่ได้ให้ความสุขความอิ่มเอิบใจเหมือนกับสมบัติภายใน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ แต่สมบัติภายในจะไปกับเรา จะส่งให้ไปสู่ที่ดี ร่มเย็นเป็นสุข บริบูรณ์ด้วยทรัพย์และสิ่งต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ จึงควรให้ความสำคัญต่อการทำความดียิ่งกว่าการทำสิ่งอื่นๆ ถ้ามีความจำเป็นต้องทำก็ทำพอประมาณ พอกับความจำเป็นของร่างกาย ที่ไม่ต้องการอะไรมากนัก นอกจากปัจจัย ๔ คือที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่มและอาหาร ถ้ามีพอเพียง สามารถอยู่ได้ ไม่ขัดสนไม่ลำบากลำบน ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว อย่าไปหลงกับการหาปัจจัย ๔ ที่ละเอียด ที่มีราคาแพงๆ เพราะไม่ได้ทำให้ดีกว่าการดูแลร่างกายด้วยสิ่งของที่มีราคาถูก เพราะทำหน้าที่ได้เหมือนกัน

 

จะรับประทานอาหารมื้อละร้อยบาท หรือมื้อละห้าร้อยก็อิ่มเหมือนกัน ทำให้ร่างกายอยู่ต่อไปได้เหมือนกัน เสื้อผ้าที่ใส่จะมีราคาชุดละสองสามร้อยหรือจะชุดละสองสามพัน ก็ทำหน้าที่ปกปิดอวัยวะต่างๆของร่างกาย ป้องกันไม่ให้แมลงสัตว์กัดต่อยได้เหมือนกัน จึงไม่ควรเสียเวลากับการหาสิ่งที่มีราคาแพงๆ เพราะของยิ่งแพงเท่าไหร่ก็ต้องเสียเวลาหาเงินมากเท่านั้น จะไม่มีเวลาทำความดี ให้อยู่แบบสมถะเรียบง่าย เล็งประโยชน์ของสิ่งที่หามา อย่าไปเล็งที่ความสวยงาม ตามรสนิยม ถ้าเป็นอย่างนั้นจะลำบาก เพราะรสนิยมเป็นของพวกที่ไม่มีปัญญา จะหลงใหลกับสิ่งของที่มีราคาแพงๆ เพราะคิดว่าจะต้องวิเศษ เมื่อนำเอามาใช้ก็จะวิเศษด้วย จะวิเศษเฉพาะในสายตาของคนที่มีความหลงเท่านั้น ถ้าขับรถกระบะจะไม่มีใครมอง แต่ถ้าขับรถราคาสิบล้านขึ้นไป จะมีแต่คนจ้องมอง เพราะหลงทั้งนั้น ดูที่รถไม่ได้ดูที่คน คนฉลาดมีปัญญาจะไม่ดูที่รถ จะราคาสิบล้านหรือแสนสองแสนก็เป็นเพียงรถ เป็นพาหนะที่จะพาให้ไปจากจุดหนึ่งไปสู่อีกจุดหนึ่งเท่านั้น รถราคาหนึ่งแสนหรือราคาสิบล้านก็พาไปได้เหมือนกัน แต่คนที่มีความหลงพอเห็นใครขับรถราคาสิบล้าน หูตาจะลุกวาวขึ้นมา ด้วยความโลภความอยากได้ เห็นเขามีก็อยากจะมีเหมือนเขา คิดว่าเมื่อมีแล้วจะวิเศษ แต่ถ้าใจมีแต่บาปกรรม ไม่คำนึงถึงศีลธรรม ทำตามความอยาก เบียดเบียนสร้างความทุกข์ความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ปรารถนา ก็จะไม่วิเศษอย่างไร จะเป็นคนต่ำทราม ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย ไม่มีใครอยากจะคบค้าสมาคมกับคนที่ไม่ซื่อสัตย์สุจริต ฉ้อโกง โกหกหลอกลวง เพราะจะมีแต่ความเสียหายตามมาอย่างแน่นอน เอารัดเอาเปรียบ หลอกได้ก็จะหลอก

 

จึงไม่ควรไปหลงติดอยู่กับของแพงๆ ไม่ได้วิเศษวิโสอะไร แพงเพราะหายาก มีคนต้องการมาก ก็เลยแย่งกันซื้อ เช่นเพชรนิลจินดาก็เป็นเพียงวัตถุเท่านั้นเอง เหมือนก้อนดินก้อนอิฐก้อนกรวดก้อนทราย ต่างกันตรงที่มีจำนวนน้อยหาได้ยาก มีคนอยากได้มาก ก็เลยมีราคาแพง ส่วนก้อนอิฐก้อนกรวดก้อนทรายมีมาก หาได้อย่างง่ายดาย จึงมีราคาถูก เสื้อผ้า อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคก็เช่นเดียวกัน แพงหรือไม่แพงก็ทำหน้าที่ดูแลรักษาร่างกายให้อยู่ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่จะทำให้วิเศษวิโสเราไม่ค่อยสนใจหากัน เพราะถูกความหลงคอยกีดกัน เราจึงต้องเข้าหาผู้รู้เช่นพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย ที่รู้จริงเห็นจริงถึงสิ่งที่ดีที่เลิศที่ประเสริฐ ถ้าได้เข้าหาแล้ว ก็จะได้รู้ว่าอะไรมีคุณค่า ที่จะทำให้เราวิเศษวิโส ก็คือบุญกุศลการกระทำความดีต่างๆนั้นเอง เพราะจะทำให้ร่มเย็นเป็นสุข อิ่มเอิบใจ เจริญก้าวหน้า จิตใจของคนที่ทำความดีกับคนที่ไม่ทำความดีมีคุณค่าต่างกัน พวกเราไม่ยกย่องสรรเสริญคนที่ไม่ทำความดี ยกย่องสรรเสริญแต่คนที่ทำความดีกัน เพราะคนทำความดีมีแต่ทำคุณทำประโยชน์ ไม่ทำความเดือดร้อนให้กับใคร กับผู้อื่นหรือกับตนเอง คนที่ไม่ทำความดีจะไม่ได้ทำคุณทำประโยชน์ ทำความร่มเย็นเป็นสุขให้กับตนเองและผู้อื่น การทำความดีจึงเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าสิ่งต่างๆในโลกนี้ จึงไม่ควรมองข้ามการทำความดีไป ถ้าอยากจะเป็นเศรษฐีที่แท้จริง มีทรัพย์ที่แท้จริง ก็ต้องสะสมความดี เพราะความดีนี้แลคือทรัพย์ที่แท้จริง เป็นทรัพย์ภายในใจ สะสมได้มากเท่าไหร่ เราก็จะมีคุณค่ามากเท่านั้น

 

เช่นพระพุทธเจ้าของพวกเรา ทรงสละทรัพย์ภายนอกที่ทรงเห็นว่าไม่มีคุณค่าอะไร มีแต่สร้างความทุกข์ความกังวลความวุ่นวายใจ จึงได้ทรงสละทรัพย์ภายนอกแล้วก็มุ่งสะสมทรัพย์ภายใน ตั้งอยู่ในศีลธรรมความดีงาม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ระงับดับความโลภความโกรธความหลงต่างๆ ที่มีอยู่ในจิตในใจให้หมดไป เมื่อทำได้แล้วจิตใจของพระองค์ก็ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความดี ความบริสุทธิ์ใจนี้แลคือความดีที่แท้จริง เป็นสมบัติที่แท้จริง เพราะเมื่อบริสุทธิ์แล้วจะมีความสุขเต็มที่ มีความอิ่มมีความพอเต็มที่ ไม่ต้องการอะไรอีกต่อไป ตลอดอนันตกาล ไม่ต้องไปหาสิ่งนั้นมาเพิ่มมาเติม ต่างกับจิตใจของพวกเรา ไม่ว่าจะได้อะไรมามากน้อยเพียงไร ก็ยังไม่พอไม่อิ่มสักที ต้องคอยหามาเพิ่มมาเติมอยู่เรื่อยๆ ไปตลอดอนันตกาลเช่นเดียวกัน  เพราะไม่ได้เป็นวิธีเติมความอิ่มความพอความสุขที่เลิศที่ประเสริฐให้กับจิตใจนั่นเอง ถ้ายังไปแสวงหาสิ่งต่างๆภายนอกมาเติมให้กับจิตใจ เช่นลาภยศสรรเสริญสุข เติมมามากน้อยเพียงไรก็ตาม เป็นมหาเศรษฐีระดับไหนก็ตาม มีฐานะสูงขนาดไหนก็ตาม มีคนยกย่องสรรเสริญเยินยอมากน้อยเพียงไรก็ตาม มีความสุขที่ได้จากการสัมผัสรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ มากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็จะไม่ทำให้จิตใจมีความอิ่มมีความพอ มีความสุขอย่างแท้จริง มีแต่การทำความดีเท่านั้นที่จะทำได้ ตามแบบฉบับที่พระบรมศาสดาของพวกเราได้ดำเนินมา แล้วนำเอามาเผยแผ่สั่งสอน ถ้าเชื่อแล้วน้อมเอามาปฏิบัติ ก็จะได้รับผลเช่นเดียวกัน เพราะการทำความดีและผล ไม่ได้ขึ้นกับกาลกับเวลาสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นในสมัยพุทธกาลก็ดี หรือในสมัยปัจจุบันนี้ก็ดี การทำความดียังให้ผลดีเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงได้รับ คือความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจ ความสุขสุดยอด ที่เรียกว่าปรมังสุขัง  ความอิ่มความพอไปตลอดอนันตกาล

 

ไม่เหนือวิสัยของพวกเราที่จะทำกันได้ ถ้าเหนือวิสัยแล้วจะไม่ทรงเสียเวลามาสั่งสอน สั่งสอนไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร สอนไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถทำตามได้ แต่ทรงเห็นว่าพวกเราก็เป็นเหมือนพระองค์ ก่อนที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เป็นเป็นปุถุชนคนธรรมดา มีความโลภความโกรธความหลงเหมือนกัน แต่เมื่อมีความขยันหมั่นเพียร มุมานะกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ต้องทำ ลดละตัดสิ่งต่างๆทั้งหลายที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  ปฏิบัติรักษากายวาจาใจให้สะอาดบริสุทธิ์  ก็จะสามารถบรรลุถึงขั้นที่พระพุทธเจ้าได้บรรลุถึงได้ อยู่ในวิสัยของมนุษย์อย่างพวกเราทุกๆคน เพราะมีมนุษย์อย่างพวกเราที่ได้ปฏิบัติได้ทำกันมาแล้ว ได้กลายเป็นพระอรหันตสาวกขึ้นมาแล้ว เป็นจำนวนมากมายก่ายกองนับไม่ถ้วน ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้ มีผู้น้อมเอาคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติ ด้วยความกล้าหาญอดทน ด้วยความขยันหมั่นเพียร จนได้บรรลุผลเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุ มีเป็นจำนวนมาก เป็นพระอริยสงฆสาวกที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย ที่พวกเรายึดถือเป็นสรณะเป็นที่พึ่ง เป็นผู้ยืนยันว่า พวกเราอยู่ในวิสัยที่จะประพฤติปฏิบัติ ที่จะบรรลุถึงผลที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุถึงอย่างแน่นอน เพียงแต่ขอให้มีศรัทธาความเชื่อ มีฉันทะความยินดี มีวิริยะความพากเพียร ที่จะปฏิบัติตามอย่างสม่ำเสมอ อย่างต่อเนื่องเท่านั้น ขอให้ทำไป อย่าไปคิดว่าไม่มีบุญไม่มีวาสนา เพราะไม่มีใครจะมีบุญมีวาสนามากเท่ากับพวกเราแล้ว การที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ได้เจอพระพุทธศาสนาในขณะเดียวกันนี้ เป็นบุญวาสนาเต็มร้อยแล้ว ไม่มีบุญวาสนาอย่างอื่นที่จะมีมากเท่านี้แล้ว เป็นโอกาสทองอันประเสริฐ ที่จะตักตวงผลประโยชน์จากพระพุทธศาสนาได้อย่างเต็มที่ ตายไปแล้วจะไม่มีโอกาสอย่างนี้อีก ที่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์และได้มาเจอพระพุทธศาสนาอีก

 

เพราะคราวหน้ากว่าจะกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ อาจจะอีกหลายพันปีก็ได้ เพราะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นอย่างอื่นก่อน ไปตกนรกบ้าง ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้างถ้าทำบาป ถ้าได้ทำบุญไว้ก็ไปเกิดเป็นเทพบ้างเป็นพรหมบ้าง ก็จะหมดเวลาไปกับการเวียนว่ายตายเกิดในภพเหล่านั้น เมื่อได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก พระพุทธศาสนาก็อาจจะหายไปจากโลกนี้แล้ว จะไม่มีใครรู้เรื่องพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญเพื่อบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ในสมัยนั้นไม่มีพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆหลงเหลืออยู่เลย พระองค์จึงต้องคลำหาทางเอง หาธรรมะเอง จึงต้องเสียเวลาและลำบากลำบนอย่างยิ่ง กว่าจะได้พบกับทางหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเป็นพวกเรารับรองได้ว่าจะไม่มีทางปฏิบัติให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้เลย ถ้าไม่มีครูสอน เพราะขนาดมีครูสอนอยู่ทุกวันก็ยังไม่ทำกันเลย ถ้าไม่มีครูสอนจะทำได้อย่างไร ขอให้เราคิดให้ดีว่าความสุขของเราอยู่ตรงไหน อยู่ตรงลาภยศสรรเสริญสุข หรืออยู่ที่การทำความดี ถ้าเลือกเอาความสุขที่ได้จากลาภยศสรรเสริญสุข ก็จะมีความทุกข์ตามมา เพราะเป็นของไม่เที่ยง ที่จะต้องหมดไป ต้องจากไปไม่ช้าก็เร็ว เมื่อถึงเวลาเสื่อมหมดไปหรือเราจากมันไป ก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ มีความทุกข์เป็นอย่างมาก ถ้าเลือกเอาความสุขภายในใจที่เกิดจากการทำความดี เราจะมีแต่ความสุขไปตลอดเวลา ไม่จากไปจากใจ อยู่กับใจไปตลอด นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเลือก จะเอาความสุขแบบไหน ความสุขที่มีความทุกข์ก็เหมือนกับเหยื่อที่ติดปลายเบ็ด หรือจะเอาเหยื่อที่ไม่มีเบ็ดห้อยติดอยู่ด้วย ให้เลือกเอา ถ้าเลือกฮุบเอาเหยื่อที่ติดอยู่ปลายเบ็ด เบ็ดก็ต้องเกี่ยวปากเกี่ยวคอ ถ้าเลือกเอาเหยื่อที่ไม่มีเบ็ดติดอยู่ ก็จะเป็นอาหารล้วนๆ

 

ฉันใดความสุขทางโลกกับความสุขทางธรรมก็เป็นอย่างนี้ ความสุขทางโลกมีความทุกข์คลุกเคล้าไปด้วย ส่วนความสุขทางธรรมที่เกิดจากการทำความดี ละเว้นการทำบาป ชำระความโลภความโกรธความหลงให้หมดไปจากจิตจากใจ เป็นความสุขที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีความทุกข์เจือปนเลย เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้มาเป็นสมบัติ แล้วนำเอามาสั่งสอนพวกเรา ชักชวนพวกเราให้ไปสู่ความสุขแบบนี้ ถ้าคิดสักหน่อยใช้ปัญญาสักหน่อย ก็จะเห็นว่า เป็นความสุขที่ดีที่สุด ระหว่างความสุขเพียงไม่กี่ปีกับความสุขตลอดอนันตกาล จะเลือกเอาอย่างไหน เหมือนให้เลือกระหว่างเงิน ๑ บาท กับเงิน ๑ ล้านบาท จะเลือกเอาเงินอย่างไหน จะเอา ๑ บาท หรือจะเอา ๑ ล้านบาท คนฉลาดย่อมเอาเงิน ๑ ล้านบาทอย่างแน่นอน ฉันใดคนฉลาดก็จะเลือกเอาความสุขที่มีอยู่กับตนไปตลอดอนันตกาลอย่างแน่นอน ถ้ายังโง่อยู่ก็จะเลือกเอาความสุขที่มีความทุกข์เจือปน ที่ไม่ยาวนาน เพียงไม่กี่ปีก็ต้องตายจากโลกนี้ไปแล้ว ความสุขต่างๆที่ได้สะสมมาก็จะต้องหมดไป นี่คือการดำเนินชีวิต การเดินทางของพวกเรา เราได้มาถึงทางแยกแล้ว จะไปทางไหนดี จะไปทางธรรมหรือจะไปทางโลก ไม่มีใครบังคับเราได้ เราจะต้องตัดสินใจเอง ต้องรับผลของการตัดสินใจ เวลาที่มีความทุกข์มีความเศร้าโศกเสียใจก็อย่าไปโทษใคร โทษตัวเราเองที่เลือกทางนี้ ไม่มีใครบังคับเรา ให้คิดพินิจพิจารณาให้ดี เปรียบเทียบให้ดี ระหว่างทางที่พระพุทธเจ้าได้ดำเนินไป กับทางที่พวกเราดำเนินอยู่นี้ ทางไหนจะวิเศษกว่ากัน ทางไหนจะดีกว่ากัน ขอให้เลือกทางที่ดี จะได้พบกับสิ่งที่ดีงาม จึงขอฝากเรื่องการทำบุญทำทาน การทำความดีตลอดเวลา ทุกกาลสถานที่ ไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้