กัณฑ์ที่ ๓๔๗       ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐

 

ส่งเสริมพระพุทธศาสนา

 

 

 

วันนี้มีคณะครูบาอาจารย์จากโรงเรียนอรุโณทัย เมืองพัทยา ได้พาเด็กนักเรียนมาทัศนศึกษา มาปฏิบัติศาสนากิจ เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง  เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้กับสัตว์โลกและกับเด็กนักเรียนไปนานๆ เป็นการทำบุญทำความดี เป็นการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ด้วยการศึกษาร่ำเรียนพระธรรมคำสอน แล้วก็นำไปปฏิบัติ  พอได้เห็นผลแล้วว่าดีอย่างไร มีความสุขมีความเจริญอย่างไร ก็นำเอาไปเผยแผ่ให้กับผู้อื่นอีกต่อหนึ่ง พระพุทธศาสนาก็จะไม่เสื่อมหายไปจากโลก  การที่พระพุทธศาสนาจะถูกบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  เพราะเป็นเพียงตัวอักษร  ถ้าบรรจุไว้ได้ก็ดี  ถ้าไม่บรรจุก็ไม่เสียหายอะไร เพราะศาสนาไม่ได้อยู่ในกระดาษ ไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่อยู่ในใจของชาวพุทธ อยู่ที่การศึกษา อยู่ที่การปฏิบัติ ถึงแม้จะได้บรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ  ถ้าไม่สนใจศึกษา ไม่สนใจปฏิบัติตาม พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมลงได้ เพราะเหตุของการเสื่อมและการเจริญของพระศาสนาอยู่ตรงที่ ได้ศึกษาและปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าหรือไม่ จึงควรให้ความสนใจต่อการศึกษาและการปฏิบัติ วันนี้เราก็มาศึกษา  ด้วยการฟังเทศน์ฟังธรรม แล้วก็ปฏิบัติ ด้วยการให้ทาน รักษาศีล นั่งสมาธิ เดินจงกรมฏิบัติการฟังเทศน์ฟังธรรม  ที่จะทำให้เกิดความสุขขึ้นมาภายในใจของเรา

 

การปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการทำบุญ ถ้าทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ก็ถือว่าได้ทำบุญแล้ว เช่นท่านสอนให้เราให้ทาน รักษาศีล ฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้าปฏิบัติตาม เราก็จะได้บุญ คือความสุขใจ เราจึงควรดูการกระทำของเราเป็นหลัก ว่าทำตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนหรือไม่  ถ้าไม่ทำตามก็จะไม่ได้บุญ ไม่ได้ความสุข  โดยสรุปบุญคือการกระทำทางกายวาจาใจ ที่ไม่เกิดโทษ มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ทั้งกับตนเองและผู้อื่น เช่นการถวายทานนี้ เป็นคุณเป็นประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย  ผู้ให้ก็มีความสุขใจ ผู้รับก็ได้ประโยชน์จากสิ่งของที่ถวาย ถ้าทำแล้วเกิดโทษเกิดความเสียหายขึ้นมา ก็จะเป็นบาป เช่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ยิงนกตกปลา ตบมดตบแมลง ทำไปแล้วนกปลามดแมลงจะต้องตายไป นกปลามดแมลงไม่มีอะไรต่างจากพวกเรา  มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน มีความกลัวตายเหมือนกัน  เพียงแต่ตัวเล็กกว่าเราเท่านั้นเอง  แต่ใจเขากับใจเราเหมือนกัน อยากมีความสุข อยากอยู่ไปนานๆ ไม่อยากตาย  ไม่อยากถูกฆ่าถูกทำลายเหมือนกัน เราจึงควรเคารพชีวิตของผู้อื่นเท่ากับเคารพชีวิตของเรา เห็นเขาเป็นตัวเล็กๆ อย่าไปคิดว่าไม่มีความรู้สึกเหมือนเรา    เขาเหมือนกับเรา  เราเหมือนกับผู้ใหญ่ ตัวผู้ใหญ่กับตัวเด็กมีขนาดไม่เท่ากัน  แต่ใจของเด็กและใจของผู้ใหญ่เหมือนกัน มีความรักตัวกลัวตาย ปรารถนาความสุขและความเจริญเหมือนกัน  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้มีความเมตตาต่อกัน คือให้มีความปรารถนาดีต่อกัน ให้มองว่าเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นคนที่เรารัก อย่าเกลียดกัน ถ้าเกลียดใครแสดงว่าขาดความเมตตา ถ้ารักใครแสดงว่ามีความเมตตา

 

จึงควรระมัดระวังเวลาพูดอะไรทำอะไร จะต้องไม่ให้ผู้อื่นเดือดร้อน เจ็บเนื้อเจ็บตัว เจ็บช้ำน้ำใจ  พูดด้วยวาจาที่สุภาพ  พูดคำหยาบฟังแล้วทำให้รู้สึกไม่สบายใจ  พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้พูดด้วยวาจาที่สุภาพ ไม่ว่าจะพูดกับใครก็ตาม พูดกับคุณครูคุณพ่อคุณแม่ กับผู้หลักผู้ใหญ่ กับเพื่อนด้วยกันหรือกับผู้อื่น มีค่ะ มีขา มีครับ มีผม จะทำให้เป็นคนน่ารัก น่าชื่นชมยินดี น่ายกย่องสรรเสริญ ถ้าพูดคำหยาบก็จะเป็นคนน่าเกลียด น่าตำหนิ    เพราะคำหยาบเป็นเหมือนกับขยะมูลฝอย เป็นสิ่งที่สกปรก  ฟังแล้วไม่ชื่นอกชื่นใจ ฟังแล้วรำคาญใจ นี่คือการพูดที่ประกอบไปด้วยความเมตตา นอกจากนั้นก็ต้องพูดความจริง ถ้าพูดความจริงไม่ได้ก็อย่าพูด ถ้าไม่อยากจะพูดความจริงก็นิ่งเฉย ไม่ต้องพูดอะไร ถ้าพูดโกหกก็จะทำให้เราเสียหาย เป็นคนไม่มีคุณค่า สมมติว่าเรามีคุณค่าอยู่ ๑๐๐ ทุกครั้งที่เราพูดเท็จพูดปด ก็เท่ากับลดคุณค่าของเราลงไปทีละเล็กทีละน้อย  จาก ๑๐๐ ก็เหลือ ๙๙  จาก ๙๙ ก็เหลือ ๙๘   ถ้าพูดเท็จพูดปดไปเรื่อยๆ ต่อไปจะไม่มีคุณค่าหลงเหลืออยู่ในตัวเราเลย จะเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีใครเชื่อฟังเรา เวลาขอร้องขอความช่วยเหลือ  เพราะเราเดือดร้อนจริงๆ จะไม่มีใครเชื่อเรา เพราะเห็นเราพูดแต่คำเท็จ  เมื่อเราต้องการความช่วยเหลือ ก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น เพราะไม่เชื่อว่าเราเดือดร้อนจริงลำบากจริง  ถ้าพูดความจริงตลอดเวลา พอเราเดือดร้อน ต้องการความช่วยเหลือ ก็จะยินดีช่วยเหลือเรา เพราะคนเราทุกคนต้องตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อนบ้างเป็นธรรมดา การช่วยเหลือกันเป็นบุญเป็นกุศล ช่วยผู้อื่นแล้วทำให้เรามีความสุข ทำให้เราสูงขึ้นเจริญขึ้นดีขึ้น เวลาใครเดือดร้อนพอที่จะช่วยเหลือได้   ก็ควรยินดีช่วยเหลือกัน เป็นการทำบุญ

 

เราจึงควรระมัดระวังเวลาพูดอะไรทำอะไร ไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ไม่ทำลายชีวิตของผู้อื่น ไม่เอาทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองของผู้อื่นที่เขาไม่ได้อนุญาต   อยากจะได้เงินทองของคุณพ่อคุณแม่ ต้องขออนุญาตก่อน ขอเงินไปซื้อขนม ซื้อหนังสือ เงินทองของคุณพ่อคุณแม่ที่วางไว้บนโต๊ะ ไม่ได้เก็บไว้ในลิ้นชักใส่กุญแจ ถ้าอยากได้ก็ต้องขออนุญาตก่อน ถ้าไม่ขออนุญาตก็เป็นการทำบาป  สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ถ้ามีใครเอาเงินของเราไป  เราจะรู้สึกอย่างไร  ถ้าเขาไม่ได้ขอก่อน  เขาเห็นวางไว้ก็หยิบไปเลย  เราก็จะไม่มีเงินใช้ ก็จะต้องเสียใจ จะต้องโกรธ เกิดความทุกข์ความรุ่มร้อนใจขึ้นมา ถ้าเกิดความโกรธ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ระงับความโกรธ  ถ้าเราโกรธแสดงว่าเราไม่มีความเมตตาแล้ว เราต้องรักษาความเมตตาไว้ให้ได้ เวลาเราโกรธใครต้องระงับด้วยการให้อภัย คิดว่าเป็นการทำบุญให้ทานไปก็แล้วกัน  ใครหยิบข้าวของของเราไป  โดยที่เรายังไม่ได้ให้เขา ก็อย่าไปโกรธเขา คิดว่าเป็นการทำบุญก็แล้วกัน เหมือนวันนี้เราเอาข้าวของมาทำบุญ มาถวายพระ  พอถวายแล้วเราก็มีความสุขใจ มีความอิ่มใจ มีความภูมิใจ เราไม่โกรธ ไม่อาฆาตพยาบาท  เพราะตั้งใจจะให้ ถ้าไม่โกรธ  ยินดีที่จะเสียสละ  เราจะได้บุญทันที  ไม่ต้องเสียเวลามาทำบุญที่วัด   เราทำบุญได้ทุกสถานที่ทุกเวลา เวลาโกรธแล้วให้อภัย คิดว่าเป็นการให้ทาน เป็นการทำบุญ เป็นการช่วยเหลือกัน เราก็ยังมีความเมตตาอยู่  ความเมตตานี้จะคุ้มครองเรา ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข 

 

พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ผู้ที่มีความเมตตาย่อมมีความสุขทั้งในขณะที่ตื่นและในขณะที่หลับ  เวลาหลับก็ไม่ฝันร้าย  เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย  เราอยากจะให้เทวดารักเราคุ้มครองเรา  เราไม่ต้องไปซื้อเหรียญมาห้อยให้เสียเวลา  เพราะเหรียญที่ห้อยคอไม่ใช่เทวดาที่แท้จริง  เทวดาที่แท้จริงอยู่ที่การทำความดี ถ้าเรามีความเมตตาแล้วเทวดาก็จะรู้ จะมาดูแลรักษาคุ้มครองเรา ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลาย  ผู้ที่มีความเมตตาจะไม่ตายด้วยยาพิษ  ไม่ตายด้วยศัสตราวุธ ไม่ถูกยิงตาย ไม่ถูกแทงตาย  เพราะไม่มีใครฆ่าคนที่มีความเมตตา  คนที่ทำแต่ความดี  คนที่ช่วยเหลือผู้อื่น  คนที่ถูกฆ่าตายเป็นคนทำบาป เบียนเบียดผู้อื่น สร้างความโกรธแค้นให้กับผู้อื่น ไปลักทรัพย์ไปปล้นไปจี้ ไปต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็จะต้องถูกยิงตาย ถ้าไม่ไปลักทรัพย์ ไม่ไปทำร้ายผู้อื่น ก็จะไม่มีใครมาทำร้ายเรา  ถ้าอยากจะอยู่อย่างปลอดภัย ต้องมีเมตตาต่อกัน เป็นสิ่งที่จะปกป้องคุ้มครองรักษาเราจริงๆ ไม่ใช่พระที่ห้อยไว้ที่คอ  บางทีพระยังรักษาตัวเองไม่ได้เลย เผลอไปวางไว้ที่ไหนก็หายไปได้  คุ้มครองไม่ได้  พระที่ห้อยคอมีไว้สำหรับเตือนใจเรา ให้มีความเมตตาต่อกัน ไม่เบียดเบียนกัน มีความกรุณาต่อกัน  ช่วยเหลือกันสงเคราะห์ ถ้ามีความเมตตากรุณา ดูแลกันช่วยเหลือกันแล้ว จะมีมนุษย์และเทวดาคอยปกป้องเรา  จึงอย่าหลงประเด็น ทุกวันนี้เราเข้าใจผิดกัน คิดว่ามีเหรียญมีพระห้อยคอแล้ว จะปลอดภัย  เป็นไปไม่ได้  คนที่ห้อยพระถูกปล้น ถูกจี้ ถูกฆ่าก็มี  ประสบอุบัติเหตุตายไปก็มี คนที่ไม่ห้อย ไม่ตายก็มี  ไม่ได้อยู่ที่ห้อยหรือไม่ห้อย  อยู่ที่ว่าถึงวาระหรือยัง   เมื่อถึงแล้วก็ต้องตายไป ไม่ว่าจะห้อยพระหรือไม่

 

ชีวิตจะสั้นหรือจะยาวอยู่ที่บุญกรรมที่ได้ทำมา  บุญเป็นเหมือนน้ำมันรถ ถ้าเติมน้ำมันเต็มถัง  ก็จะไปได้ไกลกว่า  เติมน้ำมันเพียงครึ่งถัง  ไปได้เพียงครึ่งทาง เติมน้ำมันเต็มถังก็ไปได้สุดทาง ฉันใดบุญถ้าทำไว้มากอายุก็จะยืนยาวนาน ถ้าทำบุญน้อยอายุก็จะสั้น อยู่ตรงนี้ต่างหาก อยู่ที่การกระทำของเรา ไม่ได้อยู่ที่ใคร ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้อยู่ที่พระอริยสงฆ์ ไม่ได้อยู่ที่เหรียญ ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธรูป อยู่ที่ตัวเรา อยู่ที่การทำความดี ขอให้เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนและปฏิบัติตาม คือทำความดีให้มากๆ มีความเมตตากรุณาต่อกัน มีความกตัญญูกตเวทีให้รำลึกถึงพระคุณของบิดามารดาครูบาอาจารย์ แล้วตอบแทนบุญคุณเท่าที่จะทำได้  ถ้าเป็นเด็กก็ตอบแทนด้วยการให้ความเคารพ  เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ครูบาอาจารย์ ท่านจะพูดสั่งสอนอะไรเรา ให้พนมมือตั้งใจฟังสิ่งที่ท่านพูด ถึงแม้จะไม่ชอบฟัง ก็อย่าไปเถียง อย่าไปปฏิเสธ เพราะท่านเกิดมาก่อนเรา มีประสบประการณ์มามากกว่าเรา รู้อะไรดีอะไรไม่ดี  อะไรเป็นคุณเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ เราก็ควรเชื่อฟังและปฏิบัติตาม  แล้วเราจะปลอดภัย  โบราณมีคำพูดอยู่ว่า เดินตามหลังผู้ใหญ่หมาไม่กัด เดินไปเองโดนหมากัด  ถ้าไม่อยากให้หมากัดก็ให้เดินตามผู้ใหญ่ คือเชื่อฟังผู้ใหญ่ เชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ เชื่อฟังครูบาอาจารย์ จะปลอดภัย ถ้าไม่เชื่อฟังก็จะต้องเสี่ยงกับภัยอันตรายต่างๆ เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก   อะไรดีอะไรชั่ว อะไรเป็นคุณอะไรเป็นโทษ ส่วนใหญ่จะทำในสิ่งที่เป็นโทษเป็นพิษเป็นภัยกับเรา แล้วก็ต้องมาเสียอกเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ เวลาตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน ติดคุกติดตะราง  จึงควรตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ ของครูบาอาจารย์  ด้วยการเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จะมีแต่ความสุขความเจริญก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว จึงขอฝากเรื่องของการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และการสร้างความสุขความเจริญให้กับตนเอง   ด้วยการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วนำไปปฏิบัติ การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้