กัณฑ์ที่ ๓๒๐       ๒๒ เมษายน ๒๕๕๐

 

ที่เติมบุญเติมบาป

 

 

 

วันนี้พวกเราได้มาปฏิบัติภารกิจ มาสร้างบุญสร้างกุศล ตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพื่อประโยชน์สุขของใจของพวกเรา และของผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว เพราะไม่มีอะไรที่จะสำคัญยิ่งกว่าใจ ถ้าใจออกจากร่างกายไปแล้ว ร่างกายก็เป็นเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน จะพูดกับร่างกายก็จะไม่รู้เรื่อง ไม่สามารถตอบคำถามของเราได้ เพราะไม่ใช่ตัวที่รับรู้ ที่คิด ที่สั่งให้ร่างกายพูดทำอะไรต่างๆ ใจต่างหากเป็นผู้รับรู้ ผู้คิด ผู้สั่ง ถ้าไม่มีใจอยู่กับร่างกายแล้ว การรับรู้ก็หมดไป สนทนากันไม่ได้ พอใจออกจากร่างกายไป ก็เรียกว่าดวงวิญญาณ พอเข้าไปอยู่ในท้องแม่ก็เรียกว่าปฏิสนธิวิญญาณ พอเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ก็เรียกว่าใจ ใจมนุษย์ ใจสัตว์ ใจไม่ได้ตายไปกับร่างกาย เมื่อร่างกายไม่สามารถอยู่ต่อไปได้ ใจก็ต้องย้ายออกไป เหมือนกับการย้ายบ้าน เมื่อไม่สามารถอยู่ได้เพราะชำรุดทรุดโทรม อยู่ไปก็จะเป็นภัย ก็ต้องย้ายไปอยู่บ้านใหม่ ถ้ามีทรัพย์มีเงินมาก ก็จะได้บ้านใหม่ที่ดีกว่าเก่า ถ้ามีเงินน้อยก็จะได้บ้านที่แย่กว่าเก่า ฉันใดใจเมื่อต้องออกจากร่างกายไป ก็จะไปหาร่างใหม่ จะดีหรือเลวกว่าเก่า ก็ขึ้นอยู่กับบุญกุศลและบาปกรรมที่ได้ทำไว้ ถ้าทำบุญกุศลมากกว่าทำบาปกรรมก็จะไปเกิดในสุคติ เป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เป็นพระอริยเจ้า ถ้าทำบาปทำกรรมมากกว่าทำบุญก็จะไปเกิดในอบาย เป็นเปรต เป็นผี เป็นเดรัจฉานไปตกนรก เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น จะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ ต้องมีจิตใจที่สงบ มีปัญญาที่จะแยกแยะสิ่งที่ปรากฏอยู่ในใจได้ ถ้าไม่มีความสงบไม่มีปัญญา จะไม่สามารถเข้าถึงตัวจิตได้ จะหลงคิดว่าจิตคือร่างกายอย่างที่พวกเราหลงกันอยู่ คิดว่าร่างกายเป็นตัวเราของเรา เวลาคิดจะพูดจะทำอะไร ก็คิดว่าร่างกายเป็นตัวคิด แต่ความจริงแล้วร่างกายเป็นเพียงบ่าว เป็นผู้รับใช้ใจ ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ใจคิดแล้วก็สั่งไปที่กาย จะพูดจะทำอะไร ต้องคิดก่อนถึงจะพูดถึงจะทำได้

 

ใจจึงเป็นตัวที่สำคัญที่สุด เป็นผู้ทำบุญทำกรรมและเป็นผู้รับผล นรกก็ดี สวรรค์ก็ดี ภพชาติต่างๆก็ดี ล้วนมีใจผู้สร้างขึ้นมา อย่างพวกเราชาตินี้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะใจได้สร้างบุญได้สร้างเหตุปัจจัยที่ทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ อย่างน้อยก็ต้องเคยรักษาศีล ๕ มา เคยละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดประเวณี ละเว้นจากการพูดปดมดเท็จ ละเว้นจากการเสพสุรายาเมา ละเว้นจากอบายมุขต่างๆ เช่นการพนัน เที่ยวกลางคืนเป็นต้น จึงทำให้ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มีอายุสั้นบ้าง ยาวบ้าง ขึ้นอยู่กับบุญกรรมที่ได้ทำมา เหมือนกับเติมน้ำมันรถ ถ้าเติมน้อยก็วิ่งไปได้ไม่ไกล ถ้าเติมมากก็วิ่งไปได้ไกล ถ้าเติมบุญมาน้อยอายุจะไม่ยืน จะต้องตายไปก่อนคนอื่น เหมือนกับเพื่อนๆที่ได้ตายไป เพราะได้ทำบุญมาเพียงเท่านี้ เมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องไปหาที่อยู่ใหม่ พวกเราก็เช่นเดียวกัน สักวันหนึ่งเมื่อหมดบุญแล้ว ก็ต้องจากโลกนี้ไป ในขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงควรรีบทำบุญให้มากๆ ทำบาปให้น้อยๆ หรือไม่ทำเลย จะได้ไปเกิดที่ดีและอยู่ได้นานๆ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์ก็จะมีอายุยืนยาวนาน มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง มีอาการ ๓๒ ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่พิกลพิการ จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผลจะต้องเป็นตามเหตุคือการกระทำอย่างแน่นอน เหมือนกับการรับประทานอาหาร จะเชื่อหรือไม่ว่ารับประทานแล้วจะอิ่ม ถ้ารับประทานแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องอิ่มจนได้ เพราะการกระทำและผลไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อ ขึ้นอยู่กับการกระทำเท่านั้น ไม่เชื่อนรก ไม่เชื่อสวรรค์ ไม่เชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ถ้ายังทำกรรมอยู่ ก็ยังต้องไปเวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่

 

ถ้าไม่อยากจะเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ก็ต้องชำระความโลภความโกรธความหลงให้หมดสิ้นไปจากใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนใจของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย เพราะใจก็เป็นเหมือนรถยนต์ ถ้ายังเติมน้ำมันอยู่เรื่อยๆ รถก็จะมีเชื้อเพลิงให้วิ่งไปไหนมาไหนได้ ถ้าหยุดเติมน้ำมัน พอเชื้อเพลิงหมด ก็วิ่งไปไหนไม่ได้ ใจก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน ถ้าหยุดเติมเชื้อของภพชาติ ด้วยการตัดความโลภความโกรธความหลงให้หมดไป ใจก็จะไม่ไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จะอยู่ในพระนิพพาน ที่อิ่มที่พอที่มีความสุขอย่างยิ่ง ไม่จำเป็นต้องไปหาความสุขจากอะไรอีกต่อไป เพราะความสุขต่างๆที่พวกเราหากัน เป็นความสุขที่คลุกเคล้าไปด้วยความทุกข์ ได้อะไรมาก็ดีอกดีใจมีความสุข พอจากไปก็เสียอกเสียใจ เวลาเกิดก็ดีอกดีใจ พอตายไปก็เสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ มีความทุกข์ควบคู่อยู่ด้วยเสมอ ถ้าไม่ต้องการความทุกข์ ก็ต้องไม่เกิด เพราะทุกข์ย่อมไม่มีกับผู้ไม่เกิด ถ้าเกิดแล้ว ต่อให้อยู่ในภพดีขนาดไหนก็ตาม ก็จะมีความเสื่อมมีการหมดไปตามมา เกิดเป็นพรหมถึงแม้จะมีอายุยาวนานเป็นหมื่นปีก็ตาม เมื่อหมดบุญหมดอายุขัย จิตก็ต้องเสื่อมลงสู่ภพที่ต่ำกว่าตามลำดับ จากพรหมก็มาเป็นเทพ จากเทพก็กลับมาเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ระวังไปทำบาปทำกรรม ก็ต้องขยับต่ำลงไปอีก ไปเป็นเดรัจฉานบ้าง ไปตกนรกบ้าง จนกว่าจะหมดกรรมถึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก

 

นี่คือเรื่องของใจที่พวกเราไม่รู้กัน ไม่รู้ว่าเรานี้แลคือใจ ไปคิดว่าเราคือร่างกาย เพราะใจเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นกัน เหมือนกับคลื่นวิทยุโทรศัพท์ ที่เข้ามาในเครื่องมือถือ ที่เรามองไม่เห็น แต่เรารู้ว่ามีคลื่นเข้ามาแล้วเพราะมีเสียงดัง เมื่อเรากดปุ่มรับก็มีเสียงพูดออกมาจากเครื่อง แสดงว่ามีคลื่นวิทยุเข้าไปในเครื่องแล้ว ใจของเราก็เป็นเหมือนกับคลื่นวิทยุที่เข้ามาในร่างกาย ทำให้พูดได้ทำอะไรได้ รับรู้เรื่องราวต่างๆได้ แต่พอใจออกจากร่างกายไปแล้ว ก็กลายเป็นคนตายไป ไปพูดด้วยก็จะไม่รู้เรื่อง เอาเข็มไปทิ่มไปแทงก็จะไม่สะดุ้งไม่ผวา เอาไปผ่าไปตัดไปเผา ก็จะไม่มีปฏิกิริยา เพราะผู้รู้คือใจไม่ได้อยู่ในร่างกายแล้ว ใจของพวกเราเป็นอย่างนี้ ดังนั้นถ้าจะถามว่าดวงวิญญาณมีจริงหรือไม่ ก็ตอบได้ว่ามีจริง ใจเมื่อออกจากร่างกายก็เป็นดวงวิญญาณ  ถ้าถามว่ามีการเวียนว่ายตายเกิดหรือไม่ ก็ตอบว่ามี เพราะใจเป็นผู้ไปเกิดใหม่ แล้วแต่จะไปเกิดเป็นอะไร อาจจะไม่ได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ทันที อาจจะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานก่อน เป็นนกเป็นปลาเป็นแมวเป็นสุนัขก่อน หรือไปตกนรกไปเกิดเป็นเปรตเป็นผีก่อน ถ้าเป็นเปรตก็เป็นพวกที่เราทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ ถ้าเป็นอย่างอื่นบุญอุทิศก็ไปไม่ถึง เพราะไม่มีฐานะที่จะรับบุญอุทิศได้ มีพวกเปรตเพียงพวกเดียวที่จะรับบุญอุทิศได้ เพื่อจะได้ไปเกิดใหม่ ไปเป็นมนุษย์เป็นเทพ แต่ช่วงที่เป็นเปรตเป็นช่วงที่ขาดบุญ เหมือนกับรถที่น้ำมันหมดกลางทาง ถ้าเติมน้ำมันให้หน่อยพอให้วิ่งไปถึงปั๊มได้ ก็จะเติมน้ำมันเองได้ นี่คือฐานะของเปรต เป็นพวกเดียวที่จะรับบุญอุทิศได้ ถ้าไปเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่มีความจำเป็นกับบุญอุทิศ เพราะไปถึงปั๊มแล้ว

 

ภพของมนุษย์จึงเป็นเหมือนปั๊มน้ำมัน เป็นที่เราสามารถเติมบุญก็ได้หรือเติมบาปก็ได้ มีภพเดียวในสังสารวัฏที่เติมบุญเติมบาปได้ คือภพของมนุษย์ ถ้าเป็นภพของเทวดาของพรหมก็เป็นที่ไปเสวยบุญ ไปรับผลของบุญ มีแต่ความสุขความสบาย ถ้าเป็นเดรัจฉานเป็นเปรตเป็นผีเป็นนรกก็เป็นที่ใช้กรรม ทำบุญไม่ได้ เช่นเกิดเป็นสุนัข อยากจะทำบุญวันนี้ก็ทำไม่ได้ ไปตกนรกก็เช่นเดียวกัน ก็เหมือนกับติดอยู่ในคุกในตะราง จะมาทำบุญก็มาไม่ได้ ต้องรอให้พ้นโทษก่อน มีภพของมนุษย์เท่านั้นที่จะทำบุญก็ได้ทำบาปก็ได้ อุทิศบุญให้ผู้อื่นก็ได้ เมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว จึงควรรีบตักตวง อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปกับเรื่องไร้สาระ เช่นการหาเงินทอง หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะไม่ได้เป็นความสุขที่จีรังถาวรที่ยั่งยืน ไม่ได้ช่วยใจเมื่อต้องเดินทางไปสู่ภพหน้า ไม่ได้เป็นเสบียง ไม่ได้เป็นบุญเป็นกุศล ถ้ามัวแต่เสียเวลากับการหาเงินหาทอง จากการเที่ยวจากการดื่มจากการรับประทาน พอตายไป จะไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวติดใจไป มีแต่ความหิวความกระหายความอยาก ถ้าทำบาปทำกรรมก็ต้องไปเป็นเปรตบ้าง ไปตกนรกบ้าง ถ้าพยายามสะสมบุญกุศลอยู่เรื่อยๆ มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ ก็เอามาทำบุญ เอามาช่วยเหลือผู้อื่น รับรองได้ว่าจะได้กำไร จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ดีกว่าเดิม ฉลาดกว่าเดิม มีรูปร่างหน้าตาดีกว่าเดิม รวยกว่าเดิม จะได้ทำบุญทำกุศลมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นพระพุทธเจ้าไปในที่สุด ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญมา ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ศึกษาฟังเทศน์ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม ทำจิตใจให้สงบ เจริญปัญญาให้รู้ทันกิเลส รู้ทันความหลง

 

ถ้ามีปัญญาแล้วจะไม่หลงกับเรื่องไร้สาระต่างๆ เพราะรู้ว่าต้องเดินทางไปอีกไกล ต้องอาศัยบุญกุศล เหมือนกับคนขับรถที่รู้ว่า ยังต้องเดินทางด้วยรถยนต์อยู่ ก็ต้องดูแลรักษารถยนต์ให้ดี คอยเติมน้ำมันเติมน้ำเติมลม ซ่อมบำรุงอยู่เสมอ เพราะถ้าไม่ทำแล้วรถก็จะเสีย ไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ ใจของพวกเราก็เป็นเหมือนรถยนต์ที่กำลังเดินทางไปสู่ความพ้นทุกข์ สู่ความสุขสุดยอด ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ไปถึงกัน แล้วจึงมาสอนพวกเรา ปรากฏเป็นพระพุทธศาสนาไว้เป็นที่พึ่ง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนา เราก็จะไม่รู้เรื่องของใจ ไม่รู้เรื่องเวียนว่ายตายเกิด รู้อย่างเดียวว่าเกิดมาแล้วก็ต้องตายไป ตายแล้วก็จบ ไม่มีการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีสวรรค์หรือนรก เพราะมองไม่เห็น เหมือนคนที่หลับตาหรือคนตาบอด ก็จะไม่เห็นอะไร ต่อให้มีใครบอกว่ามีอะไรอยู่ตรงไหน ก็จะมองไม่เห็น จะเชื่อหรือไม่ก็มองไม่เห็นเหมือนกัน ถ้าเชื่อจะมีโอกาสได้เห็น เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พวกเราทำกัน เป็นวิธีที่จะทำให้ตาในคือใจของเราสว่างขึ้นมา ทำให้เห็นใจของเรา เห็นการเวียนว่ายตายเกิดของใจ เห็นนรกเห็นสวรรค์ เพราะนรกและสวรรค์ไม่เป็นสถานที่ แต่เป็นสภาพจิตใจ ถ้าใจสงบมีความสุข ในขณะนั้นใจก็ขึ้นสวรรค์ ถ้ามีความรุ่มร้อนมีความทุกข์ ใจก็ตกนรก ถ้ามีแต่ความหิวความกระหาย ใจก็เป็นเปรต ถ้ามีแต่ความหวาดกลัวกับเรื่องต่างๆอย่างไม่มีเหตุมีผล ใจก็เป็นอสุรกาย ถ้ามีแต่ความสุข ใจก็เป็นเทพ ถ้าสงบนิ่งไม่คิดไม่ปรุงเรื่องอะไร ใจก็เป็นพรหม ถ้าปล่อยวางได้ปลงได้ตัดได้ไม่ยึดไม่ติด ใจก็เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เรื่องของใจเป็นอย่างนี้ นรกสวรรค์ไม่เป็นสถานที่ ต่อให้ไปหาทั่วทั้งจักรวาล ก็จะหาไม่เจอ เพราะไม่ได้เป็นสถานที่ แต่เป็นสภาวะของใจ ถ้าใจรุ่มร้อนก็เป็นนรก ใจสุขก็เป็นสวรรค์ อย่างในขณะนี้ใจของพวกเราได้ขึ้นสวรรค์ เพราะมีความสุขมีความสงบ ถ้ามีความวุ่นวาย ห่วงเรื่องนั้นห่วงเรื่องนี้ ก็ตกนรก นี่คือเรื่องของใจ

 

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าไม่มีอะไรสำคัญเท่าใจ ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน เป็นผู้สร้างนรก เป็นผู้สร้างสวรรค์ และเป็นผู้เสวยบุญกรรม เป็นผู้ไปอยู่ในนรกและสวรรค์ จึงควรให้ความสนใจต่อการดูแลรักษาใจ ด้วยการสร้างบุญสร้างกุศล ละเว้นจากการทำบาปทำกรรม ชำระกำจัดความโลภความโกรธความหลง ให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ เพราะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ใจหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ให้พบกับความสุขสุดยอด อยู่ที่การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น ควรให้ความสนใจดูแลรักษาใจให้มากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ภารกิจที่มีความจำเป็นก็ทำไป ต้องมีปัจจัย ๔ เลี้ยงดูปากท้อง ก็หามาพอประมาณ อย่ามากจนเกินไป แบบกินอีกสิบชาติก็ไม่หมด ไม่เกิดประโยชน์อะไร เสียเวลาไปเปล่าๆ เอาเวลามาสร้างบุญสร้างกุศลดีกว่า จะได้พัฒนาจิตใจขึ้นไปตามลำดับ เป็นการพัฒนาที่ยั่งยืนถาวร การพัฒนาอย่างอื่นเป็นการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน จะสร้างอะไรก็ตาม ไม่กี่ปีก็พังทลายลงมาหมด หรือไม่เช่นนั้นเราก็ต้องทิ้งมันไป การพัฒนาทางโลกเป็นอย่างนี้ ไม่ถาวรมันไม่ยั่งยืน ไม่เหมือนกับการพัฒนาจิตใจ ที่มีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จะไม่เสื่อมลงมาถ้าได้พัฒนาจนถึงจุดสูงสุด ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้พัฒนากัน จะเป็นอย่างนั้นไปตลอดอนันตกาล ไม่มีวันเสื่อมอีกต่อไป จิตที่ได้บรรลุถึงพระนิพพานแล้ว จะไม่มีการเสื่อมอีกต่อไป จะไม่กลับลงมาเกิดเป็นเทพเป็นพรหมเป็นมนุษย์อีก เพราะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน เมื่อถึงจุดสุดยอดแล้ว ถึงบรมสุขแล้ว ก็จะไม่มีอะไรที่ต้องทำอีกต่อไป จึงควรใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ รู้จักแยกแยะว่าควรทำอะไรมากน้อยเพียงไร แล้วการที่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้มาเจอพระพุทธศาสนา จะได้ไม่สูญเปล่า ไม่เสียชาติเกิด ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา ได้สะสมบุญบารมี ได้เป็นพระอรหันต์ ได้เป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้