กัณฑ์ที่ ๓๑๔       ๘ เมษายน ๒๕๕๐

 

เสริมสิริมงคล

 

 

 

วันนี้พวกเราผู้มีความเชื่อมั่น ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้มาวัดเพื่อมาเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต   ตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอน  ด้วยการบูชาพระรัตนตรัย   ถวายอาหารคาวหวาน ถวายสังฆทาน ให้กับพระภิกษุสามเณร รักษาศีล ๕  ศีล ๘  ฟังเทศน์ฟังธรรม นั่งสมาธิ   เจริญวิปัสสนา ไม่ได้เสริมสิริมงคลด้วยการไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปเล่นการพนัน ไปเสพสุรายาเมา ที่จะทำให้ชีวิตเสื่อมลงต่ำลงไปเรื่อยๆ เพราะพระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้เห็นแล้ว ถึงเหตุที่จะเสริมมงคลให้แก่ชีวิต และเหตุที่จะนำความอัปมงคลทั้งหลายมาให้เรา    ถ้าทำในสิ่งที่ทรงสั่งสอนให้ทำ ละเว้นจากสิ่งที่ทรงสั่งสอนให้ละเว้น ก็จะมีแต่ความเจริญก้าวหน้า มีแต่สิริมงคล แต่ถ้าเดินสวนทางกับพระธรรมคำสอน ก็จะไม่เป็นมงคล สอนให้มาวัดก็ไปบ่อนการพนัน ให้ทำบุญก็ไปซื้อของฟุ่มเฟือย ให้รักษาศีลก็ไปยิงนกตกปลา  ถ้าทำอย่างนี้แล้วต่อให้อยากได้สิริมงคลมากน้อยเพียงไร ก็จะเป็นเพียงแต่ความอยาก  จะไม่ได้สิริมงคลเลย  เพราะจะเกิดขึ้นจากการกระทำตามพระธรรมคำสอนเท่านั้น ถ้าเดินเข้าหาไฟก็ต้องถูกไฟเผา  ถ้าเดินเข้าหาร่มไม้ก็จะได้รับความร่มเย็น จึงต้องดูการกระทำของเราเป็นหลัก   ดูการกระทำทางกายทางวาจาและทางใจ ว่ากำลังคิดอะไร พูดอะไร ทำอะไร  เป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้คิดให้พูดให้ทำหรือเปล่า  ถ้ามีสติเฝ้าดูการกระทำอย่างสม่ำเสมออย่างต่อเนื่อง จะรู้ทันทีเวลาคิดอยากจะไปเที่ยว ไปเล่นการพนัน ไปเสพสุรายาเมา ไปซื้อของฟุ่มเฟือยต่างๆ จะรู้ว่าไม่ใช่ความคิดที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้คิด   ก็จะเลิกคิด  คิดตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ให้เข้าวัด  ทำบุญให้ทาน รักษาศีล  ฟังเทศน์ฟังธรรม เพราะจะนำความเป็นสิริมงคลมาให้แก่เรา   ไม่มีอย่างอื่น อยู่ที่การกระทำทางกายวาจาใจตามพระธรรมคำสอนเท่านั้น  

 

ถ้าไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้คิดให้พูดให้ทำอย่างไร  ก็ต้องหมั่นศึกษาด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม  เวลาฟังเทศน์ก็ตั้งใจฟังให้ดี ไม่ไปคิดถึงเรื่องต่างๆ  เพราะจะไม่รู้ว่ากำลังฟังอะไรอยู่    การฟังธรรมต้องมีสติรับรู้กระแสธรรม ที่มาสัมผัสกับหูแล้วเข้าไปสู่ใจ  ถ้าฟังด้วยสติ   ด้วยการใคร่ครวญ พิจารณาตาม ก็จะเกิดปัญญาความฉลาด รู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว แต่ถ้าสักแต่ว่าฟัง ร่างกายฟังอยู่ แต่ใจไปอยู่แถวบาร์ แถวไนต์คลับ  แถวสถานเริงรมย์ต่างๆ  ฟังไปอีกร้อยชาติก็ไม่เกิดความฉลาดขึ้นมา   ต้องฟังด้วยสติ มีการรับรู้อยู่ตลอดเวลา คิดพิจารณาตามเหตุตามผล ก็จะได้ประโยชน์จากการฟังธรรม  ดังที่ทรงตรัสไว้ว่า  กาเลน ธัมมัสสวนัง เอตัมมัง กลมุตตมัง   การฟังธรรมตามกาลตามเวลา เป็นมงคลอย่างยิ่งแก่ชีวิต เพราะเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจะได้รู้เรื่องที่ไม่รู้มาก่อน เรื่องผิดถูกดีชั่ว   ถ้าเสพสุรายาเมา  เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ ก็แสดงว่ายังไม่รู้เรื่องผิดถูกดีชั่ว ยังเห็นผิดเป็นชอบอยู่ เห็นว่าการกระทำที่ได้กล่าวมานี้ไม่เสียหายอย่างไร ไม่มีผลร้ายตามมา      แต่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นอย่างแจ้งชัดว่า การกระทำเหล่านี้จะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย ความทุกข์ความหายนะ   ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต   ในปัจจุบันจิตใจจะมีแต่ความรุ่มร้อนวุ่นวาย  ตายไปก็ไม่ได้ไปเกิดในสุคติ  ไม่ได้ไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม  เป็นพระอริยเจ้า แต่ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นผีบ้าง ไปตกนรกบ้าง เพราะจิตใจได้เสื่อมจากความเป็นมนุษย์ จากความเป็นเทพ  จากความเป็นพระอริยเจ้าไปแล้ว   ถ้าไม่อยากไปเกิดเป็นสุนัข   เป็นแมว เป็นนก เป็นกา เป็นมด เป็นสัตว์ต่างๆ ก็ต้องละเว้นการกระทำบาป ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี   พูดปดมดเท็จ  เสพสุรายาเมา 

 

ถ้าไม่อยากให้ชีวิตของเราถูกดึงไปสู่ความเสื่อมเสีย สู่การทำบาปทำกรรม ก็ต้องหักห้ามใจ ไม่ให้ไปเที่ยวมากจนเกินไป  ไปเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว ไปคบคนชั่วเป็นมิตร เพราะเมื่อทำแล้วก็จะไปทำบาปทำกรรม ถ้าเที่ยวจนไม่มีเงินเหลือแต่ยังอยากจะเที่ยวอีก เพราะยิ่งเที่ยวมากเท่าไร ยิ่งอยากจะเที่ยวมากขึ้นไปเท่านั้น ก็ต้องหาเงินด้วยวิธีต่างๆ ถ้าหาด้วยวิธีสุจริตไม่ได้  ขอพ่อขอแม่ไม่ได้  ขอยืมไม่ได้ ก็จะไปลักขโมย ไปปล้นไปจี้  ถ้าพบคนชั่วเป็นมิตรก็จะชวนให้ไปทำบาปทำกรรม  เพราะคนชั่วทำความดีไม่เป็น  ทำบุญไม่เป็น รักษาศีลไม่เป็น เข้าวัดไม่เป็น   มีแต่คนดีที่จะเข้าวัด ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม เราจึงต้องรู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะฉุดลากให้ไปสู่ความเสื่อม    สู่ความทุกข์ จะได้หลีกเลี่ยง  เพราะเป็นเหมือนกองไฟ ถ้ามีคนจะลากเราเข้ากองไฟ เราก็ไม่ไปอย่างแน่นอน เพราะรู้ว่าจะถูกไฟเผาไหม้เป็นเถ้าถ่านไป   ฉันใดบาปกรรมก็ดี  อบายมุขต่างๆก็ดี  ก็เป็นเหมือนกองไฟของจิตใจ ที่จะทำให้จิตใจมีแต่ความรุ่มร้อนความวุ่นวาย   หาความสุขความอิ่มความพอไม่ได้ ต่างกับความดี บุญและกุศล  สิ่งที่เป็นสิริมงคลทั้งหลาย ที่ทำให้อิ่มหนำสำราญใจ  สุขสดชื่นเบิกบาน  ถ้าทำแล้วจะรู้เพราะไม่ได้เป็นสิ่งที่ลี้ลับอย่างไร ทุกคนสามารถพิสูจน์กันได้ ขอให้ทำให้ถูกและทำให้มากเท่านั้นเอง  ถ้าทำไม่ถูกและทำไม่มากก็จะไม่เห็นผล เช่นนานๆจะมาวัดสักครั้งหนึ่ง  นานๆจะฟังเทศน์สักครั้งหนึ่ง แล้วก็ฟังไม่ถูก ไม่ได้ตั้งใจฟัง   นั่งพนมมือไปแต่ใจนั่งคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ อย่างนี้เรียกว่าทำไม่ถูก ผลก็จะไม่เกิดขึ้น

 

เวลาทำบุญให้ทานก็หวังผลตอบแทน อยากจะได้สิ่งนั้นอยากจะได้สิ่งนี้  พอทำไปแล้วไม่ได้ตามความอยาก ก็จะว่าทำแล้วไม่ได้ผล ก็ไม่อยากทำต่อ ไม่อยากฟังต่อ  ฟังไปแล้วไม่เกิดปัญญา ไม่ฉลาด เพราะฟังไม่ถูก ทำบุญไม่ถูก วิธีที่จะทำบุญให้ถูกก็คือ ต้องทำด้วยความบริสุทธิ์ใจ อย่าไปโลภไปปรารถนาอะไรทั้งสิ้น ทำเพื่อความอิ่มเอิบใจ ความสุข ความพอ ทำเพื่อชนะความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว  ความอยากต่างๆ  ถ้าเราทำอย่างนี้แล้วใจจะสุขจะอิ่มจะพอ อย่าไปหวังอะไรจากผู้ที่เราทำบุญด้วย ให้เคารพรักเราชอบเรา ให้เขาขอบใจ ถ้าไม่ได้เป็นไปตามความหวังก็จะเสียใจ  จะคิดว่าทำบุญให้ทานแล้วไม่ได้บุญ  ทำดีไม่ได้ดี  ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด  เพราะผลบุญไม่ได้จากผู้อื่น แต่จากใจของเราเอง  ใจที่มีความร่มเย็นเป็นสุข  มีความอิ่ม  มีความพอ  ใจที่ชนะความตระหนี่ความเห็นแก่ตัว แล้วเราจะติดอกติดใจ เพราะความสุขที่เกิดจากการได้ช่วยเหลือคนอื่น เป็นความสุขมากกว่าการได้ไปเที่ยว  ไปเสพสุรายาเมา เพราะการไปเที่ยวไปเสพสุรายาเมา จะได้แต่ความเพลิดเพลินความสนุกสนาน หลังจากนั้นแล้วก็เหลือแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวใจ   อยากจะไปเที่ยวไปเสพสุราอีก  แต่การทำบุญให้ทานช่วยเหลือผู้อื่น เมื่อทำไปแล้วจะมีความอบอุ่นใจ ถึงแม้จะอยู่คนเดียว จะไม่รู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเศร้าสร้อยหงอยเหงาแต่อย่างใด ถ้าฟังเทศน์ฟังธรรมที่ถูกวิธีใจก็จะมีความสงบเย็นผ่องใส ไม่ขุ่นมัวเศร้าสร้อยหงอยเหงา  ไม่สงสัยในเรื่องนรกสวรรค์  เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องบาปเรื่องบุญ  ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็จะเข้าใจว่านรกสวรรค์เป็นสถานที่ ซึ่งไปหาที่ไหนในโลกนี้ก็หาไม่เจอ เพราะอยู่ในใจ  เวลามีความสุขใจนั้นแลคือสวรรค์   เวลามีความทุกข์นั้นแลคือนรก 

 

เวลามีความทุกข์มากๆจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้ ต้องฆ่าตัวเองและฆ่าผู้อื่นไปด้วย ดังที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ  เพราะไม่ได้ทำบุญ  มัวแต่หาเงินหาทอง  หามาได้ก็ซื้อของฟุ่มเฟือยของหรูหรา  แต่จิตใจไม่ได้รับความสุขเลย พอมีปัญหาก็จะเกิดความโกรธความแค้น แล้วก็จะระงับความโกรธแค้นด้วยการฆ่าผู้อื่นและฆ่าตัวเอง ถ้าได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน  ได้ทำบุญทำทานอยู่เรื่อยๆแล้ว เวลามีปัญหาจะมีขันติความอดทน จะปลงจะรับได้ ว่าเป็นอย่างนี้  จะไม่ทุกข์ ถ้าแก้ได้ก็ดี  แก้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร  ไม่โกรธแค้นโกรธเคือง  ไม่ทำร้ายใคร  ก็จะไม่เกิดโทษ  เพราะจิตใจมีธรรมะ  มีบุญมีกุศลคอยดูแล  คอยหักห้าม เพราะรู้ว่าฆ่าผู้อื่นหรือฆ่าตนเองเป็นบาปเป็นกรรมมาก บาปกรรมเก่าที่กำลังใช้อยู่นี้ ก็ยังไม่มากเท่ากับฆ่าคนอื่นและฆ่าตนเอง ที่เป็นบาปเป็นกรรมมากกว่าหลายเท่า   ถ้าได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจะรู้ว่าเกิดมาก็เพื่อมาใช้บุญใช้กรรม  เวลามีความสุขเป็นเวลารับผลบุญที่ได้ทำไว้   เวลามีความทุกข์มีปัญหาต่างๆ ก็เป็นเวลาใช้บาปใช้กรรมที่ได้ทำไว้  ยอมรับผลของบาปและบุญ ว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้    ทำบุญแล้วผลของบุญก็จะต้องปรากฏขึ้นมาสักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เช่นเดียวกับบาป เมื่อทำไปแล้วก็ต้องใช้บาป ถ้ายังไม่ได้แสดงผลในชาติก่อนก็อาจจะแสดงผลในชาตินี้   อาจจะทำให้คิดว่า ทำไมเราทำแต่บุญทำแต่ความดี แต่กลับต้องประสบกับเคราะห์กรรมต่างๆ ก็เป็นเพราะว่าเคราะห์กรรมต่างๆที่เราประสบอยู่นี้ เป็นผลของบาปกรรมที่ทำไว้ในอดีตนั่นเอง หรือเห็นคนอื่นทำแต่บาปแต่กรรม แต่กลับได้รับความสุข ได้รับความเจริญ  ก็เป็นเพราะบุญในอดีตได้มาส่งผลในชาตินี้   เราต้องเข้าใจว่าการทำบาปทำบุญนั้นมีผลตามมา ช้าหรือเร็ว บุญบางอย่างก็ส่งผลเร็ว บางอย่างก็ช้า เช่นเดียวกับบาป เหมือนกับการปลูกต้นไม้ บางชนิดก็ออกดอกออกผลเร็ว   บางชนิดก็ใช้เวลานานหลายปี  

 

โดยหลักแล้วการทำบุญทำบาปมีผลตามมาอย่างแน่นอน  จะช้าหรือเร็วเท่านั้น เมื่อตายไปก็ต้องไปเกิดตามบาปบุญที่ได้ทำไว้อย่างแน่นอน  ไม่ต้องสงสัย เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นแล้ว มีพระอรหันตสาวกของพระพุทธเจ้าเป็นจำนวนมาก ที่ได้รู้ได้เห็นตาม ได้รับรองสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้ว ว่าเป็นสวากขาโต ภควาตา ธัมโม    เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้ว ถูกต้องตามความเป็นจริงทุกอย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนไว้ ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนรกสวรรค์  บาปบุญ  การเวียนว่ายตายเกิดหรือมรรคผลนิพพาน เป็นความจริงทั้งนั้น ที่ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ได้  ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จะเห็นได้อย่างแน่นอน  ไม่มีอะไรจะมาปกปิด   จึงควรมีความเชื่อมั่นในการทำความดี   ละเว้นการทำบาป  ละเว้นอบายมุขทั้งหลาย  เที่ยวพอหอมปากหอมคอ เป็นครั้งเป็นคราว  นานๆที  อย่าเที่ยวจนติดเป็นนิสัย  เงินทองจะไม่พอใช้  ก็จะต้องหาด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง  ในที่สุดก็จะต้องไปทำผิดกฎหมาย  ทำผิดศีลผิดธรรม แล้วก็ต้องใช้บาปใช้กรรม  ถูกฆ่าตายบ้าง  ฆ่าตัวเองตายบ้าง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์อย่างพวกเรา  เปิดหนังสือพิมพ์ดูทุกวันก็จะเห็นข่าวเหล่านี้  เพราะไม่เชื่อหรือไม่เคยได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง   มัวแต่หาเงินหาทองแล้วก็เอาไปกินไปเที่ยวไปใช้ไปดื่ม  ทำอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ  เลยไม่รู้ว่าความดีชั่วความผิดความถูกอยู่ตรงไหน  พอไปทำความผิดเข้าก็สายไปเสียแล้ว  ถ้าได้เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างที่พวกเราทำกันอย่างสม่ำเสมอ ก็จะมีพระธรรมคำสอนคอยเตือนสติเตือนใจอยู่เสมอ เวลาคิดจะทำอะไรไม่ดี จะมีธรรมคอยเตือนคอยต้าน  ว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ หลวงพ่อเทศน์อยู่เสมอว่า  ทำไปแล้วมีแต่จะได้ความทุกข์ความเสื่อมเสีย  ตายไปก็ต้องตกนรก   

 

สู้หักห้ามจิตใจไว้ดีกว่า ถึงแม้จะยากจะลำบาก แต่ก็ไม่สุดวิสัย  ตอนเป็นเด็กนอนแบเบาะ  ไม่ได้ไปไหนเราก็อยู่ได้  ไม่เที่ยวก็อยู่ได้ ไม่เล่นการพนันก็อยู่ได้ ไม่ดื่มเหล้าก็อยู่ได้ อยู่มาได้ตั้งหลายปี ทำไมพอโตขึ้นมาแล้วกลับอยู่ไม่ได้ เพราะไม่สนใจศึกษา  จึงไม่รู้ว่าการทำดีชั่วนั้น เราจะต้องเป็นผู้รับผล ไม่ใช่คนอื่น  พ่อแม่ไม่ได้รับผลแทนเรา  มีแต่เราเท่านั้นที่จะรับสิ่งต่างๆที่ได้ทำไว้ ดังที่ได้ตรัสไว้ว่า สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน จะทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว จะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น ไม่มีใครมาไถ่บาปไถ่กรรมให้กับเราได้    เมื่อผลกรรมเกิดขึ้นแล้วเราก็ต้องรับมันเต็มๆ   ถ้าไม่อยากจะประสบกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย ก็ต้องหักห้ามจิตใจ  อย่าริทำในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงห้าม ทรงสอนให้ละให้เว้น เพราะทำครั้งแรกๆก็อาจจะไม่มีผลร้ายแรง  แต่เมื่อทำไปเรื่อยๆก็จะสะสมมากขึ้นไปเรื่อยๆ จากจอมปลวกก็จะกลายเป็นภูเขาไป  ความชั่วต่างๆ บาปกรรมต่างๆ อบายมุขต่างๆที่เราทำ   ตอนต้นก็เป็นเพียงเล็กๆน้อยๆ พอทำไปเรื่อยๆก็จะใหญ่โตขึ้นไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถหักห้ามหยุดยั้งมันได้  ก็จะไปทำบาปสร้างความทุกข์ความเสื่อมเสียให้กับเราอย่างแน่นอน   ถ้ามีสติคอยดูความคิด  ดูการพูด  ดูการกระทำของเรา  จะมีโอกาสหักห้ามยับยั้งความคิดที่ไม่ดี  การกระทำที่ไม่ดี  การพูดที่ไม่ดีได้ จึงควรมีสติอยู่เสมอ ไม่ว่าจะคิดอะไร  พูดอะไร  ทำอะไร พิจารณาให้ดีเสียก่อน ว่าเป็นไปตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหรือไม่   ทรงสอนให้ละให้เว้นก็อย่าไปทำ   สิ่งที่ทรงสอนให้ทำ แต่ยังไม่ได้ทำ ก็ควรรีบทำเสีย   เพราะจะพาให้ไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขความเจริญ  ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต  ไม่มีอะไรที่จะพาเราไปได้ มีแต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าและการปฏิบัติ ด้วยความขะมักเขม้น เข้มแข็ง  อดทน ไม่ท้อแท้ ไม่หยุดยั้ง ถ้าทำอย่างนี้ได้แล้วรับรองได้ว่าความเป็นสิริมงคลต่างๆ จะเป็นผลตามมาอย่างแน่นอน  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้