กัณฑ์ที่ ๓๕๒       ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๐

 

ธุระของพระ

 

 

 

การมาวัดมาได้หลายรูปแบบด้วยกัน  บางท่านมาตอนเช้า มาทำบุญให้ทานตักบาตร  ฟังเทศน์ฟังธรรม เสร็จแล้วก็กลับบ้าน  เพื่อไปทำหน้าที่การงานต่อไป  บางท่านมีเวลาว่างก็มาอยู่วัด  ๓ วันบ้าง ๗ วันบ้าง ๓ เดือนบ้าง  เช่นขณะนี้ใกล้จะถึงเวลาเข้าพรรษา เป็นธรรมเนียมประเพณีของชาวไทยพุทธ ถ้ามีลูกชายอายุครบบวช คือตั้งแต่อายุ ๒๐ ปีขึ้นไป  ถ้าลูกมีศรัทธาจะบวช พ่อแม่ก็จะพามาฝากวัดเพื่อเตรียมตัวบวช  การบวชจะต้องเตรียมตัวหลายอย่าง เพราะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิต  จากฆราวาสให้เป็นพระภิกษุ ซึ่งเป็นชีวิตที่ต่างกัน  เพศของฆราวาสไม่ค่อยมีกำหนดกฎเกณฑ์มากนัก ไม่เหมือนกับเพศของพระ ที่มีพระวินัย ข้อบังคับอยู่ถึง ๒๒๗ ข้อ นอกจากนั้นยังมีกฎมีระเบียบอื่นๆอีก เช่นที่วัดนี้ก็มีข้อธุดงควัตร ที่พระภิกษุสามเณรอยู่จำพรรษาจะต้องปฏิบัติตาม   คือต้องออกบิณฑบาตทุกวัน  ยกเว้นไม่สบาย เจ็บไข้ได้ป่วย ต้องกลับมาฉันที่ศาลา  ฉันในบาตร  เอาอาหารทั้งหมดใส่ไปในบาตร ไม่ต้องใช้ถ้วยชาม เป็นการฝึกอยู่แบบเรียบง่าย  ไม่พิถีพิถันมากจนเกินไป   นอกจากนั้นก็ให้ฉันมื้อเดียว พอฉันเสร็จแล้วลุกออกจากที่นั่งไปแล้ว ก็จะไม่ฉันอาหารอีก  จนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้น เป็นการฝึกความอดทน  ความมักน้อยสันโดษ  สำหรับนักบวชไม่ต้องรับประทานถึงวันละ ๓ มื้อ เพราะไม่มีภารกิจการงานที่ต้องใช้พลังงานมาก  การรับประทานอาหารเพียงมื้อเดียวกลับจะดีกว่า  เพราะจะช่วยส่งเสริมการปฏิบัติธรรม เช่นการนั่งสมาธิ  ถ้ารับประทานอาหารมาก  จะง่วงเหงาหาวนอน นั่งสัปหงก หลับใน ไม่ได้ผล  อุบายแก้ความง่วงอย่างหนึ่ง ก็คือการรับประทานอาหารพอประมาณ ถ้าต้องการให้เข้มข้นยิ่งขึ้นก็อดอาหารเป็นครั้งเป็นคราวไป    

 

การรับประทานอาหารพอประมาณ ก็คือรับประทานวันละ ๑ ครั้งก็พอแล้ว   แต่สำหรับบางองค์บางท่านที่ยังง่วงอยู่ ก็จะอดอาหารไปทีละหลายๆวัน   เพราะจะทำให้ตื่นตัวไม่ง่วงเหงาหาวนอน  เวลานั่งทำสมาธิจะมีสติ จะเข้าสู่ความสงบได้ง่ายกว่า เวลาที่รับประทานอาหารตามปกติ  นี่คือข้อวัตรต่างๆที่ผู้มาบวชจะต้องมาปฏิบัติ   จึงให้มาลองดูก่อน ๗  วันก่อนบวช ให้อยู่เป็นผ้าขาว  ๗ วัน ปฏิบัติตามพระทุกอย่าง  ตอนเช้ามืดตี ๔  ก็ลุกขึ้นมานั่งสมาธิ  พอตี ๕ ก็ลงโบสถ์ทำวัตรเช้าไหว้พระสวดมนต์  พอตอน ๖ โมงก็ออกบิณฑบาต ช่วยพระหิ้วอาหาร    กลับจากบิณฑบาตก็ช่วยกันจัดอาหารแบ่งอาหาร รับประทานอาหารที่ศาลา    ถ้าเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์วันพระ ก็จะมีการแสดงพระธรรมเทศนาอบรมสั่งสอน เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ  เพราะการจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้   จะต้องรู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร   จะต้องละอะไร  จะต้องส่งเสริมอะไร   ถ้าไม่ได้ศึกษาจะไม่รู้ เหมือนกับการเดินทาง จะต้องศึกษาดูทิศทางก่อน   ถ้ามีแผนที่ก็เปิดกางดู    ถ้าไม่มีก็ต้องถามคนที่เคยไปมาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง ในทางศาสนาจึงต้องมีการศึกษาเป็นเบื้องต้น มีการอบรมสั่งสอน เพื่อให้รู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็นำเอาไปปฏิบัติ  ปฏิบัติแล้วก็จะได้ผล   ได้ผลแล้วก็นำเอาไปเผยแผ่สั่งสอนผู้อื่น   เป็นวิธีสืบทอดพระพุทธศาสนา มาตั้งแต่สมัยพระพุทธกาล

 

เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าประกาศพระศาสนาเป็นครั้งแรก  พอผู้มีจิตศรัทธาได้ฟังแล้ว ก็นำเอาไปปฏิบัติ ก็จะบรรลุถึงผลที่เลิศที่ประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบรรลุถึง   ต่อจากนั้นก็ช่วยพระพุทธเจ้าสั่งสอนแก่ผู้อื่นอีกต่อหนึ่ง   พอผู้มีศรัทธาได้ยินได้ฟัง ก็นำเอาไปปฏิบัติ ก็บรรลุผลกัน แล้วก็ช่วยกันสั่งสอนต่อ พระพุทธศาสนาจึงมีความรุ่งเรืองมาจนถึงปัจจุบันนี้   ตราบใดยังมีการบวชเรียน  มีการศึกษา  มีการปฏิบัติ มีการบรรลุธรรมอยู่ ศาสนาจะไม่สูญไปจากโลกนี้  จะบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ตาม ไม่ใช่เรื่องสำคัญ  สำคัญอยู่ที่ชาวพุทธจะศึกษาปฏิบัติจนบรรลุผลได้หรือไม่  ถ้าไม่สนใจที่จะศึกษา ไม่สนใจฟังเทศน์ฟังธรรม  ไม่สนใจที่จะปฏิบัติตาม  ผลอันเลิศอันประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายได้บรรลุถึง ก็จะไม่ปรากฏขึ้นมา ก็จะไม่สามารถนำเอาไปเผยแผ่สั่งสอนถ่ายทอดให้กับผู้อื่นได้  เป็นเหมือนคนที่ไม่ได้เดินทางไปถึงจุดหมายปลายทาง แล้วจะไปบอกคนอื่นได้อย่างไรว่าดีอย่างไร  จะบอกไม่ได้ ถ้าบอกก็บอกแบบคาดคะเน ไม่แน่ใจไม่มั่นใจ พอถูกซักถามก็ตอบไม่ได้  เพราะไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง   แต่คนที่ไปถึงแล้ว เห็นแล้วว่าเป็นอย่างไร  ต่อให้ถามอย่างไรก็จะตอบได้    ทำให้ผู้ฟังผู้ถามเข้าอกเข้าใจเกิดศรัทธา ยินดีที่จะศึกษาและปฏิบัติตาม  และเมื่อปฏิบัติแล้วก็จะเห็นผลอย่างแน่นอน     นี่แลคือการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา การส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง ให้เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นที่พึ่งแก่สัตว์โลกไปยาวนาน   

 

ผู้มาบวชจึงควรคำนึงเสมอว่าตนมีหน้าที่อะไร อย่าสักแต่ว่าบวช บวชตามประเพณี เห็นเขาบวชก็บวชตาม ไม่สนใจปฏิบัติตามกฎตามระเบียบตามพระวินัย บวชไปก็เสียข้าวสุก เสียเวลา ไม่เกิดประโยชน์อะไร   มีแต่ร่างของนักบวชแต่ไม่มีสาระของการบวชเลย   มีแต่กิริยาของการบวช โกนหัวนุ่งห่มผ้าเหลือง แต่ไม่มีสาระของการบวชเลย   นักบวชไม่มีธุระที่ต้องทำเหมือนกับฆราวาสญาติโยม ที่มีภารกิจการงานมาก  ธุระของพระของนักบวชนั้น พระพุทธเจ้าทรงกำหนดไว้เพียง ๒ อย่างเท่านั้นคือ  ๑. คันถธุระ  ๒. วิปัสสนาธุระ  คันถธุระคือการศึกษาเล่าเรียนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า   วิปัสสนาธุระคือการปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  นี่คือหน้าที่หลักของพระภิกษุสามเณร  ของนักบวชในพระพุทธศาสนา มีเพียง ๒ อย่างนี้เท่านั้น หลังจากได้ศึกษาและปฏิบัติจนบรรลุแล้ว จึงมีหน้าที่เป็นครูเป็นอาจารย์  เผยแผ่พระธรรมคำสอนอีกต่อหนึ่ง แต่หน้าที่อย่างอื่นไม่ใช่เป็นหน้าที่หลัก  เช่นการก่อสร้างต่างๆ  สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ สร้างกุฏิ สร้างวิหารไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุโดยตรง เป็นหน้าที่ของฆราวาสญาติโยม  ถ้ามีจิตศรัทธาก็จะสร้างให้เอง ไม่ต้องไปเรี่ยไร ไม่ต้องแจกซองผ้าป่า   ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาของขอทาน เป็นศาสนาของพระอริยเจ้าผู้ประเสริฐ  มีปัญญาเหนือสัตว์โลกทั้งหลาย เป็นโลกวิทู ผู้รู้โลก เป็นสัตถา เทวะมะนุสสานัง เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  จึงไม่ต้องไปเรี่ยไรขอเงินขอทองจากศรัทธาญาติโยม  

 

เพราะศรัทธาญาติโยมจะมีศรัทธาเอง ถ้ารู้ว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เช่น พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ต้องเรียกร้อง  ไม่ต้องขอร้องเลย  มีแต่จะขอสร้างถวาย  ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่เคยสร้างวัดเลยแม้แต่วัดเดียว มีแต่ศรัทธาญาติโยมเป็นผู้สร้างถวายให้ทั้งนั้น เพราะไม่ทรงถือเป็นภารกิจ   ทรงมีหน้าที่สั่งสอนอบรมเท่านั้น   มีภารกิจอยู่  ๕ ประการ ที่ทรงปฏิบัติทุกๆวัน เรียกว่าพุทธกิจ ๕  คือ ๑. ตอนเช้าทรงออกบิณฑบาตโปรดสัตว์   ๒. ตอนบ่ายทรงอบรมสั่งสอนฆราวาสญาติโยม   ๓. ตอนหัวค่ำทรงอบรมสั่งสอนพระภิกษุสามเณร   ๔. ตอนดึกทรงสั่งสอนเทวดา ๕. ตอนก่อนจะสว่างทรงเล็งญาณดูว่า จะมีผู้ใดสมควรไปโปรดไปสั่งไปสอน  นี่คือภารกิจทั้ง ๕ ประการ ที่พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญตลอด ๔๕  ปีด้วยกัน   เป็นหน้าที่หลักของพระพุทธเจ้า  พระองค์ไม่เคยนั่งปลุกเสกปลุกเหรียญ  สร้างพระพุทธรูปสร้างเหรียญต่างๆ ไว้แจกศรัทธาญาติโยม เพราะไม่ได้ทำให้สุขให้เจริญ ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์  หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดเลย  มีไปก็เท่านั้น ห้อยไปก็เท่านั้น ตายเหมือนกัน ไม่ได้ทำให้วิเศษไปกว่าเดิม  ถ้าวิเศษจริงแล้ว พวกที่ห้อยพระห้อยเหรียญทั้งหลาย น่าจะวิเศษกันไปหมดแล้ว  ประเทศไทยจะมีแต่คนวิเศษ เพราะมีการปลุกเสกมีการผลิตเหรียญแจกกันนับจำนวนไม่ถ้วน   แต่ประเทศชาติกลับเดินถอยหลังเข้าคลอง เพราะไม่สนใจศึกษาปฏิบัติ ไม่สนใจทำความดี ไม่สนใจละความชั่ว  ละอบายมุขต่างๆ แต่กลับสนใจส่งเสริมพวกอบายมุขต่างๆให้มีมากยิ่งขึ้น  มีการพยายามทำให้การเล่นการพนันถูกกฎหมาย  เปิดบ่อนถูกกฎหมายเป็นต้น   

 

เป็นการเดินถอยหลังเข้าคลอง  ไม่ใช่เดินตามพระพุทธเจ้าตามนักปราชญ์  จะมีความสุขความเจริญได้อย่างไร  ความสุขความเจริญที่ได้ก็เป็นความสุขความเจริญปลอม  ไม่ใช่ของจริง  เช่นสุขกับการดื่มสุรายาเมา  เล่นการพนัน  เที่ยวกลางคืน  เสพกาม  เป็นความสุขปลอมเพราะมีความทุกข์ตามมา  มีใครบ้างที่ไม่ทุกข์จากสิ่งเหล่านี้  เล่นการพนันก็หมดเนื้อหมดตัว กินเหล้าเมายาก็ไปทะเลาะวิวาท  ไปขับรถชนผู้อื่น ไปประสบอุบัติเหตุ  เป็นความทุกข์ทั้งนั้น แต่คนที่ไม่มีปัญญา มีความหลงครอบงำจิตใจ จะไม่เห็นความทุกข์ กลับเห็นเป็นความสุข  เห็นกลับตาลปัตร  เห็นกงจักรเป็นดอกบัว   เห็นอบายมุขต่างๆว่าเป็นสิ่งที่ดี  ควรส่งเสริม ควรทำให้ถูกกฎหมาย   ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วสังคมจะเสื่อมลงไปเรื่อย ๆ จะวุ่นวายมากขึ้นไปเรื่อยๆ  จะมีการฆ่าฟันการเบียดเบียนกันมากขึ้นไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่มีความเจริญในทางวัตถุ  มีสิ่งของต่างๆมากมายก่ายกอง มีรถยนต์ มีถนนหนทาง มีตึกรามบ้านช่อง มีเครื่องปรับอากาศ มีโทรทัศน์ มีวิทยุ แต่ใจกลับไม่ได้เจริญตามสิ่งเหล่านี้  ใจกลับเสื่อมลง  เพราะมีความโลภความอยากเพิ่มมากขึ้น  เห็นคนอื่นมีสิ่งของต่างๆ ก็อยากจะมีเหมือนเขา  แต่ไม่มีปัญญาไปซื้อมา เพราะไม่ได้ทำงานทำการ ถ้าทำก็มีรายได้ไม่พอ  ก็เลยต้องหาวิธีที่ไม่ถูกต้อง วิธีที่ทุจริต  ฉ้อโกงปล้นจี้ โกหกหลอกลวง ฆ่ากัน   เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ  โลกจึงมีความเจริญกับความเสื่อมไปพร้อมกัน    เจริญไปในทางวัตถุ  ซึ่งเป็นความเจริญปลอม  เสื่อมทางจิตใจ   จากมนุษย์ไปเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง  

 

ถ้าอยากจะให้เจริญจริงๆต้องเจริญทางจิตใจ ต้องพัฒนาจิตใจด้วยการศึกษาปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า   ถ้ายังไม่ได้บวชก็ทำบุญทำทาน สละทรัพย์สินสมบัติข้าวของเงินทองที่เหลือใช้ไปก่อน อย่าเก็บเอาไว้ ไม่เกิดประโยชน์อะไร  มีแต่จะเป็นภาระ ที่จะต้องคอยดูแลรักษา คอยห่วง คอยกังวล  ต้องเสียใจเวลาที่สูญหายไป  เอามาทำบุญ เอามาแจกจ่ายผู้อื่นเสีย จะมีความสุขใจอิ่มใจ เหมือนกับที่ท่านมาทำกันในวันนี้ เสียเงินทองส่วนหนึ่งไป  แต่ไม่ได้เสียอกเสียใจ   มีความสุขใจ มีความอิ่มใจ เพราะตั้งใจจะเสีย ตั้งใจจะให้ เป็นการทำบุญให้ทาน เสียแบบนี้ดีกว่าไม่ตั้งใจจะเสีย จะได้ไม่เป็นโทษกับเรา   เช่น   เวลาตายไปถ้าเสียดายสมบัติ ก็จะกลับมาเกิดเป็นสัตว์ในบ้านของตนเอง  เป็นสุนัขบ้าง เป็นตุ๊กแกบ้าง  เป็นจิ้งจกบ้าง  เพราะความห่วงใย ความเสียดาย ในทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทอง   ทำให้ต้องวนเวียนเฝ้าสมบัติอยู่  ถ้าได้บริจาคทรัพย์สมบัติที่มีเหลือกินเหลือใช้ไปแล้ว  เวลาตายไปจะไปสู่สุคติ ไปอย่างสงบ ไปอย่างมีความสุข  เวลาไปเกิดใหม่จะมีทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองรออยู่     ได้เกิดเป็นลูกของเศรษฐีเป็นต้น  เพราะบุญกุศลที่ได้ทำมาในอดีต   จึงอย่าประมาทในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  อย่าไปคิดว่าเป็นการหลอกลวง  เป็นเรื่องไร้สาระ  คนสมัยนี้คิดว่าตายแล้วสูญ ไม่ได้ไปเกิดอีก  สวรรค์ไม่มี  นรกไม่มี   ซึ่งเป็นความเห็นของคนตาบอด  คนที่ตาไม่บอด เช่นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทั้งหลาย ไม่ได้เห็นอย่างนั้น  

 

ท่านเห็นว่าตายแล้วต้องไปเกิดอีก  ไปเกิดเป็นอะไร  ไปสูงไปต่ำ ก็อยู่ที่บุญที่กรรมที่ได้ทำไว้   เพราะท่านเห็นใจ   ที่พวกเราไม่เห็น เห็นแต่กาย  ไม่รู้ว่ามีใจด้วย  ไม่รู้ว่าเวลาที่กายตายไปแล้ว   ใจไม่ได้ตายไปกับกาย  ใจไปเกิดใหม่ ไปหาร่างใหม่  ถ้าทำบุญทำความดีก็จะได้ร่างที่ดี  เป็นมนุษย์บ้าง เป็นเทพบ้าง  เป็นพรหมบ้าง  เป็นพระอริยเจ้าบ้าง  เป็นที่ไปของใจที่ทำความดี ที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ส่วนใจที่ไม่ทำความดี ทำแต่บาปแต่กรรม ตายไปก็ต้องไปเป็นเดรัจฉานบ้าง  เป็นเปรตบ้าง  เป็นสัตว์นรกบ้าง  นี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น ไม่สงสัยเลย จึงได้ทรงประกาศสั่งสอนสัตว์โลก  เพื่อจะได้ไม่ประมาท  จะได้รีบทำบุญทำกุศล  เพราะไม่มีโอกาสไหนจะดีเท่ากับการเป็นมนุษย์ ถ้าไม่ได้เป็นมนุษย์โอกาสที่จะทำบุญแทบจะไม่มีเลย  ถ้าเกิดเป็นเทพเป็นพรหมก็จะมีแต่ความสุข  ไม่มีใครมีความทุกข์บนสวรรค์ ไม่ต้องช่วยเหลือใคร ไม่ต้องทำบุญ   ถ้าไปตกนรกก็เหมือนกับไปติดคุกติดตะราง  ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำบุญเช่นเดียวกัน  มีแต่จะทำบาปต่อกัน  เหมือนคนที่ติดคุก  จะเบียดเบียนกันทำลายกัน  มีภพของมนุษย์นี้เท่านั้น ที่จะทำบุญก็ได้ทำบาปก็ได้  เพราะมีเหตุมีปัจจัยเกื้อหนุนให้ทำ มีคนตกทุกข์ได้ยากเป็นจำนวนมาก   ถ้ามีเงินทองเหลือใช้ก็จะช่วยเหลือได้ จะทำบาปทำกรรมก็ได้ เพราะมีสิ่งยั่วใจล่อใจให้ทำอยู่เสมอ  มีข้าวของต่างๆล่อใจให้อยากได้ ให้อยากมี  ถ้าไม่มีเงินทองไปซื้อมา ก็จะต้องเบียดเบียนผู้อื่น  ทำผิดศีลผิดธรรม ไปฆ่า ไปลักทรัพย์ ไปประพฤติผิดประเวณี  ไปพูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง  

 

เกิดในภพของมนุษย์จึงทำได้ทั้งบุญทั้งบาป ถ้าได้เจอพระพุทธศาสนา ก็เป็นโชค ๒ ชั้น  จะได้รู้ว่าเกิดมาเพื่อทำดี ละบาป ชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์ กำจัดความโลภความโกรธความหลงให้หมดสิ้นไป เพราะเป็นต้นเหตุให้ทำบาป ให้เวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักจบจักสิ้น   จึงต้องศึกษาและปฏิบัติ ถ้ายังบวชไม่ได้ ก็ศึกษาปฏิบัติในฐานะของฆราวาสไปก่อน   วันพระวันเสาร์วันอาทิตย์ก็เข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรม  ทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม  ถ้าบวชได้ก็บวชเลย  จะได้มีเวลาบำเพ็ญปฏิบัติอย่างเข้มข้น   ผลก็จะปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นกอบเป็นกำ  ต่างกับการเป็นฆราวาส  เพราะไม่มีเวลาปฏิบัติ เหมือนกับนักกีฬาอาชีพกับนักกีฬาสมัครเล่น มีความต่างกัน นักกีฬาอาชีพมีความสามารถ มีฝีไม้ลายมือ คว้ารางวัลต่างๆได้มากกว่า  นักกีฬาสมัครเล่นจะไม่สามารถคว้ารางวัลต่างๆมาครองได้เลย  ฉันใดนักปฏิบัติอาชีพกับนักปฏิบัติสมัครเล่นก็เป็นเช่นนั้น  ถ้าเป็นนักปฏิบัติสมัครเล่นโอกาสที่จะได้ผลจากการปฏิบัติจะมีน้อยมาก  พอให้หอมปากหอมคอ พอเป็นตัวอย่างให้น้ำลายหก ให้เกิดศรัทธาที่จะปฏิบัติอย่างมืออาชีพ  จะได้ผลอันเลิศประเสริฐ ที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้มาครองแล้ว ต้องเป็นนักปฏิบัติมืออาชีพเท่านั้น  ถ้าได้ยินได้ฟังแล้วเกิดความเชื่อ ในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน อยากจะได้ผลอย่างที่พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้รับกัน ก็ต้องตั้งใจปฏิบัติไปจนกว่าจะเห็นว่า การปฏิบัติในเพศฆราวาสไม่เพียงพอ ก็ออกบวชกัน  

 

เหมือนกับการปลูกต้นไม้   ในตอนต้นก็ปลูกไว้ในกระถางก่อน พอต้นไม้เจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ รากจะทำให้กระถางแตกได้  ก็จะรู้ว่าถึงเวลาที่จะต้องเอาลงดินแล้ว  ถ้าอยู่ในกระถางก็จะไม่เจริญเติบโตมากไปกว่านี้ ฉันใดการศึกษาและการปฏิบัติ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็เป็นอย่างนั้น ในเบื้องต้นก็ศึกษาปฏิบัติแบบสมัครเล่นไปก่อน    พอเห็นผลแล้วก็อยากจะได้มากขึ้น  ก็ต้องเตรียมตัวออกบวช  มีภารกิจหน้าที่การงานอะไร ที่ยังคั่งค้างอยู่ ก็รีบทำให้เสร็จ  มีพันธะผูกพันอยู่ ก็พยายามตัดไปให้หมด ไม่ปล่อยให้เป็นเหตุทำให้ไม่ได้บวช เพราะไม่มีอะไรที่จะประเสริฐเลิศโลกเท่ากับการบวช ได้ปฏิบัติอย่างมืออาชีพ ได้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีใครทำได้นอกจากมนุษย์เท่านั้น จึงอย่าให้สิ่งเล็กๆน้อยๆ เช่นสามีภรรยาลูก ภารกิจการงานต่างๆ ทรัพย์สมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ เป็นข้ออ้าง ทำให้บวชไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ช่วยเราไม่ได้ เวลาที่เราทุกข์   นอกจากการปฏิบัติธรรมเท่านั้น  จึงควรเข้าหาพระธรรมคำสอน ควรศึกษาให้มาก ปฏิบัติให้มาก   แล้วผลที่เกิดจากการปฏิบัติก็จะตามมาอย่างแน่นอน    จึงขอฝากเรื่องการเข้าวัดเพื่อศึกษาและปฏิบัติ ไม่ว่าจะชั่วคราวหรือถาวร ไปพินิจพิจารณาและปฏิบัติ เพื่อประโยชน์สุขที่จะตามมาต่อไป   การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้