กัณฑ์ที่ ๓๓๔       ๒ มิถุนายน ๒๕๕๐

 

 

ทางเลือกที่ดีที่สุด

 

 

 

การมาวัดเพื่อปฏิบัติภารกิจทางศาสนา เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ในบรรดาทางเลือกทั้งหลาย ที่มีอยู่ ๓ ทางด้วยกัน คือ ๑. ทางดี  ๒. ทางไม่ดี  ๓. ทางที่เป็นกลางๆ จะดีก็ไม่ใช่ จะไม่ดีก็ไม่เชิง  ทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเป็นทางดี เพราะสอนให้คิดดี พูดดี ทำดี  เพื่อผลคือความสุขและความเจริญที่จะตามมา ทั้งในชาตินี้และในชาติต่อๆไป ส่วนทางไม่ดีถ้าดำเนินไป คือคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลก็คือความทุกข์ความเสื่อมเสียก็จะตามมา  ส่วนทางที่เป็นกลางๆ คือดีก็ไม่ทำ ชั่วก็ไม่ทำ ก็จะไม่ได้ทั้งความเจริญทั้งความเสื่อม ไม่ได้ทั้งความสุขทั้งความทุกข์  ไม่มีใครผลักดันเราไปได้ เราต้องเป็นคนตัดสินใจเลือก แล้วก็เดินไปตามทางนั้น ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าเราก็เดินตามทางที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน  คิดดี พูดดี ทำดี ชีวิตของเราก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ ห่างไกลจากความทุกข์ความเสื่อม ความวุ่นวายทั้งหลาย ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินไป ไม่ช้าก็เร็วเราก็จะได้รับความเจริญ  ได้รับความสุขเท่ากับพระพุทธเจ้า เพราะผลคือความสุขและความเจริญ ไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น  ผู้อื่นไม่สามารถให้ความสุขความเจริญกับเราได้  มีแต่ตัวเราเท่านั้นที่จะให้กับเราได้ ความสุขที่ผู้อื่นให้กับเราเป็นความสุขที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน  มีความทุกข์แถมมาด้วย  เวลาเขาให้ความสุขเราก็ดีใจ พอเขาหยุดให้ เราก็เสียใจ ถ้าเขาจากเราไป เราก็ร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ แต่ความสุขที่ได้จากการคิดดีพูดดีทำดี จะไม่มีความทุกข์มาแทรกแซงเลย ถ้ามีความทุกข์ก็เป็นเพราะคิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดี พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้หมั่นทำความดีอยู่เสมอ เมื่อมีเวลาว่างเช่นวันนี้ หรือวันพรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์ ไม่ต้องไปทำงานทำการ  ควรใช้เวลาว่างในการทำความดี  ละการกระทำ ความไม่ดีทั้งหลาย เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป

 

พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้เราห้อยพระห้อยเหรียญต่างๆ เพราะทรงเห็นว่าไม่ได้ทำให้เราดี ให้เราเจริญ ให้เราร่ำรวย  ถ้าร่ำรวยได้ป่านนี้คนที่ห้อยพระอยู่เต็มคอ ก็เป็นมหาเศรษฐีกันไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นตามันไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นดั่งที่ปรารถนากัน เพราะไม่ได้เป็นเหตุที่จะทำให้เกิดความสุขความเจริญนั่นเอง จึงอย่าไปหลง ถ้าอยากจะห้อยพระก็ห้อยเพื่อเตือนสติ พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้า  ถึงพระธรรมคำสอน  ถึงพระอริยสงฆสาวก  จะได้คิดดีพูดดีทำดี  จะไม่กล้าคิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดี   นี่คือเหตุผลของการห้อยพระ เพื่อคุ้มครองชีวิตจิตใจ ไม่ให้ตกลงไปสู่ที่ต่ำ ไม่ให้ตกนรก ไม่ให้ทุกข์อย่างแสนสาหัส พระคุ้มครองเราได้ในเรื่องนี้ แต่พระไม่สามารถคุ้มครองความเป็นความตายของเราได้  คนเราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายด้วยกันทุกคน  ไม่มีใครหนีพ้น  ต่อให้มีพระวิเศษห้อยอยู่ที่คอ  มีราคาเป็นสิบล้านร้อยล้าน ก็ไม่สามารถคุ้มครองชีวิตของเราได้ เมื่อถึงเวลาที่จะต้องไป ก็ต้องตายไปเป็นธรรมดา  ถ้าไม่อยากตายก็มีทางเดียวเท่านั้น ก็คือไม่เกิด ถ้าไม่เกิดแล้วก็จะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านทำความดีจนถึงจุดสูงสุดแล้ว ก็ไม่ต้องไปเกิดอีกต่อไป  เมื่อไม่เกิดก็ไม่ต้องแก่ไม่ต้องเจ็บไม่ต้องตาย  นี่คือความจริงที่เรียกว่าหลักกรรม คือการกระทำ ทางกายทางวาจาและทางใจ  เป็นเหตุที่จะทำให้สิ่งที่ดีและชั่วเกิดขึ้นกับเรา  เราจะต้องเวียนว่ายตายเกิดไปอีกมากน้อยเพียงไรหรือไม่เลย ก็อยู่ที่การกระทำของเรา จะสุขจะเจริญจะร่ำรวย จะทุกข์จะเสื่อมจะยากจน ก็อยู่ที่การกระทำของเรา 

 

พวกที่งอมืองอเท้าแล้วก็ไปซื้อพระมาห้อยคอ  ก็จะยากจนไปจนวันตาย  พวกที่รวยคือพวกที่ขายพระ ร่ำรวยเป็นสิบล้านร้อยล้าน เพราะหลอกพวกคนโง่ได้  หลอกให้เสียเงินเสียทองไปซื้อพระซื้อเหรียญมาห้อยคอ เพื่อจะทำให้ร่ำรวยแคล้วคลาดปลอดภัย  แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หวังกัน  คนที่ห้อยพระตายไปก็มีอยู่เยอะ  คนที่ไม่ได้ห้อยพระที่ไม่ได้ตายไปก็มีอยู่เยอะ ไม่ได้อยู่ที่ห้อยหรือไม่ห้อย อยู่ที่บุญกุศลหรือบาปกรรมที่ทำมา จะเป็นตัวชี้ว่าชีวิตของเราจะยาวหรือสั้น จะสุขหรือทุกข์ อยู่ที่บุญกรรม ที่ได้ทำมาทั้งในอดีตชาติและในชาตินี้ตั้งแต่วันเกิด เราได้ทำอะไรมาบ้าง ลองคิดดู  มันก็ส่งผลให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นอยู่ จึงอย่าไปเชื่ออะไรในโลกนี้ ไม่มีอะไรวิเศษ  มีสิ่งเดียวที่วิเศษก็คือพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ที่เราเชื่อได้อย่างมั่นใจว่า ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตาม ที่พระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัติแล้ว ชีวิตของเราจะเจริญรุ่งเรือง  แต่อาจจะช้าหน่อย เพราะการทำความดีต้องใช้เวลา ผลถึงจะปรากฏขึ้นมา ไม่เหมือนกับนั่งเครื่องบินหรือนั่งจรวด  สมัยนี้คนเราใจร้อน ทำอะไรก็อยากจะให้เห็นผลทันตา ทันทีทันใด  พอทำไปแล้วไม่เห็นผลก็เกิดความท้อแท้  พอมีใครมาหลอกว่าเขาห้อยพระองค์นี้ ห้อยเหรียญแบบนี้ ตอนนี้ทำมาหากินร่ำรวยมโหฬาร ก็อยากจะรวยเหมือนเขา ก็ต้องไปเสียเงินซื้อเหรียญซื้อพระมาห้อย   แต่ไม่ทำในสิ่งที่จะทำให้ตนร่ำรวย มัวแต่นั่งงอมืองอเท้าไปจนวันตาย ก็จะร่ำรวยขึ้นมาไม่ได้ จะร่ำรวยขึ้นมาได้ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน  ต้องคิดด้วยความฉลาด คือต้องมีปัญญา ต้องพูดต้องทำด้วยความฉลาด ถึงจะร่ำรวยขึ้นมาได้  ถ้าไม่คิดด้วยปัญญา  ไม่รู้ว่าจะทำอะไรอย่างไร ที่จะทำให้ร่ำรวย ก็ไม่มีทางร่ำรวยได้ 

 

อย่างพวกที่ผลิตพระผลิตเหรียญออกมาขาย เขามีปัญญา  เขารู้ว่าคนในโลกนี้ทุกคน  อยากจะร่ำรวยโดยทางลัด เช่นซื้อล็อตเตอรี่ ซื้อหวย ซื้อพระมาห้อย เขาเห็นเขาเข้าใจจุดนี้ ถ้าผลิตเหรียญออกมา โฆษณาว่าวิเศษอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้ คนที่อยากจะร่ำรวย อยากจะวิเศษ  โดยที่ไม่ต้องทำอะไร  ก็จะแห่มาซื้อกัน   คนที่รวยก็คือคนที่ผลิตเหรียญขาย  คนที่จนก็คือคนที่ซื้อเหรียญนี่แหละ ไม่ใช่ใครที่ไหน  จึงอย่าไปหลงกับสิ่งต่างๆที่จะทำให้เราวิเศษ ไม่มีในโลกนี้  มีอยู่ในตัวเราเท่านั้น คือการคิดดีพูดดีทำดี ที่จะทำให้เราร่ำรวย ให้เราเจริญ ให้มีแต่ความสุข ไม่มีใครจะทำให้เราได้ นอกจากสั่งสอนเราเท่านั้น เช่นศึกษาจากพระพุทธเจ้า ศึกษาจากพระอริยสงฆ์  ศึกษาจากครูบาอาจารย์ เราก็จะได้ความรู้ เพื่อเอามาคิดมาทำมาพูด ก็จะได้สิ่งที่ต้องการ นี่คือความจริงที่พวกเราทั้งหลายต้องเชื่ออย่างแน่วแน่ ว่าไม่มีอะไรจะทำให้เราสุข ให้เราเจริญ ให้เราดี ให้เราทุกข์ ให้เราเสื่อมเสีย ให้เรายากจนได้  นอกจากการกระทำของเราเอง  เราจึงต้องเฝ้าดูการกระทำของเรา ว่าเรากำลังคิดดีพูดดีทำดีหรือไม่  ถ้าคิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดี ก็ต้องพยายามลดละ อย่าไปคิดไปพูดไปทำ พอคิดอยากจะได้อะไรมาง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องเหนื่อยยาก ไม่ต้องทำอะไร อย่างนี้เรียกว่าคิดไม่ดี  คิดผิด  คิดดีต้องคิดว่าถ้าอยากจะได้อะไร เราต้องทำมันขึ้นมา ไม่หวังไม่รอให้คนอื่นหยิบยื่นให้ คนที่ร่ำรวยทำอย่างนี้กันทั้งนั้น เขาไม่นั่งรอให้คนนั้นคนนี้เอาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้   อยากจะได้อะไร  ก็มุ่งไปที่สิ่งที่อยากได้   อยากจะได้เงินได้ทองเขาก็มุ่งไปสู่การทำงานทำการ  ขยันทำงาน เมื่อได้เงินมาก็ไม่เอาไปใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น  เอามาลงทุน เอามาขยายกิจการต่อ  ทำให้มีรายได้เข้ามามากขึ้นไปเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็เร็วก็จะกลายเป็นคนรวย อยู่ที่การกระทำเท่านั้น 

 

คนรวยไม่ได้รวยเพราะคนอื่นหยิบยื่นเงินทองมาให้  ยกเว้นถ้าเป็นมรดกเท่านั้นที่จะมาเอง เพราะได้ทำความดีไว้ในอดีตชาติ ได้ทำบุญ  ได้เสียสละบริจาคทรัพย์ บริจาคเงินทองอยู่เรื่อยๆ  อย่างที่พวกเรามาทำกันในวันนี้ เราเสียสละบริจาคเงินทอง ซื้อข้าวซื้อของมาถวายพระภิกษุสามเณร บริจาคเงินไว้บำรุงวัดวาอาราม เป็นบุญที่จะปรากฏผลขึ้นในภพหน้าชาติหน้า จะได้ไปเกิดเป็นลูกของคนรวย ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะมีเงินไหลมาเอง ได้ลาภโดยที่ไม่ต้องไปดิ้นรนเลย เพราะอานิสงส์ของบุญที่ได้ทำไว้  แต่ถ้าไม่ได้เกิดเป็นลูกของคนรวย ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะรวยได้ ถ้าตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากิน  ด้วยสติปัญญา  ความรู้ ความฉลาด ถ้ายังไม่รู้ยังไม่ฉลาด ก็ต้องศึกษาหาความรู้  หาหนังสือมาอ่าน  ศึกษาดูว่าจะรวยได้อย่างไร เรียนรู้ได้ ไม่ใช่เป็นความลึกลับอะไร  มีหนังสือเกี่ยวกับประวัติของคนรวยมากมาย พระพุทธศาสนาก็สั่งสอนให้ขยันศึกษาหาความรู้  ขยันทำมาหากินเก็บเงินเก็บทอง เพราะเป็นเหตุปัจจัยที่จะทำให้ร่ำรวย  ให้มีความสุข ส่วนเหตุที่จะทำให้มีความทุกข์ ก็คือคิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดี  เช่นอยากจะได้อะไรมาง่ายๆ โดยที่ไม่ต้องดิ้นรนทำมาหากิน ถ้าอยากแบบนี้ก็จะพาไปสู่การพูดไม่ดี ไปโกหกหลอกลวง หรือไปฉ้อโกง ไปลักเล็กขโมยน้อย ไปปล้น ไปจี้ เพื่อจะให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ  เป็นการคิดไม่ดีพูดไม่ดีทำไม่ดี ผลไม่ดีก็จะตามมา ก็คือความทุกข์ความวุ่นวายใจ เราจึงต้องหลีกเลี่ยงความคิดไม่ดี  อย่าไปอยากได้ในสิ่งที่ไม่จำเป็น  ถ้าอยากจะได้ก็ต้องขยันหาเงินหาทอง เมื่อได้เงินได้ทองแล้วค่อยไปซื้อ อย่าไปซื้อโดยที่ไม่มีเงินมีทอง ถึงแม้จะขายด้วยเงินผ่อนก็ตาม ได้มาแล้วไม่มีความสุขเพราะมีความทุกข์ตามมา  ต้องหาเงินมาผ่อนส่ง ก็จะไม่มีความสุขกับสิ่งที่ได้มา

 

เพราะความสุขที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่สิ่งต่างๆ แต่อยู่ที่ใจที่มีความสงบ  ใจจะสงบได้ก็ต่อเมื่อไม่ต้องกังวล ที่จะต้องคอยไปใช้หนี้ที่ได้สร้างขึ้นมา  ถ้าอยากจะได้อะไรก็รอไว้ก่อน จนกว่าจะมีเงินซื้อ ถ้าฉลาดคิดเป็น ก็อย่าไปเอาอะไรเลยดีกว่า ถ้าเชื่อพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามอย่างพระพุทธเจ้า ทรงมีสมบัติข้าวของเงินทองมากมาย แต่ทรงเห็นว่าไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง มีแต่ความทุกข์ความวุ่นวาย จึงทรงสละราชสมบัติแล้วมุ่งไปหาความสุข ที่เกิดจากความสงบของใจ  ด้วยการต่อสู้กับความโลภความอยากต่างๆ จะโลภอย่างไรก็ไม่เอา จะอยากอย่างไรก็ไม่เอา   ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพเท่านั้น  คืออาหาร  ที่อยู่อาศัย  ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม แต่ก็หามาพอประมาณ หามาเท่าที่จำเป็น แล้วก็ต่อสู้กับความคิดที่ไม่ดี  ด้วยการควบคุมจิตใจ ในเบื้องต้นก็ทำจิตใจให้สงบให้นิ่งก่อน เมื่อใจนิ่งแล้ว เวลาจะคิดไปในทางที่ไม่ดี  ก็จะดึงใจกลับมาได้   ถ้าคิดอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็จะหยุดมันได้  พอหยุดปั๊บก็หายโลภ หายอยาก  ถ้ายังทำใจให้นิ่งไม่ได้ เวลาอยากจะได้อะไรก็หยุดไม่ได้  ก็จะผลักให้ไปพูดไปทำไปหาสิ่งต่างๆที่อยากได้ ต้องไปมีเรื่องมีราวมีปัญหาต่างๆ ในเบื้องต้นท่านจึงสอนให้หยุดใจ เบรกใจ  ใจก็เป็นเหมือนรถยนต์ที่ต้องมีเบรก  เพราะเมื่อถึงเวลาที่จะต้องหยุด ก็จะหยุดได้ เช่นเวลาวิ่งไปถึงสี่แยกไฟแดง ไปเจอไฟแดงเข้า จะวิ่งไปต่อก็ต้องไปชนกับรถที่วิ่งขวางอยู่ ก็จะเกิดอุบัติเหตุ รถจึงต้องมีเบรก คนขับต้องรู้จักวิธีหยุดรถ ฉันใดใจก็เป็นเหมือนรถยนต์ ต้องมีเบรกเหมือนกัน  ถ้าใจคิดไปทำในสิ่งที่ไม่ดี ก็ต้องเบรกมัน  ถ้าคิดจะไปโกหกหลอกลวง ไปฉ้อโกง ไปลักเล็กขโมยน้อย ไปปล้น ไปจี้ ก็ต้องหยุดใจ อย่าไปทำ เพราะทำไปแล้วจะมีแต่ความเสียหายตามมา 

 

ถ้าอยากจะไปเกี่ยวข้องกับอบายมุข ก็ต้องหยุดใจให้ได้  เพราะอบายมุขเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมนั่นเอง  ถ้าไปเกี่ยวข้องกับสุรายาเมา  เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน คบคนชั่วเป็นมิตร มีความเกลียดคร้านแล้วจะหาความเจริญไม่ได้  จะตกต่ำไปเรื่อยๆ ตายไปก็ต้องไปใช้กรรมต่ออีก ไม่ใช่จะหมดเพียงแค่ชีวิตนี้เท่านั้น ต้องไปเกิดในอบาย เกิดเป็นเดรัจฉาน ไปตกนรก  เราจึงต้องหยุดใจให้ได้ ทำใจให้นิ่งให้ได้  วิธีที่จะทำใจให้นิ่งก็มีหลายวิธีด้วยกัน  ที่ง่ายที่สุดคือการสวดมนต์  หัดไหว้พระสวดมนต์กันบ้าง นั่งหลับตา ไม่ต้องจุดธูปเทียนก็ได้ หาที่สงบ ไม่มีอะไรมารบกวน แล้วก็สวดมนต์ไป บทไหนก็ได้  บทที่จำได้ บทสั้นๆก็ได้ สวดหลายๆรอบ  เช่นสวดอรหังสัมมาฯ สวดไปหลายๆรอบ สวดไปเรื่อยๆ จนกว่าใจจะสบาย จะสงบ จะเย็น เวลาสวดก็ต้องระวังไม่ให้ใจไปคิดถึงเรื่องอื่น  สวดไปอย่างเดียว ไม่ให้คิดถึงคนนั้นคนนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ ถ้าคิดไปด้วย ต่อให้สวดไปนานเท่าไรก็จะไม่สงบ จะไม่นิ่ง จะไม่สุข เวลาสวดมนต์จึงต้องคอยสังเกตดูว่า สวดอย่างเดียวหรือเปล่า หรือคิดถึงเรื่องนั้นคิดถึงเรื่องนี้ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะไม่นิ่งไม่สงบ ถ้าสวดไปเรื่อยๆต่อไปจะสามารถควบคุมใจได้  ในเบื้องต้นอาจจะยากสักหน่อย เพราะใจไม่เคยถูกควบคุม  ก็จะต่อต้าน  ถ้ามีกำลังมากกว่าเรา  เราสวดไปเดี๋ยวเดียวก็ออกไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้อีก ถ้ารู้ก็ดึงกลับมาสวดใหม่  สวดไปเรื่อยๆ ถึงแม้จะยังไม่เห็นผล ก็อย่าท้อแท้เบื่อหน่าย พยายามอดทนสวดไปเรื่อยๆ เพราะการควบคุมจิตใจไม่ใช่ของง่าย แต่ก็ไม่ยากเย็นเหลือวิสัย ทุกคนสามารถควบคุมใจของตนเองได้  ถ้ามีความอดทน  มีความขยัน ทำไปเรื่อยๆ ทำให้มาก ทำให้บ่อย

 

มีเวลาว่างก็หามุมสงบทำไป  ถ้าหามุมสงบไม่ได้ก็ยังทำได้ นั่งอยู่ในรถไม่รู้จะทำอะไร ก็หลับตาสวดมนต์ไปภายในใจ สวดไปเรื่อยๆ ต่อไปจะควบคุมบังคับความคิดของเราได้ เวลาคิดไปในทางที่ไม่ดี เราก็หยุดมันได้ ถ้ายังหยุดไม่ได้ก็สวดมนต์ไป เช่นคิดอยากจะไปเล่นการพนัน  อยากจะออกไปเที่ยว ก็สวดมนต์ไปภายในใจ สวดไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวความคิดที่อยากจะออกไปเที่ยว ไปเสพสุรายาเมา ก็จะหายไปจากใจ เมื่อหายไปแล้วก็จะไม่อยากไป อยู่ที่ใจของเรา  ถ้าใจไม่คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว เรื่องนั้นก็ไม่มีปัญหากับเรา พอไปคิดก็จะมีปัญหาทันที ถ้าคิดจะไปเสพสุรายาเมา ก็จะคอยชวนอยู่เรื่อยๆ  พอสวดมนต์ไปเรื่อยๆ ความคิดที่อยากจะไปเสพสุรายาเมาก็จะหายไป เราก็ไม่ต้องไปเสพ นี่คือการดูแลใจ ควบคุมใจให้อยู่ในทำนองครองธรรม  ถ้าไม่รู้ว่าทำนองครองธรรมเป็นอย่างไร ก็ต้องหมั่นศึกษา ฟังเทศน์ฟังธรรมอยู่เรื่อยๆ เพราะพระพุทธเจ้าทรงสอนให้รู้ทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี สิ่งที่ดีก็สอนให้ทำให้มาก สิ่งที่ไม่ดีก็ทรงสอนให้ละ เช่นอบายมุขต่างๆ ทรงสอนว่าไม่ดี ไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ควรอยู่ห่างไกล อย่าให้ปรากฏขึ้นมาในใจ อย่าไปคิดถึงมันส่วนการกระทำบาป ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี  พูดปดมดเท็จ ก็เป็นการกระทำที่ไม่ดี ควรหลีกเลี่ยง อย่าไปทำ อย่าให้มันปรากฏขึ้นมาในใจ ส่วนสิ่งที่ดีก็ทรงสอนให้ทำ ให้มีความกตัญญูกตเวที รู้บุญคุณของผู้มีพระคุณ เช่นบิดามารดา  ครูบาอาจารย์ ให้มีสัมมาคารวะ รู้จักที่สูงที่ต่ำ  ให้เสียสละ ให้รู้จักให้ อย่าคิดเอาแต่ได้อย่างเดียว เพราะได้มามากน้อยเท่าไรก็จะไม่มีความสุข เหมือนกับการเสียสละ

 

อย่างวันนี้ท่านก็เสียสละเวลา เสียสละเงินทอง สิ่งที่ได้กลับไปก็คือ ความสุขใจ ความอิ่มใจ ความพอใจ ซึ่งไม่เกิดจากการได้สิ่งต่างๆ  ได้อะไรมามากน้อยเพียงไร ก็ดีอกดีใจไปชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็เกิดความหิวเกิดความอยากขึ้นมาอีก  ไม่มีความอิ่มไม่มีความพอ จากการได้สิ่งต่างๆมา แต่การเสียสละและการให้นี่แหละ จะทำให้จิตใจอิ่มพอ ท่านจึงสอนให้เสียสละ ให้เป็นคนใจกว้าง อย่าไปหวง อย่าไปตระหนี่ อย่าใจแคบ เพราะจะทำให้ทุกข์ใจ  นี่คือความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน เราจึงควรน้อมเอามาปฏิบัติ สิ่งที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ อย่าไปคิด คิดแต่สิ่งที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี แล้วชีวิตของเราจะเจริญก้าวหน้า มีแต่ ความสุขความเจริญ ห่างไกลจากความทุกข์ความเสื่อมเสียทั้งหลาย นี่คือทางเลือกที่เราต้องเลือกเอง ต้องทำเอง  พระพุทธเจ้ากับพระอริยสงฆสาวก ครูบาอาจารย์ เป็นเพียงผู้ชี้ทาง  ไม่สามารถเสกเป่าให้เราสุข ให้เราเจริญ  ให้เราดีได้ เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ปลุกเสก  ผู้เป่ากระหม่อมของเราให้สุขให้เจริญได้  จึงอย่าไปหวังพึ่งใคร ให้พึ่งตนเอง ด้วยการคิดดีพูดดีทำดี เพื่อความสุขและความเจริญที่จะตามมาอย่างแน่นอน    การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้