กัณฑ์ที่ ๓๒๒        ๒๙ เมษายน ๒๕๕๐

 

ทางที่ถูก

 

 

 

การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  เป็นทางที่ถูก ที่จะพาไปสู่จุดหมายปลายทางที่เราปรารถนากัน ไปสู่ความสุขสุดยอด ที่ไม่มีวันเสื่อม ไม่มีวันหมด  ไม่มีความทุกข์ความวุ่นวายใจเจือปนอยู่เลย มีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น คือทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินไป แล้วนำเอามาสั่งสอนให้พวกเราได้รู้ ได้ปฏิบัติ ได้เดินตามกัน ถ้าไม่เดินตามพระพุทธเจ้า ก็จะไม่ได้พบกับสิ่งที่เราอยากจะพบ จะพบกับสิ่งที่ไม่อยากจะพบ คือความทุกข์ ความวุ่นวาย ความเดือดร้อน ความเศร้าโศกเสียใจ ที่พวกเรากำลังเผชิญกันอยู่ ที่เราสามารถทำให้หายไปหมดไปได้ ถ้าเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพราะเป็นทางที่ถูก ที่ดี ที่ประเสริฐ ที่ได้ทรงสัมผัสพิสูจน์แล้ว จนมีความแน่ใจว่าเป็นทางเดียวเท่านั้น เพราะทางอื่นๆก็เคยไปมาแล้ว ทางที่พวกเรากำลังไปกันอยู่ ทางแห่งการหาเงินหาทอง หาความสุขทางกามารมณ์ต่างๆ  ความสุขที่ได้จากการได้เห็น ได้ยิน ได้ดมกลิ่น ได้ลิ้มรส ได้สัมผัสกับกาย ที่ทรงเห็นว่าเป็นความสุขที่ไม่พอเพียง เพราะไม่อยู่ติดไปกับใจ เป็นความสุขในขณะที่ได้สัมผัส เมื่อผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้ใจอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว เหมือนกับไม่ได้สัมผัสเลย  จึงต้องสัมผัสอยู่เรื่อยๆ ต้องหาความสุขทางกามารมณ์อยู่เรื่อยๆ จนติดงอมแงม ต้องเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ถึงจะมีความสุข  ถ้าไม่ได้เสพก็จะเศร้าสร้อยหงอยเหงา ว้าเหว่ อ้างว้างเปล่าเปลี่ยว  พระพุทธเจ้าทรงได้สัมผัสมาแล้ว ทรงเห็นแล้วว่าไม่ใช่ทาง จึงทรงเปลี่ยนทิศทาง แทนที่จะไปแสวงหาเงินหาทอง หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็หันกลับเข้ามาหาความสุขทางใจ จนได้พบกับความสุขสุดยอด ที่ไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่เลย ที่ไม่เสื่อมคลาย ที่อยู่ติดกับใจไปตลอดอนันตกาล  จึงได้นำเอาทางนี้มาสอนพวกเรา ถ้าพวกเราอยากจะพบกับความสุขสุดยอด  ที่ไม่มีการเสื่อมหายไป เราก็ต้องเดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ที่มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่ความเห็นที่ถูกต้อง

 

พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าความเห็นมีอยู่  ๒ ชนิดด้วยกันคือ  ความเห็นที่ถูกกับความเห็นที่ผิด  ความเห็นที่ถูกคือเห็นตามความจริง  ความเห็นที่ผิดคือเห็นตรงกันข้ามกับความจริง เช่นเห็นสุนัขว่าเป็นแมว ถ้าเห็นสุนัขว่าเป็นสุนัข เห็นแมวว่าเป็นแมว ถึงจะเห็นถูก ความเห็นที่ถูกต้องที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เห็นก็คือ เห็นว่ามีนรกมีสวรรค์ มีบุญมีบาป บุญเป็นเหตุที่จะทำให้ขึ้นสวรรค์  บาปเป็นเหตุที่จะทำให้ตกนรก  เห็นว่าเมื่อตายไปแล้วเราไม่สูญหมดไป ยังต้องไปเกิดใหม่ เพราะใจของเราเป็นสิ่งที่ไม่ตาย  สิ่งที่ตายคือร่างกาย แต่ใจไม่ตาย ชีวิตของเราประกอบขึ้นด้วยกายและใจ กายมาจากดินน้ำลมไฟ  มาจากอาหารที่เรารับประทาน เมื่อตายไปร่างกายก็คืนสู่ดินน้ำลมไฟ ใจก็เดินทางต่อไป ใจไม่ได้สูญ ไม่ได้หายไปไหน ถ้ามีบุญพาไปก็ได้ไปสวรรค์ ถ้ามีบาปพาไปก็ไปตกนรก   เป็นความเห็นที่ถูกต้องตามหลักความจริง เพราะความจริงเป็นอย่างนั้นจริงๆ นรกมีจริง สวรรค์มีจริง นรกเกิดจากบาปที่ทำให้ใจรุ่มร้อน ทุกข์วุ่นวายใจ  สวรรค์เกิดจากบุญ ที่ทำให้ใจร่มเย็นเป็นสุข นรกและสวรรค์อยู่ในใจของเรา ทั้งในขณะที่มีชีวิตอยู่ มีร่างกายอยู่ และในขณะที่ไม่มีร่างกายแล้ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่มีร่างกายอยู่ ใจเราก็ขึ้นสวรรค์ตกนรกอยู่เรื่อยๆ  วันไหนเรามีความสุข เช่นวันนี้ได้มาทำบุญทำทาน ฟังเทศน์ฟังธรรม รักษาศีล ใจของเราก็มีความสุข ใจก็ขึ้นสวรรค์   วันไหนเราไปมีเรื่องมีราว ไปทำผิดศีล ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี ใจของเราก็จะทุกข์ หวาดกลัว ใจก็จะตกนรก   ในขณะที่มีชีวิตอยู่ใจของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ขึ้นสวรรค์ลงนรกอยู่เรื่อยๆ  ขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา ที่จะสะสมไปเรื่อยๆ

 

ผลของบาปบุญที่เรารับในขณะที่มีชีวิตอยู่ เป็นเพียงหนังตัวอย่าง ยังไม่ใช่หนังจริง ที่จะเกิดขึ้นตอนที่ร่างกายตายไปแล้ว ตอนนั้นจะได้เจอนรกจริง จะได้เจอสวรรค์จริง  เพราะจะเป็นนรกหรือสวรรค์ที่ยาวนาน   ถ้าได้รับผลบุญก็จะอยู่ในสวรรค์นาน   ถ้ารับผลบาปก็จะต้องตกนรกนาน   ไม่เหมือนในขณะที่มีชีวิตอยู่ ที่ทุกข์หรือสุขเพียงไม่กี่วัน สลับกันไปเรื่อยๆ เป็นเหมือนหนังตัวอย่าง  ยังไม่ใช่หนังจริง ที่มีแน่ๆ  พอตายไปแล้วก็ต้องไปรับผลบุญในสวรรค์ รับผลบาปในนรกอย่างแน่นอน นี่คือความเห็นที่ถูกต้อง ที่เราควรปลูกฝัง  ถ้ามีความเห็นที่ถูก ก็จะทำให้เราคิดถูก พูดถูก ทำถูก   ที่จะทำให้เกิดผลดี ทำให้ใจเจริญ ให้ขึ้นสวรรค์  ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ไปในที่สุด  ถ้าไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง ก็จะปฏิเสธความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เห็น  จะไม่เชื่อว่ามีนรกมีสวรรค์ ไม่เชื่อว่าตายไปแล้วต้องไปใช้บุญใช้กรรม  ถ้าไม่เชื่อก็จะไม่คิดถูก ไม่พูดถูก ไม่ทำถูก  จะคิดผิดพูดผิดทำผิด   จะคิดว่าไม่มีผลบุญผลบาปตามมา จะทำอะไรก็ได้  จะฆ่าใครก็ไม่ตกนรก  เพราะไม่เชื่อว่ามีนรก   จะทำบุญทำความดีก็ไม่มีผลตามมาเช่นเดียวกัน ไม่ได้ขึ้นสวรรค์เพราะไม่มีสวรรค์ ตายไปแล้วก็จบ ร่างกายกลายเป็นขี้เถ้าขี้ถ่านไป ไม่มีผู้ไปใช้เวรใช้กรรมไปเสวยบุญ ถ้าคิดอย่างนี้ก็จะทำตามความอยาก ตามความชอบ  ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะไปชอบในสิ่งที่ไม่ดี เพราะมีกิเลสคือความหลงคอยผลักดัน  ที่ชอบแต่สิ่งที่ไม่ดี  ชอบกิน ชอบดื่ม ชอบเที่ยว ชอบเล่น ชอบใช้เงิน แต่ไม่ชอบหาเงิน ไม่ชอบเรียนหนังสือ ไม่ชอบทำงาน 

 

ถ้าปล่อยให้ทำไปตามความชอบของกิเลส  ก็จะพาให้ไปทำผิดศีล ทำผิดกฎหมาย ไปพบกับปัญหาต่างๆ จนไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ต้องแก้ด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง ไปฆ่าผู้อื่น แล้วก็กลับมาฆ่าตนเอง เพราะเวลาที่อยากได้อะไรก็ต้องไปทำผิดกฎหมาย ไปจี้ ไปปล้นธนาคาร ปล้นร้านทอง   ถ้ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องต่อสู้กัน ก็ต้องถูกยิงตายไป หรือไปยิงเขาตาย ก็ต้องหลบหนี  จนกว่าจะถูกจับหรือถูกฆ่าไป  เพราะคิดผิด  คิดไม่ถูก  คิดว่าทำอะไรตามความอยาก ตามความต้องการแล้ว จะมีความสุข  แต่หารู้ไม่ว่า ทำมากน้อยเพียงไรก็จะไม่ได้ความสุข ได้เพียงเดี๋ยวเดียว แล้วก็จางหายไปเหมือนควันไฟ  ไม่ได้อยู่ติดกับจิตใจไปตลอด  ไม่ทำให้อิ่มพอ ต้องหาอยู่เรื่อยๆ ต้องทำอยู่เรื่อยๆ  ถ้าทำด้วยการเบียดเบียนผู้อื่น ความทุกข์ก็จะเป็นผลตามมา ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็มีแต่ความทุกข์วุ่นวายใจ มีปัญหาต่างๆ เมื่อตายไปก็ต้องไปตกนรก  จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่สำคัญ เพราะความจริงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อหรือไม่เชื่อ  ความจริงขึ้นอยู่กับการกระทำ เหมือนกับไม่เชื่อว่าไฟร้อน   ถ้าเอามือไปจับไฟ  ไฟก็จะเผามืออย่างแน่นอน ไม่ได้อยู่ที่ไม่เชื่อแล้วจะทำให้ไฟไม่เผามือ  ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ไปจับของร้อนก็ต้องร้อน ไปจับของเย็นก็ต้องเย็น บุญก็เป็นเหมือนของเย็น ทำบุญก็ทำให้ใจเย็น มีความสุข บาปก็เป็นเหมือนของร้อน ทำบาปแล้วก็จะทำให้ทุกข์ใจร้อนใจ จึงต้องสร้างความเห็นที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นในใจของเรา ได้ยินได้ฟังแล้วจะเชื่อหรือไม่ก็อยู่ที่ตัวเรา   ถ้าเชื่อแล้วนำเอาไปคิดอยู่เรื่อยๆ  เพื่อไม่ให้ลืม เวลาจะทำอะไรตามความอยากของกิเลส จะได้มีเบรก มีธรรมะคอยยับยั้ง 

 

ถ้ามีเงินไม่พอใช้ ก็ไม่ไปกู้ยืม เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าการมีหนี้สินเป็นทุกข์ จะต้องกังวลกับการหาเงินมาใช้หนี้  ถ้าใช้หนี้ไม่ได้ก็จะต้องลำบาก จะต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง ถูกทำร้าย ถ้ามีความอดกลั้น เวลาอยากจะได้อะไร  อยากจะทำอะไร ถ้าไม่มีเงินพอ ก็ไม่ทำ  ไม่ไปเอามา  อยู่เฉยๆก็มีความสุขได้เหมือนกัน ไม่เห็นจะต้องมีอะไรเลย  ถ้าไม่มีความเห็นที่ถูกต้อง   พออยากได้อะไรขึ้นมา ก็ต้องดิ้นรนหามาให้ได้ ไม่คำนึงถึงผลเสียที่จะตามมา ถ้าไปกู้หนี้ยืมสินก็จะทุกข์กับการใช้หนี้  ถ้ากู้ไม่ได้ก็ต้องไปฉ้อโกง  ก็จะถูกจับเข้าคุกเข้าตะราง สิ่งที่ได้มาไม่ช่วยให้เราพ้นจากความทุกข์ความวุ่นวายใจได้  แต่การหักห้ามยับยั้งจิตใจ ไม่ให้คิด ให้พูด ให้ทำ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่จะช่วยเราได้  เพราะผลที่ไม่ดีก็จะไม่เกิดขึ้นมา จะไม่มีปัญหาอะไรกับใคร ใจของเราไม่ต้องการอะไรเลย   เพียงแต่ถูกความหลงหลอกให้อยากได้สิ่งนั้น อยากมีสิ่งนี้  มีแล้วก็ไม่ได้ทำให้ใจวิเศษวิโสขึ้นมา  ไม่ได้ทำให้หายอยาก แต่กลับเพิ่มความอยากให้มีมากยิ่งขึ้นไปอีก  ทำให้หยุดความอยากยากยิ่งขึ้นไปอีก  ถ้าหักห้ามระงับความอยากได้ ความอยากก็จะเบาลงไป จะเห็นว่าอยู่เฉยๆก็อยู่ได้  ไม่ต้องทำตามความอยาก  ก็มีความสุขได้ เพราะการชนะความอยากนี้แลจะทำให้ใจสงบมีความสุข ไม่ต้องไปหาความสุขจากสิ่งใด ไม่เช่นนั้นแล้วพระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ทั้งหลายก็จะปรากฏขึ้นมาไม่ได้ เพราะจะต้องอยู่เหมือนกับพวกเราอยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องมีนั่นมีนี่ ต้องทำนั่นต้องทำนี่ถึงจะมีความสุข ทำไปแล้วก็ต้องทำอยู่เรื่อยๆ ถ้าไม่ได้ทำก็จะหงุดหงิด เศร้าสร้อยหงอยเหงา   เพราะการทำตามความอยาก ไม่ได้ทำให้เราพบกับความสุขความพอ  แต่การฝืนความอยาก การต่อสู้กับความอยาก   การชนะความอยากเท่านั้น ที่จะทำให้เราได้พบกับความสุข  ความอิ่มความพอ  ดังที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกทั้งหลายได้พบกัน เพราะมีความเห็นที่ถูกต้อง  เห็นว่าการคิดดีพูดดีทำดีเท่านั้น ที่จะทำให้สุขใจ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์

 

เมื่อมีความเห็นที่ถูกต้องก็จะทำในสิ่งที่ถูกต้อง แทนที่จะไปหาเงินหาทอง    หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย ก็มาหาความสุขทางใจ  ด้วยการบริจาคทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีพ เก็บไว้เท่าที่จำเป็น ถ้าจะออกบวชก็ไม่ต้องเก็บอะไรไว้เลย  เพราะเวลาบวชแล้วจะมีคนอื่นคอยดูแลในเรื่องปัจจัย ๔  อาหารก็บิณฑบาต จีวรก็มีคนถวายให้ใส่  กุฏิก็มีคนสร้างให้อยู่  ยารักษาโรคก็มีคนถวายให้ตลอดเวลา  ไม่จำเป็นจะต้องมีสมบัติอะไร  สละไปได้หมด  บริจาคไปได้หมด จะได้สร้างความดีให้มีมากยิ่งขึ้นไป ด้วยการรักษาศีล รักษาได้มากเท่าไร  ก็จะทำให้เป็นคนดีมากขึ้นไปเท่านั้น  เมื่อมีศีลก็จะมีความสงบสุขเพิ่มขึ้น มีเรื่องเดือดร้อนวุ่นวายใจน้อยลง  ต่างกับคนที่ไม่รักษาศีล ที่จะมีปัญหาต่างๆตามมาอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น  นอกจากรักษาศีลแล้วก็จะได้ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ทำจิตใจให้สงบ มีความสุขความเยือกเย็น  มีความอิ่มมีความพอ ที่มากกว่าการเสียสละบริจาคทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง มากกว่าการรักษาศีล  เป็นความสุขที่สูงขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น  ถ้าเป็นธนบัตรก็เป็นใบละ ๕๐๐  ไม่ใช่ใบละ ๒๐ ใบละ ๑๐๐  แต่เป็นใบละ ๕๐๐   แต่ยังไม่เป็นความสุขที่สูงสุด  ยังไม่เป็นธนบัตรใบละ ๑,๐๐๐  ถ้าอยากจะได้ความสุขที่สูงกว่านี้อีก ก็ต้องเจริญธรรมที่สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง  เรียกว่าวิปัสสนา หรือการเจริญปัญญา ต้องพิจารณาให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ รวมทั้งร่างกายของเราและของผู้อื่น เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน มีเกิดมีดับเป็นธรรมดา  เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย ถ้ายึดติดกับร่างกายก็จะมีความทุกข์ ถ้ายึดติดก็จะต้องทุกข์กับสิ่งที่ยึดติด ต้องเศร้าโศกเสียใจเวลาจากกันไป ขณะที่ยังไม่จากกัน เราก็ต้องห่วงกังวลว่าจะจากไปเมื่อไร

 

ถ้าไม่ยึดไม่ติด ยอมรับความจริง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่เที่ยงแท้แน่นอนจะต้องจากกันไปสักวันหนึ่ง ก็พร้อมที่จะจากกัน ก็จะไม่ทุกข์  เพราะเห็นว่าไม่ได้เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ตัวเรา ถ้าเป็นตัวเราก็ต้องอยู่กับเราไปตลอด เป็นเหมือนเสื้อผ้าที่สวมใส่ ไม่ได้เป็นของเราอย่างแท้จริง  พอขาดก็ต้องทิ้งไป  ถ้าพิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่เที่ยงแท้แน่นอน  เป็นทุกข์ ไม่ใช่สมบัติของเรา ไม่ใช่ตัวเรา ก็จะไม่ยึดติด  จะปล่อยวาง จะไม่เดือดร้อนกับอะไรทั้งนั้น ใจจะสงบ มีความสุขท่ามกลางความแก่ความเจ็บความตาย ท่ามกลางการพลัดพรากจากกัน  จะไม่ทุกข์เลย นี่คือความสุขระดับสูงสุด ถ้าเป็นธนบัตรก็เป็นธนบัตรใบละ ๑,๐๐๐ เป็นความสุขที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันตสาวกได้บรรลุถึง  แล้วนำเอามาสอนพวกเรา เพราะอยากให้พวกเราพบกับความสุขแบบนี้บ้าง  ถ้าอยากได้ก็ต้องเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เพื่อจะได้มีความเห็นที่ถูกต้อง ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง  บุญมีจริง บาปมีจริง การเวียนว่ายตายเกิดมีจริง จะได้คิดดีพูดดีทำดี จะได้พบกับสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้พบอย่างแน่นอน   นี่คือทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเดิน  พยายามเดินตามไปเถิด ถึงแม้จะยากลำบากในเบื้องต้นก็เป็นเพราะไม่ถนัด  เราถนัดแต่หาเงินหาทอง หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย  พอต้องนั่งหลับตาทำจิตใจให้สงบก็เลยรู้สึกว่ายาก  พอต้องเสียสละบริจาคเงินทองข้าวต่างๆ   ก็จะรู้สึกว่ายาก  ถ้าทำไปจนเห็นผล ก็จะรู้สึกว่าง่าย จะเห็นว่าดีกว่าเก็บสิ่งต่างๆไว้  ดีกว่าความสุขที่ได้จากการไปดูไปดื่มไปเที่ยวไปเล่น เป็นความสุขที่ดีที่เลิศที่ประเสริฐ  ไม่มีความทุกข์เจือปนอยู่เลย  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้