กัณฑ์ที่ ๓๔๙       ๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐

 

พัฒนาภายใน

 

 

 

วันนี้ท่านทั้งหลายได้มาวัด เพื่อมาพัฒนาจิตใจ ให้ดีขึ้นให้เจริญขึ้น ตลอดเวลา ๕-๖ วันที่ผ่านมา ท่านก็ใช้เวลากับการพัฒนาทางด้านอื่น  พัฒนาการทำมาหากินให้มีรายได้มากขึ้น พัฒนาความสุขให้มีมากขึ้น ด้วยการซื้อข้าวของต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเป็นรถเป็นเสื้อผ้าเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ เป็นการพัฒนาภายนอก แต่วันนี้เรามาพัฒนาภายในกัน พัฒนาใจให้เจริญให้มีความสุขมากขึ้น การพัฒนาภายนอกและภายใน มีความแตกต่างกัน การพัฒนาภายในเป็นการพัฒนาที่แท้จริง การพัฒนาภายนอกเป็นการพัฒนาที่ไม่ถาวร ที่ต้องทำในขณะที่มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็ต้องพัฒนาภายนอก แต่หลังจากที่ตายไปแล้ว ใจของเราก็จะไปสู่ภพหน้าชาติหน้า ถ้าใจได้รับการพัฒนาในขณะที่มีชีวิตอยู่ อย่างเช่นวันนี้ ถ้าได้รับการพัฒนาอยู่เรื่อยๆ ใจก็จะสูงขึ้นดีขึ้นมีความสุขมากขึ้น จะไปเกิดที่ดีกว่าปัจจุบันนี้ จึงไม่ควรมองข้ามการพัฒนาจิตใจ ควบคู่กับการพัฒนาภายนอก เช่นสมบัติข้าวของเงินทอง วิชาความรู้ที่ใช้ในการประกอบอาชีพต่างๆ ถ้าเป็นเด็กเช่นเด็กนักเรียนอรุโณทัย ที่วันนี้คุณครูได้พามาพัฒนาจิตใจ ในช่วงวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ก็ต้องพัฒนาทางวิชาความรู้ ต้องไปเรียนหนังสือ เพื่อจะได้มีวิชาความรู้ เป็นเครื่องมือประกอบสัมมาอาชีพ ถ้าไม่มีความรู้ก็จะไม่สามารถประกอบอาชีพที่ดีที่สบายได้ ถ้าไม่ได้เรียนหนังสือ เวลาไปทำงานก็จะไม่ได้ทำงานบริษัท นั่งโต๊ะเขียนหนังสือใช้เครื่องคอมฯ สั่งงานสั่งการผู้อื่น ต้องทำงานที่ใช้แรงงาน เป็นภารโรง เป็นคนสวน เป็นคนรับใช้ ซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดในบ้านเรือน เพราะไม่มีความรู้ รายได้ก็จะแตกต่างกัน ถ้าไม่มีความรู้จะได้รายได้ขั้นต่ำ วันละร้อยสองร้อยบาท ถ้าได้เรียนจบขั้นปริญญา ก็จะได้เงินเดือนมากกว่าหลายเท่า ได้เป็นหมื่นเป็นแสน

 

ในเบื้องต้นจึงต้องพัฒนาภายนอกให้พอเสียก่อน ถ้าเป็นนักเรียนนักศึกษา ก็ต้องหมั่นไปโรงเรียน หมั่นเรียนหนังสือ ตั้งใจเรียน เวลาอยู่ในห้องเรียนก็ไม่เล่นกัน ไม่พูดไม่คุยกัน ตั้งใจฟัง เวลาคุณครูสอนให้ตั้งใจฟังให้ดี พยายามจดจำเอาไว้ คุณครูให้การบ้านกลับไปทำที่บ้าน เมื่อกลับไปถึงบ้านก็รีบทำการบ้านก่อน อย่าไปทำอย่างอื่น ทำการบ้านให้เสร็จเรียบร้อย แล้วค่อยไปทำอย่างอื่นต่อไป ถ้าไม่เล่นได้ก็ดี มีเวลาว่างก็ช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำงาน มีงานอะไรในบ้านพอที่จะช่วยได้ก็ควรช่วย อย่างน้อยก็ดูแลส่วนของเราให้เรียบร้อย ถ้ามีห้องนอนของเราเอง ก็กวาดถูจัดห้องให้เรียบร้อย ถ้าซักเสื้อผ้าได้ก็ควรซักเอง ถ้าพอที่จะช่วยคุณแม่ล้างถ้วยล้างชามได้ก็ควรจะทำ เพราะเป็นการพัฒนาจิตใจควบคู่ไปกับการพัฒนาวิชาความรู้ พอเรียนจบแล้ว จะได้ไปทำงาน เวลาทำงานเราก็ต้องตั้งใจทำ ขยันทำ ทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โกงเวลา เขาจ้างเราไปทำงาน ไม่ได้จ้างให้เราไปอ่านหนังสือพิมพ์ ไปดื่มกาแฟไปทำธุรกิจส่วนตัว เขาจ้างไปทำงานให้กับบริษัท เราก็ต้องซื่อสัตย์ ต้องทำงานให้เต็มที่ ถ้าไม่ทำอย่างเต็มที่ ใช้เวลาของบริษัทไปแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ก็เป็นการประพฤติทุจริตมิชอบ เป็นการลักขโมย เป็นการฉ้อโกง ทำให้เราไม่เจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เจ้านายไม่อยากส่งเสริม ไม่อยากเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งให้ ไม่อยากเพิ่มเงินเดือนให้ เพราะไม่ได้ทำงานเต็มที่ ถ้าขยันตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ เวลาไปทำงานก็ไปก่อนเวลา เวลาเลิกงานก็ออกจากบริษัทหลังเวลาเลิกงาน ถ้าทำอย่างนี้รับรองได้ว่าจะเจริญก้าวหน้า มีรายได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจะได้เอาไปใช้จ่ายต่อไป

 

การใช้จ่ายก็ต้องรู้จักใช้ ต้องแบ่งรายรับไว้เป็นส่วนๆ ส่วนหนึ่งก็ใช้กับสิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ เช่นค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟเป็นต้น อีกส่วนหนึ่งก็ต้องเก็บเอาไว้ เพื่อใช้จ่ายเวลาตกงานหรือเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ไม่สามารถไปทำงานได้ จะได้มีเงินสำรองไว้ดูแลตัวเรา อีกส่วนหนึ่งก็แบ่งไว้สำหรับทำบุญทำทานช่วยเหลือผู้อื่น ตอบแทนบุญคุณต่อผู้มีพระคุณ เช่นคุณพ่อคุณแม่ ครูบาอาจารย์ ที่เราควรรำลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของท่านเสมอ เพราะถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ เราก็เกิดมาไม่ได้ เป็นตัวตนอย่างที่เป็นอยู่วันนี้ไม่ได้ จะไปเรียนหนังสือก็ไปไม่ได้ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียน ทุกวันนี้ที่เราสามารถทำอะไรต่างๆได้ ก็เป็นเพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นผู้สนับสนุน ให้เงินให้ทองเรา อยากจะเรียนหนังสือ ท่านก็ส่งเราไปโรงเรียน ต้องการซื้อเสื้อผ้าชุดนักเรียนใส่ คุณพ่อคุณแม่ก็ซื้อให้ มีแต่คุณพ่อคุณแม่เท่านั้นที่ดูแลเรา เราจึงต้องสำนึกถึงบุญคุณอันประเสริฐของคุณพ่อคุณแม่เสมอ ถ้าไม่มีท่านคอยดูแลเราแล้ว เราจะตกทุกข์ยากลำบาก อาจจะต้องไปขายพวงมาลัยตามสี่แยก เป็นเด็กขอทานอยู่ข้างถนนก็ได้ ถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูส่งเสีย ให้ได้เรียนหนังสือ ให้ได้อยู่อย่างสุขอย่างสบาย นี่คือพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ที่เราควรจะตระหนักรำลึกถึงอยู่เสมอ

 

ถ้าเรายังไม่มีรายได้ ก็ควรแสดงความกตัญญู ด้วยการเคารพนับถือ กราบพ่อกราบแม่อยู่เสมอ เวลาจะไปจะมาก็ต้องไหว้ต้องบอกคุณพ่อคุณแม่ก่อน อยากจะไปข้างนอกบ้านก็ต้องขออนุญาตคุณพ่อคุณแม่ก่อน เมื่อกลับมาแล้วก็ต้องรายงานตัวให้คุณพ่อคุณแม่ทราบ ว่าได้กลับมาแล้ว ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่ ท่านสอนให้ทำอะไรก็ควรทำ ท่านห้ามไม่ให้ทำอะไรก็ไม่ทำ เพราะท่านมีอายุมากกว่าเรา ท่านเกิดก่อนเรา ผ่านโลกมามากกว่าเรา รู้ผิดรู้ถูกรู้ดีรู้ชั่วมากกว่าเรา ท่านจึงไม่อยากให้เรารับเคราะห์กรรมเหมือนกับที่ท่านได้รับมา ไม่อยากให้เราเสียเวลาที่มีคุณค่าของชีวิต ไปกับสิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ท่านจึงต้องคอยสอนคอยห้ามเรา ถ้าเราเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่แล้ว เราก็จะอยู่เย็นเป็นสุขและเจริญก้าวหน้า ทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุขตามไปด้วย เป็นการระลึกถึงบุญคุณและตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ พอเราโตแล้วมีเงินทอง ก็แบ่งเอาไว้ตอบแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ ซื้อข้าวของให้ท่านใช้บ้าง ถ้าท่านมีอายุมากไม่มีความสามารถดูแลตัวของท่านได้ ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราที่จะต้องเลี้ยงดูท่านต่อไป เวลาท่านมีอายุมากๆ ก็จะเป็นเหมือนเด็ก ทำอะไรเองไม่ได้ เพราะความชรา นี่คือการปฏิบัติกับบิดามารดา

 

ส่วนคุณครูที่โรงเรียนก็เช่นกัน เราก็ต้องให้ความเคารพ ต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของคุณครู เพราะคุณครูมีความปรารถนาดี รักลูกศิษย์ มีความเสียสละ แทนที่จะไปทำอาชีพอื่น ที่ได้เงินทองมากกว่าเป็นครู ก็ยอมเสียสละ เพราะมีจิตเมตตา มีสัญชาตญานของผู้เสียสละอยู่ในจิตใจ จึงรักที่จะอบรมสั่งสอนพวกเรา ให้เจริญก้าวหน้า มีวิชาความรู้ไว้เป็นที่พึ่งต่อไป คุณครูบาอาจารย์เปรียบเหมือนคนพายเรือจ้าง สมัยก่อนเวลาจะข้ามแม่น้ำข้ามคลอง ต้องนั่งเรือพายข้าม สมัยนี้มีมอเตอร์ไซด์รับจ้างแทน คุณครูก็เป็นเหมือนคนขี่มอเตอร์ไซด์รับจ้าง พาเราจากสถานที่หนึ่งไปสู่อีกสถานที่หนึ่ง ในสมัยโบราณมีแต่เรือพายรับจ้าง อยากจะข้ามจากฝั่งนี้ไปฝั่งนั้น ก็จ้างเรือพายกัน จึงเปรียบคุณครูว่าเหมือนเป็นคนพายเรือจ้าง เป็นผู้พาลูกศิษย์ลูกหาจากความโง่เขลาเบาปัญญา ไม่มีวิชาความรู้ ให้มีความรู้ความฉลาด มีปริญญา เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งของตนต่อไป เราจึงต้องรำลึกในบุญของคุณครูบาอาจารย์เสมอ อย่าไปคิดว่าท่านเป็นเพียงลูกจ้างของโรงเรียน ท่านเป็นมากกว่านั้น เป็นเหมือนคุณพ่อคุณแม่ของเรา เพราะเวลาที่เราออกจากบ้านมาโรงเรียน คุณครูนี่แหละจะเป็นพ่อแม่แทนคุณพ่อคุณแม่เรา เพราะคุณพ่อคุณแม่ไว้วางใจคุณครู เราจึงต้องให้ความเคารพให้ความเชื่อฟัง เหมือนกับเราเคารพและเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่ ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ได้แล้ว เราจะเป็นคนดี มีคนยกย่องสรรเสริญ เรียนจบชั้นสูงๆ เวลาไปทำงานก็จะมีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน จะร่ำรวยมีความสุข เพราะจะมีเงินไปซื้อข้าวของต่างๆ

 

แต่ความร่ำรวยยังไม่ได้ให้ความสุขเท่าที่ควร ยังมีความสุขที่ดีกว่า ความสุขจากความร่ำรวยเป็นเหมือนขนม ความสุขที่เกิดจากการพัฒนาจิตใจให้ดีขึ้นให้สูงขึ้น เป็นเหมือนกับข้าวกับปลาอาหาร ความสุขจากการพัฒนาภายนอกเป็นเหมือนขนมของหวานต่างๆ รับประทานแล้วก็มีความสุข ถ้ารับประทานขนมอย่างเดียว ไม่รับประทานอาหารด้วย ร่างกายก็จะไม่สบายได้ เพราะไม่พอเพียงต่อการดูแลร่างกาย กินขนมมากเกินไป ก็จะทำให้ร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยได้ จึงต้องกินอาหารด้วย กินข้าวกินกับกินผลไม้ต่างๆ อาหารที่เรารับประทานจึงเป็นเหมือนกับการพัฒนาทางจิตใจ การทำความดีต่างๆ เช่นวันนี้เรามาทำความดีด้วยการทำบุญตักบาตร ถวายอาหาร ถวายข้าวของต่างๆ มารักษาศีล ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี  พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา มาฟังเทศน์ฟังธรรม จะได้มีวิชาความรู้ไว้พัฒนาจิตใจให้ดีขึ้นให้สูงขึ้น มีความสุขมากขึ้น มีความทุกข์น้อยลง เป็นอาหารที่แท้จริงสำหรับจิตใจ ถ้าใจได้รับการพัฒนาแล้ว ชีวิตของเราจะสมดุล คือมีความสุขกับการใช้เงินใช้ทอง จิตใจมีความสุขกับการทำความดี กับการศึกษาพระธรรมคำสอน เพื่อจะได้ใช้ความรู้นี้ปฏิบัติกับเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นต่อไป ศาสนาจะสอนให้เราเตรียมตัวเตรียมใจ รับกับเหตุการณ์ที่เราไม่อยากจะเจอกัน เช่นการพลัดพรากจากกัน การสูญเสียสิ่งต่างๆ บุคคลต่างๆไป ความผิดหวัง ที่เราไม่อยากจะเจอกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเรา ที่จะต้องพบกันไม่ช้าก็เร็ว สักวันหนึ่งเราก็ต้องจากกัน ไม่อยู่ด้วยกันไปตลอด สักวันหนึ่งก็อาจจะต้องผิดหวังกับเรื่องนั้นกับเรื่องนี้ อาจจะชอบคนนั้นรักคนนี้ แต่เขาไม่รักเรา เราก็จะผิดหวังได้

 

พระพุทธศาสนาจึงต้องสอนให้เราเตรียมตัวเตรียมใจ ไว้รับกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น จะได้ไม่เสียใจกับความผิดหวัง เวลาไม่ได้ดังใจก็ไม่เป็นไร ยังมีชีวิตอยู่หาใหม่ได้ เมื่อก่อนไม่มีสิ่งนี้ เราก็อยู่ได้ มีความสุขได้ ตอนนี้อยากได้แต่ไม่ได้มา ก็ไม่เป็นไร ถ้าได้มาก็ต้องเตือนเราว่า สิ่งต่างๆที่อยากได้นั้น อาจจะไม่ได้มาเสมอไป เพราะไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้ เราอยู่ในโลกที่ไม่มีความแน่นอน ไม่สมหวังเสมอไป เราต้องพร้อมที่จะผิดหวัง จะได้รู้สึกเฉยๆ ไม่เดือดร้อน ถ้าไม่เตรียมตัวเตรียมใจไว้ เวลาผิดหวังก็จะทุกข์ทรมานใจ จะคิดทำในสิ่งที่ไม่ดี ประชดผู้อื่นด้วยการทำร้ายตัวเอง ทำตัวสำมะเลเทเมาเป็นต้น ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่จะซ้ำเติมตัวเราให้ทรุดลงไปให้เสื่อมลงไป ถ้าได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่เรื่อยๆ ที่สอนให้รู้ว่า จะต้องพลัดพรากจากกัน สักวันหนึ่งอาจจะต้องไปอยู่ที่อื่น ไม่ได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ ก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจไว้ ไม่เป็นไร เพราะคนอื่นที่ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ เขาก็อยู่กันได้ อยู่ที่ใจเราเท่านั้นว่าพร้อมหรือไม่ ถ้าพร้อมแล้วอยู่ที่ไหนกับใครก็ได้ นี่คือความจริงของชีวิต จะต้องมีการจากกัน จากสิ่งนั้นไปจากสิ่งนี้ไป จากคนนั้นไปจากคนนี้ไป แต่ในขณะเดียวกันก็จะได้พบกับสิ่งใหม่ๆ พบคนใหม่ เวลาได้พบก็อย่าไปหลงคิดว่าจะต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด ต้องคิดว่าเดี๋ยวก็ต้องจากกันอีก ชีวิตของเราเป็นอย่างนี้ มีการจากกัน มีการพบกัน แล้วก็จากกันอีก สลับกันไปอย่างนี้อยู่เรื่อยๆ ต้องคิดว่าเป็นเหมือนฝนตกแดดออก ฝนเดี๋ยวก็ตกเดี๋ยวก็หยุด เดี๋ยวก็กลับมาตกอีกเดี๋ยวก็หยุดอีก ถ้าพร้อมที่จะรับกับฝน เราก็ไม่เดือดร้อน ฝนจะตกหรือไม่

 

เช่นเดียวกับการพบกันและจากกัน ถ้าพร้อมที่จะพบกับใคร อยู่กับใคร จากใครไป รับรองได้ว่าจะไม่วุ่นวาย ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศกเสียใจ ไม่เสียใจ ไม่ผิดหวัง เพราะไม่ได้หวัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำอะไร ก็ทำไปตามความสามารถ ได้อะไรมามากน้อย ก็พอใจกับสิ่งที่ได้มา และพร้อมที่จะเสียไปเมื่อถึงเวลา เช่นวันนี้คุณพ่อคุณแม่ให้เงินให้ทองมา เราก็เอามาซื้อข้าวของ มาทำบุญถวายพระ ได้เงินมาแล้วก็เสียไป แต่เสียด้วยความเต็มใจ ก็เป็นบุญเป็นกุศลไป ทำให้มีความสุขความสบายใจ เราจึงต้องฝึกอยู่เรื่อยๆ ยินดีที่จะเสีย เห็นเพื่อนขาดอะไร พอจะแบ่งให้เพื่อนได้ ก็ให้เขาไป จะมีความสุขใจ ถ้าไม่ได้ให้แล้วเกิดหายไป จะเสียใจ ร้องห่มร้องไห้ นี่คือความจริงที่พระพุทธศาสนาสอน ให้รู้จักคิดและรู้จักวิธีปฏิบัติกับเหตุการณ์ต่างๆ เราจึงต้องฟังอยู่เรื่อยๆ คำสอนของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นคุณครูที่โรงเรียน หรือพระตามวัดต่างๆ ให้ตั้งใจฟัง จดจำไว้ให้ดี ให้คิดอยู่เรื่อยๆ ให้พร้อมที่จะรับกับเรื่องราวต่างๆ จะได้ไม่เสียใจ ไม่ผิดหวัง จะอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความเจริญก้าวหน้าโดยถ่ายเดียว จึงขอฝากเรื่องการพัฒนาทั้งสองส่วนคือ พัฒนาภายนอก คือวัตถุข้าวของเงินทอง และพัฒนาภายใน คือบุญและกุศล ให้เอาไปพิจารณาและประพฤติปฏิบัติต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้