กัณฑ์ที่ ๓๓๙       ๓ มิถุนายน ๒๕๕๐

 

ทำใจให้สว่าง

 

 

 

การฟังเทศน์ฟังธรรม เป็นการทำใจให้สว่าง เพราะจะได้ฟังในสิ่งที่ไม่ได้ยินได้ฟังมาก่อน สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมาแล้ว เมื่อได้ฟังบ่อยๆก็จะเกิดความกระจ่าง ความเข้าอกเข้าใจดียิ่งขึ้น เรื่องที่พวกเรามักจะไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกัน ก็คือเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องมรรคผลนิพพาน เป็นเรื่องที่จะไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกัน ถ้าไม่ได้มาวัด เพราะเวลาอยู่นอกวัดก็จะฟังแต่เรื่องการบ้านการเมือง เรื่องทำมาหากิน เรื่องหาความสุขตามสถานที่ต่างๆ ดูหนังเรื่องนั้นเรื่องนี้ ใจของพวกเราจึงไม่สว่างไสว เพราะเรื่องต่างๆที่ได้ยินได้ฟังกันนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดแสงสว่างแห่งธรรมขึ้นมาในใจ มีแต่จะสร้างความมืดบอด คือความหลงให้มีมากยิ่งขึ้น ถ้าได้ยินได้ฟังแต่เรื่องทำมาหากิน หาเงินหาทอง หายศหาตำแหน่ง หาคำสรรเสริญ หาความสุขจากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะต่างๆ ก็จะยิ่งทำให้ใจมืดบอดมากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามาวัดจะได้ยินเรื่องกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำบุญได้ไปสวรรค์ ทำบาปได้ไปตกนรก ถ้าปฏิบัติธรรม ชำระความโลภความโกรธความหลงให้หมดสิ้นไปจากใจได้ ก็จะได้ไปถึงพระนิพพาน มีแต่พระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกเท่านั้นที่จะรู้ได้ พวกเราที่เป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่มีทางรู้เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องการสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้เลย เราจึงต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อจุดประกายแสงสว่างให้ปรากฏขึ้นมาในจิตในใจ พอให้เห็นเรื่องราวต่างๆที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน เพื่อจะได้ปฏิบัติให้ได้เห็นมากยิ่งๆขึ้นไป จนเห็นอย่างแจ้งชัด เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆสาวกทั้งหลาย

 

ถ้าไม่ได้ยินได้ฟังก็จะไม่รู้ว่านรกมีจริง สวรรค์มีจริง จะคิดว่าเป็นเรื่องนิยาย เพราะเรามักจะได้ยินเรื่องนรกสวรรค์อยู่ในนิยาย อยู่ในละคร ก็เลยคิดว่าเป็นเรื่องของนิยาย เป็นเรื่องของละครไป แต่ความจริงนรกและสวรรค์เป็นสิ่งที่มีจริง เพียงแต่ไม่ได้เป็นสถานที่ เหมือนกับสถานที่นี้ ที่เราขับรถมาได้ นรกสวรรค์เราขับรถไปไม่ได้ นั่งเครื่องบินไปไม่ได้ ไปได้ด้วยการกระทำของเรา ถ้าทำบุญก็ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำบาปก็ได้ไปนรก สวรรค์แปลว่าความสุขใจ ความเย็นใจ นรกแปลว่าความร้อนใจ ความทุกข์ใจ นรกและสวรรค์จึงไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ในใจของเรานี้เอง เป็นสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเรา ถ้าทำดีทำบุญทำกุศล ใจก็จะเย็นจะสงบ เป็นสวรรค์ขึ้นมา ถ้าทำบาปทำกรรม อาฆาตพยาบาท โหดร้ายทารุณ ใจก็จะรุ่มร้อน เป็นนรกขึ้นมา นี่คือเรื่องของใจที่เราจะไม่ค่อยรู้กัน รู้แต่เรื่องของร่างกายเท่านั้น เพราะเห็นแต่ร่างกาย ไม่เห็นใจ แต่ทุกวันนี้ที่เราสุขที่เราทุกข์ ที่เราร้องห่มร้องไห้ ที่เราหัวเราะ ก็เพราะใจต่างหาก เวลาใจมีความสุขก็ดีอกดีใจ หัวเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาใจมีความทุกข์ ก็เศร้าโศกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ แต่เราไม่เห็นใจผู้ทำให้เราร้องห่มร้องไห้ ให้เราดีอกดีใจ คิดว่าเป็นร่างกาย แต่ความจริงแล้วร่างกายเป็นเพียงเครื่องมือของใจเท่านั้นเอง เป็นเหมือนรถยนต์คันหนึ่ง ถ้าไม่มีคนขับรถ รถยนต์ก็จะจอดอยู่เฉยๆ ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ ฉันใดร่างกายถ้าไม่มีใจ ก็จะเป็นเหมือนคนตาย จะนอนนิ่งแข็งอยู่เฉยๆ จะพูดอะไรก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใจสั่งให้พูด สั่งให้ไปทำสิ่งนั้นทำสิ่งนี้ วันนี้ใจก็สั่งให้เรามาวัดมาทำบุญ เมื่อทำบุญแล้วใจก็มีความสุข มีความเย็น มีความสบาย ตอนนี้ใจของเราก็เป็นสวรรค์ ใจได้ขึ้นสวรรค์แล้ว

 

แต่ถ้าเดี๋ยวเราไปทำอย่างอื่น ไปเกิดความโลภ เกิดความอยากได้ แล้วก็ไปเบียดเบียนผู้อื่น เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ ใจก็จะเป็นนรกไป เป็นเปรตไป เป็นอสุรกายไป ถ้ามีความรุ่มร้อน อาฆาตพยาบาทเคียดแค้น ใจก็เป็นนรก ถ้ามีความหวาดกลัว ใจก็เป็นอสุรกาย ถ้ามีความโลภ มีความหิว มีความอยากมากๆ ได้เท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ ใจก็เป็นเปรต ถ้ามีความเมตตา มีการให้ มีการเสียสละ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ใจก็เป็นสวรรค์เป็นเทพ ถ้าใจสงบนิ่งอยู่ในฌาน อยู่ในความสงบ ไม่คิดไม่ปรุง ไม่รับรู้เรื่องอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะมาทางตาหูจมูกลิ้นกายหรือทางใจ ใจก็เป็นพรหม ถ้าตัดกิเลสตัดความหลงได้ ไม่ยึดไม่ติด ว่าสิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเรา ปล่อยวางได้ ก็เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระโสดาบัน ถ้ามองเห็นร่างกาย ไม่สวยไม่งาม เป็นเหมือนซากศพที่ยังหายใจได้ เมื่อไม่หายใจแล้วก็ยิ่งดูน่าเกียจขึ้นไปใหญ่ ก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ไม่ยินดีอยากได้ร่างกายของคนอื่นมาให้ความสุข ก็จะไม่อยากมีคู่ครอง อยู่คนเดียวแสนจะสุขแสนจะสบาย มีคู่ครองก็เหมือนกับเอาซากศพมาเป็นคู่ครอง แต่เนื่องจากไม่พิจารณากันเราจึงไม่เห็น เพราะมีหนังปกปิดอวัยวะต่างๆอยู่ ถ้าสามารถมองทะลุเข้าไปใต้ผิวหนังได้  เราจะเห็นว่าร่างกายนี้มีแต่สิ่งที่ไม่สวยงาม มีโครงกระดูก มีตับ มีไต มีไส้ มีพุง ไม่มีอะไรที่สวยงามในร่างกายเลย ถ้าเห็นอย่างนี้แล้วก็จะเกิดความเบื่อหน่าย ก็จะเป็นพระอนาคามี จะอยู่แบบนักบวช ไม่มีคู่ครอง ถือศีลพรหมจรรย์ ถ้าตัดความหลงต่างๆจนหมดสิ้นไปจากใจได้ ก็จะเป็นพระอรหันต์ เรื่องทั้งหมดนี้อยู่ที่ใจตัวเดียวเท่านั้น

 

ใจตัวนี้ขึ้นๆลงๆไปกับสภาวธรรมต่างๆอยู่ตลอดเวลา บางเวลาก็เป็นเทพ บางเวลาก็เป็นเดรัจฉาน บางเวลาก็เป็นสัตว์นรก ขึ้นอยู่กับความคิดว่าคิดดีหรือคิดชั่ว ถ้าคิดดีก็จะเป็นสวรรค์ ถ้าคิดชั่วก็จะเป็นนรก ในขณะที่มีชีวิตอยู่ ใจก็จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่เรื่อยๆ บางทีก็ขึ้นสวรรค์ บางทีก็ตกนรก บางทีก็เป็นเทพ บางทีก็เป็นเดรัจฉาน สลับกันไปอยู่เรื่อยๆจนถึงเวลาตาย ตอนนั้นถ้าใจเป็นอะไรก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นเดรัจฉาน ก็จะไปเกิดเป็นเดรัจฉาน ถ้ามีความรุ่มร้อนอาฆาตพยาบาท ก็จะไปนรก ใจนี่แหละจะเป็นนรก ใจนี่แหละจะเป็นเดรัจฉาน เมื่อใจเป็นเดรัจฉาน ก็จะไปหาร่างของเดรัจฉาน ถ้าใจเป็นมนุษย์ ก็จะไปหาร่างของมนุษย์ จะเป็นมนุษย์ได้ก็ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น ต้องมีศีล ๕ อยู่ประจำใจ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดประเวณี ไม่พูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง ไม่เสพสุรายาเมา ก็เป็นมนุษย์ได้ เวลาตายไปก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ถ้าในขณะที่ตาย ใจมีอาการหวาดกลัวก็จะไปเป็นอสุรกาย ถ้าโกรธแค้นอาฆาตพยาบาท ก็จะไปตกนรก ถ้ามีความหิวมีความอยากมากๆ ไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ ก็จะไปเป็นเปรต พระพุทธเจ้าจึงสอนให้ทำใจให้ดี ด้วยการคิดดีพูดดีทำดี ทำบุญให้ทาน รักษาศีล ทำจิตใจให้สงบ ไม่หาความสุขจากสิ่งภายนอก คือรูปสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ เพราะไม่ให้ความอิ่มความพอ ได้มาเท่าไหร่ก็ยังอยากจะได้อยู่เรื่อยๆ อยากจะสัมผัสอยู่เรื่อยๆ แล้วถ้าไปหามาด้วยวิธีที่มิชอบ ไปประพฤติผิดศีลผิดประเพณี ก็จะทำให้กลายเป็นเปรตไป แต่ถ้าไม่ละเมิดศีลในขณะที่ไปหาความสุขทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ก็ยังเป็นมนุษย์อยู่

 

ถ้าเรายังตัดกามตัณหาความอยากในกามไม่ได้ ตัดความอยากในรูปในเสียงในกลิ่นในรสไม่ได้ ก็ให้หามาด้วยวิธีที่สุจริต ไม่ไปทำผิดศีลผิดธรรม เช่นอยากจะได้คู่ครอง ก็หามาด้วยความถูกต้องตามประเพณี ไม่ไปเอาสามีภรรยาของผู้อื่นมาเป็นคู่ครอง ควรมีสามีเดียวภรรยาเดียว มีสามีเดียวก็พอแล้ว มีภรรยาเดียวก็พอแล้ว ถ้ามีมากกว่านั้นก็จะเป็นเปรตไป เพราะไม่รู้จักอิ่มไม่รู้จักพอ พอได้ ๒ คนแล้ว ก็อยากจะได้ ๓ คน อยากจะได้ ๔ คน อยากจะได้ ๕ คน จะอยากไปเรื่อยๆ อย่างนี้ก็จะกลายเป็นเปรตไป ถ้าอยากจะรักษาความเป็นมนุษย์ไว้ ต้องมีผัวเดียวเมียเดียว รักเดียวใจเดียว มีสามีคนเดียวก็พอ มีภรรยาคนเดียวก็พอ มีความสุขเท่ากัน จะมีภรรยา ๓ คน สามี ๕ คน ก็ไม่มีความสุขมากไปกว่าการมีภรรยามีสามีเพียงคนเดียว นอกจากมีความสุขไม่มากกว่ากันแล้ว คนที่มีสามีมีภรรยามาก กลับมีความทุกข์ความวุ่นวายมากกว่าเสียอีก เพราะจะต้องทะเลาะกัน ถ้าภรรยาหรือสามีรู้ว่าไปมีมากกว่าหนึ่งคน ก็จะต้องเสียอกเสียใจ เป็นเดือดเป็นแค้นขึ้นมา เราจึงควรดูแลใจของเราให้ดี เพราะใจนี้แลที่จะไปเวียนว่ายตายเกิด ไปเกิดในที่สูง ไปเกิดในที่ต่ำ ก็เกิดจากความคิดของเรา ถ้าคิดดี เราก็จะทำดี พูดดี แล้วใจของเราก็จะดีขึ้นไปด้วย อย่างวันนี้เราคิดดี คิดมาทำบุญ มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม อย่างน้อยก็ได้เป็นมนุษย์ ถ้ามากกว่านั้นก็ได้เป็นเทพ ถ้าทำจิตใจให้สงบก็ได้เป็นพรหม ถ้าปลงอนิจจังทุกขังอนัตตาได้ ก็จะเป็นพระอริยเจ้า เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ เพราะจะทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้ายึดติดกับอะไร เวลาสิ่งที่ยึดติดจากเราไป เราก็เสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ กินไม่ได้นอนไม่หลับ

 

สภาวธรรมทั้งหลายในโลกนี้ จะเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้ ที่จะให้ความสุขแก่เราได้อย่างแท้จริง ให้ความสุขโดยที่ไม่มีความทุกข์แถมมานั้น ไม่มีในโลกนี้ มีแต่จะมีความทุกข์แถมมาด้วยทั้งนั้น เป็นความทุกข์ที่มากกว่าความสุข เพราะมาทีหลัง ความสุขมาก่อน พอความทุกข์มาแล้ว ความสุขที่มาก่อนก็หายไป เหมือนกับไม่มีเลย คนฉลาดจึงรู้จักปลงรู้จักวาง ไม่ยึดไม่ติด ถึงแม้จะมีอยู่ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่า สักวันหนึ่งจะต้องพลัดพรากจากกัน พระพุทธเจ้าจึงสอนให้เจริญธรรมบทที่ว่า เราเกิดมาแล้วย่อมมีความแก่เป็นธรรมดา ล่วงพ้นความแก่ไปไม่ได้ ย่อมมีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความเจ็บไข้ได้ป่วยไปไม่ได้ ย่อมมีความตายเป็นธรรมดา ล่วงพ้นความตายไปไม่ได้ ย่อมมีการพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นจากการพลัดพรากจากกันไม่ได้ ถ้าเตือนสติสอนใจอยู่เรื่อยๆแล้ว ใจก็จะปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติด เพราะรู้ว่าถ้ายึดติดแล้ว จะต้องทุกข์ทรมาน เราอยากจะสุขหรือทุกข์ทรมานใจ ก็อยู่ที่ตัวเรา ถ้าอยากจะสุขก็ต้องปล่อยวาง ไม่ยึดไม่ติดกับสิงต่างๆ ต้องสอนตัวเราอยู่เรื่อยๆ ทุกขณะทุกเวลา เพราะถ้าไม่สอนแล้ว ความหลงก็จะหลอกให้ไปยึดติดทันที อยากจะให้สิ่งนั้นอยู่กับเราไปนานๆ อยากจะให้ดีกับเราไปนานๆ พอไม่ได้เป็นไปดังที่ต้องการก็เกิดความเสียใจ เกิดความโกรธแค้น แล้วก็ต้องไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามต่อไป ทำให้ใจกลายเป็นนรกไป กลายเป็นเดรัจฉานไป เพราะไม่มีธรรมะไว้คอยเตือนสตินั่นเอง

 

ถ้ามีธรรมะแล้วจะไม่หวังอะไรจากใครทั้งสิ้น มีก็มีไป อยู่ด้วยกันได้ก็อยู่ไป อยู่แบบไหนก็ได้ จะดีก็ได้ จะชั่วก็ได้ ไม่วิตก เมื่อมีความจำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน ก็อยู่กันไป จะดีจะชั่วก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ถ้าเราไม่ได้ไปหวังให้เขาดีแล้ว เขาจะชั่วอย่างไร เราก็ไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเราไปหวังให้เขาดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ พอเขาไม่ดี กลับโหดร้ายทารุณ เราก็จะเสียอกเสียใจ แต่ถ้าไม่หวังอะไรแล้ว จะรู้สึกเฉยๆ เหมือนกับญาติโยมไม่ได้หวังอะไรจากคนที่เราไม่รู้จัก เขาจะดีหรือไม่ จะชั่วหรือไม่ เราก็ไม่เดือดร้อน เพราะไม่ได้หวัง ไม่ได้ยึดติดกับเขานั่นเอง ปล่อยให้เขาเป็นไปตามเรื่องของเขา ฉันใดกับคนที่อยู่ด้วยกันก็ต้องเป็นอย่างนั้น อย่าไปยึดติด อย่าไปหลง อย่าไปอยากให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่ให้ดูแลกัน ไม่ให้ช่วยเหลือกัน ก็ยังมีความเมตตาต่อกัน มีไมตรีจิต มีความกรุณา มีความสงสาร คอยช่วยเหลือกัน เดือดร้อนอะไร พอจะทำอะไรให้กันได้ก็ทำไป แต่ไม่หวังผลตอบแทนเพราะมีผลอยู่ในตัวแล้ว ถ้าเรามีความเมตตากรุณา ใจของเราจะมีความสุขอิ่มเอิบใจ ไม่ต้องให้คนที่เราให้ความเมตตากรุณา มาให้อะไรตอบแทน เพราะสิ่งที่เขาให้เรานั้น ไม่ทำให้เราอิ่มเอิบใจสุขใจได้ เวลาช่วยเหลือใคร อย่าไปหวังผลตอบแทน เพราะเรามีความสุขเป็นสิ่งตอบแทนอยู่ภายในใจแล้ว เพราะถ้าไปหวังแล้ว เกิดเขาไม่ทำตามที่เราหวัง เราก็จะเสียใจ ก็จะลบล้างความสุขใจที่มีอยู่ให้หายไป พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พิจารณา ถึงความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ของสิ่งต่างๆในโลกนี้อยู่เสมอๆว่า มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา อย่าไปยึดอย่าไปติด แล้วจะไม่ทุกข์ จะไม่กังวล จะอยู่ได้อย่างสุขอย่างสบาย

 

นี่แลคือเรื่องของใจที่พวกเรามักจะไม่ค่อยได้ยินได้ฟังกัน ถ้าไม่ได้มาวัด เพราะเห็นแต่ร่างกาย วิตกกังวลกับร่างกาย พอเจ็บไข้ได้ป่วยก็เดือดร้อนวุ่นวายใจ พอแก่ก็เดือดร้อนใจ พอตายก็ยิ่งวุ่นวายใจใหญ่ เพราะไม่รู้ว่าร่างกายเป็นเพียงเปลือกเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นตัวตนที่แท้จริง ตัวตนที่แท้จริงคือใจต่างหากที่ไม่ตาย เวลาร่างกายตายไป ใจไม่ได้ตายไปด้วย เพราะใจเป็นธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ดับ ทำอย่างไรก็ไม่ตาย เอาระเบิดนิวเคลียร์มาถล่มก็ไม่ตาย ตายเพียงร่างกาย ใจก็ไปเกิดใหม่ ขึ้นอยู่กับว่าขณะที่ตายไป สภาวะของใจเป็นอย่างไร ถ้าสงบเย็นปล่อยวางก็ไปสวรรค์ไปนิพพาน ถ้ารุ่มร้อนหวาดกลัววิตกกังวลก็จะไปสู่อบาย เราจึงต้องฝึกสอนใจ ทำใจให้สงบ ให้นิ่งให้เย็นให้สบาย ด้วยการทำบุญสร้างกุศล รักษาศีล นั่งสมาธิ เจริญปัญญา ปลงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามที่ได้ทรงสอนไว้ พิจารณาอยู่บ่อยๆว่า เกิดมาแล้วต้องแก่ต้องเจ็บต้องตายเป็นธรรมดา ต้องพลัดพรากจากกันเป็นธรรมดา ล่วงพ้นไปไม่ได้

 

ถ้าคิดอย่างนี้อยู่เรื่อยๆแล้ว จะเกิดปัญญาแสงสว่างแห่งธรรมขึ้นมา ที่จะทำให้ไม่หลง ไม่ยึด ไม่ติด กับสิ่งต่างๆในโลกนี้ เมื่อไม่ยึดไม่ติดแล้ว ใจก็เย็นสบาย หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป จึงขอให้หมั่นมาวัดกัน เพื่อจะได้ทำให้หูตาและใจสว่างไสวด้วยแสงสว่างแห่งธรรม ฟังแล้วก็รักษาให้สว่างอยู่เรื่อยๆ ด้วยการระลึก ด้วยการพิจารณา ด้วยการปฏิบัติตาม ถ้าฟังแล้วไม่เอาไปพิจารณาต่อ ไม่เอาไประลึกต่อ ไม่เอาไปปฏิบัติต่อ ก็จะดับไป เหมือนกับไม้ขีดที่จุดไว้ ไม่นานก็จะดับไป แต่ถ้าจุดไม้ขีดแล้วเอาไปจุดกับเทียนหลายๆเล่ม จุดไปเรื่อยๆ ก็จะสว่างไสวอย่างต่อเนื่อง ถ้าเอาไปพิจารณา เอาไปปฏิบัติต่อ ก็จะทำให้แสงสว่างแห่งธรรมของพระพุทธเจ้าสว่างไสวอยู่ในใจไปเรื่อยๆ จะไม่ถูกความหลงหลอกให้ไปยึดไปติด ไปสร้างความทุกข์ให้กับเรา จึงควรให้ความสำคัญต่อการมาวัด มาฟังเทศน์ฟังธรรม นำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้