กัณฑ์ที่ ๓๕๔       ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๐

 

 

อาหารใจ

 

      

 

การสร้างบุญสร้างกุศล เป็นการสร้างความสุขสร้างความเจริญที่แท้จริง ต่างกับความสุขและความเจริญในทางโลก ที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ไม่ถาวร  เช่นความสุขที่ได้จากลาภยศสรรเสริญ และการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ผ่านทางตาหูจมูกลิ้นกาย เป็นความสุขที่สร้างความอยาก สร้างความต้องการให้มีมากขึ้นไปเรื่อยๆ  ไม่ได้สร้างความอิ่มสร้างความพอให้กับใจ ทำให้เราต้องตะเกียกตะกาย ต้องดิ้นรนแสวงหาความสุขความเจริญแบบนี้ไปเรื่อยๆจนวันตาย ก็จะไม่พบกับความอิ่มและความพอ พระพุทธเจ้าทรงเห็นว่าเป็นความสุขความเจริญที่ไม่แท้จริง จึงได้ทรงสละความสุขและความเจริญเหล่านี้ ทั้งๆที่ทรงเป็นพระราชโอรส มีสมบัติข้าวของเงินทองเป็นจำนวนมาก มีความสุขจากการเสพรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ  แต่ทรงเห็นว่าไม่ได้ทำให้พระองค์อิ่มพอเลย มีแต่สร้างความอยาก ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว  ความกังวลอยู่เรื่อยๆ จึงได้ทรงสละราชสมบัติและเสด็จออกผนวช เพื่อแสวงหาความสุขที่แท้จริง ทรงบำเพ็ญเพียรด้วยวิธีต่างๆอยู่ถึง ๖ ปี ถึงจะได้พบกับความสุขและความเจริญที่แท้จริง  ไม่เสื่อมไม่สลาย เพราะเป็นความสุขที่อยู่ในใจ ใจเป็นสิ่งที่ไม่เสื่อมไม่สลาย ไม่แตกไม่ดับ ไม่เหมือนกับร่างกาย ที่มีการเสื่อม มีการแตกดับ ความสุขความเจริญที่ตั้งอยู่ในใจจึงเที่ยงแท้แน่นอนและถาวร   ส่วนความสุขที่ตั้งอยู่กับกาย อาศัยกายเป็นเครื่องมือ จึงไม่เที่ยงแท้แน่นอนและถาวร เช่นความสุขทางรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ที่ต้องมีร่างกาย ต้องมีตามีหูมีจมูกมีลิ้นมีกายไว้สัมผัส  พอร่างกายเสื่อมลงไปหรือตายไป ความสุขก็ต้องหมดไปด้วย

 

ส่วนใจถ้าไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศลไว้ ก็จะมีแต่ความทุกข์ ความรุ่มร้อน ความอยาก ความหิว ความกระหาย เวลาแยกจากร่างกายไป ก็จะไปแบบขอทาน ไปอย่างหิวกระหาย ไม่มีอะไรติดเนื้อติดตัวไป  ส่วนใจที่ได้บำเพ็ญ ได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ได้ทำบุญทำทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม ทำจิตใจให้สงบ เจริญปัญญา ก็จะเป็นใจที่มีความสว่างไสว มีความสุข มีความอิ่มพอ ก็จะไปอย่างสุขสบาย อย่างอิ่มเอิบ นี่คือความสุขและความเจริญ ๒ แบบ ที่มีความแตกต่างกัน  ความสุขความเจริญทางด้านร่างกายมีจุดจบ จุดหมายปลายทางอยู่ที่ความตาย ส่วนความสุขและความเจริญทางจิตใจ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะอยู่กับใจ ใจเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ทำอย่างไรก็ไม่ตาย เหมือนกับน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถทำลายน้ำได้ เอาไปต้มก็ระเหยกลายเป็นเมฆไป แล้วก็ตกลงมาเป็นน้ำอีก ธรรมชาติของน้ำเป็นอย่างนี้ ทำลายไม่ได้ ฉันใดใจก็เป็นอย่างนั้น ใจก็ทำลายไม่ได้ ต่อให้ฆ่าทำร้ายร่างกายไป แต่ใจก็ไม่ได้ตายไปกับร่างกาย จึงมีการเกิดอยู่เรื่อยๆ  เพราะใจไม่ตายนั่นเอง พอแยกจากร่างกายไป ก็ไปหาร่างกายใหม่ สูงหรือต่ำก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมที่ได้บำเพ็ญมา  ถ้าบำเพ็ญบุญมากกว่ากระทำบาปก็จะได้ร่างกายที่ดีกว่าเดิม เช่นร่างกายมนุษย์ที่ดีกว่าเดิม หรือได้ร่างของเทพ ของพรหม ของพระอริยเจ้า ถ้าเป็นของพระพุทธเจ้า  ของพระอรหันต์ ก็เป็นพระนิพพาน เป็นใจที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่หิว ไม่อยาก มีแต่ความอิ่มความสุขไปตลอดอนันตกาล  จึงไม่ต้องไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทพ เป็นพรหม เพราะมีความสุขที่เหนือกว่าดีกว่า เป็นความสุขที่ถาวร อิ่มพอไปตลอดอนันตกาล 

 

จึงได้นำออกมาเผยแผ่สั่งสอนสัตว์โลกอย่างพวกเรา ที่ยังมีความมืดบอด ยังมีความหลง อยู่กับความสุขที่มีร่างกายเป็นที่ตั้ง ยังหลงกับความเจริญทางลาภยศสรรเสริญและกามสุข เวลาได้เงินได้ทองมา ได้เลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่ง ได้รับการสรรเสริญเยินยอก็จะดีอกดีใจ ได้สัมผัสกับรูปกลิ่นเสียงรสโผฏฐัพพะที่ถูกอกถูกใจก็จะมีความสุข  แต่เป็นความสุขที่ไม่นาน พอผ่านไปแล้วก็อยากจะได้อีก วันนี้ไปเที่ยวมีความสุข  พรุ่งนี้ก็อยากจะออกไปเที่ยวอีก เพราะไม่ติดอยู่กับใจไปตลอด  ได้เงินมาใหม่ๆก็ดีอกดีใจ พออีกสองสามวันก็อยากจะได้อีก ทั้งๆที่ยังใช้ไม่หมด ก็ยังอยากจะได้อีก สรรเสริญก็เป็นแบบเดียวกัน ยศฐาบรรดาศักดิ์ตำแหน่งก็เหมือนกัน  วันนี้ได้เป็นนายร้อย พรุ่งนี้ก็อยากจะเป็นนายพัน  พอได้เป็นนายพันก็อยากจะได้เป็นนายพล  เป็นสส.ก็อยากจะเป็นรัฐมนตรี  เป็นรัฐมนตรีก็อยากจะเป็นนายกฯ  เป็นนายกฯแล้วก็อยากจะเป็นไปนานๆ นี้คือความสุขความเจริญทางโลก ที่ไม่เคยทำให้เราพบกับความอิ่มความพอ  ถ้าไม่อิ่มไม่พอก็ไม่เป็นประโยชน์ เหมือนกับการรับประทานอาหาร  รับประทานแล้วไม่อิ่ม รับประทานไปทำไม รับประทานไปก็ไม่อิ่มสักที  อย่างนี้ก็ไม่มีใครอยากจะรับประทาน  โชคดีที่อาหารที่เรารับประทานกัน ทำให้ร่างกายอิ่มได้ ถ้าอิ่มแล้วต่อให้เอาอาหารวิเศษขนาดไหน มีราคาแพงขนาดไหนมาให้ ก็จะรับประทานไม่ลง รับประทานไม่ได้ แต่อย่างอื่นไม่ได้เป็นอย่างนี้

 

สิ่งที่พวกเราแสวงหากันอยู่ทุกวันนี้ ก็คือลาภยศสรรเสริญสุขนี่เอง  ทุกวันนี้เราออกไปทำงานทำการ ก็เพื่อหาเงินหาทอง หาตำแหน่ง อยากจะได้เลื่อนขั้น จากขั้นนี้ก็อยากจะเป็นขั้นนั้น อยากให้คนชื่นชมยินดีสรรเสริญ ให้รางวัล ให้ใบประกาศนียบัตร  ให้ปริญญาดุษฎีบัณฑิต เป็นปริญญาที่ได้มาโดยไม่ต้องร่ำเรียน เพราะชื่นชมยินดีในความรู้ในความสามารถ อยากได้ความสุขจากการไปดูไปฟังไปดื่มไปรับประทาน ที่ไม่อิ่มพอ  ต่อให้ได้มามากเพียงไร  ก็ยังรู้สึกว่างๆอยู่ในใจ เพราะไม่ใช่อาหารของใจนั่นเอง เหมือนกับสูดลม ไม่ทำให้ร่างกายอิ่มได้เลย อาหารของร่างกายต้องเป็นกับข้าวกับปลา ของหวานของคาวต่างๆ  ถึงจะทำให้ร่างกายอิ่มได้   ฉันใดใจจะอิ่มได้ก็ต่อเมื่อได้อาหารใจ ก็คือบุญและกุศลนี่เอง ที่พวกเรามาทำกันในวันนี้  เป็นการเติมอาหารให้กับใจ เป็นการพัฒนาใจให้สูงขึ้นไปด้วย  จึงเรียกว่าเป็นการสร้างความสุขและความเจริญที่แท้จริง ถ้าเต็มใจให้  จะมีความสุขใจ  ถ้าจำใจให้ จะไม่สุขใจ  การให้จึงต้องให้ด้วยความเต็มใจ ด้วยความยินดี ถ้ามาทำบุญวันนี้อย่างไม่เต็มใจ มาเพราะถูกบังคับให้มา จะไม่สุขใจ เพราะไม่ได้ให้ด้วยความเต็มใจ ทานเป็นการให้ จะเป็นบุญคือความสุขใจขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อเราให้ด้วยความพอใจ ด้วยความยินดี  ถ้าให้ด้วยความจำใจ เสียดายไม่อยากจะให้ ให้ไปแล้วจะไม่ได้บุญ เพราะบุญคือความสุขใจความอิ่มใจ ดังนั้นเวลาเราทำบุญ ให้ดูใจเป็นหลัก  ทำแล้วมีความสุขใจอิ่มเอิบใจหรือไม่ ถ้าฝืนทำจะไม่ได้บุญเท่าที่ควร

 

เวลาทำบุญจึงควรทำด้วยความเต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นการให้ข้าวของต่างๆแก่ผู้อื่น หรือรับใช้ผู้อื่น รับใช้บิดามารดาผู้มีพระคุณ   ถ้ามีความเต็มใจมีความยินดีก็จะมีความสุขใจ ถ้าจำใจทำก็จะหงุดหงิดใจ  ไม่มีความสุข เวลาทำบุญให้ทานจึงควรคิดว่า เป็นการให้อาหารกับจิตใจ ทำด้วยความเต็มใจ แล้วจะมีความสุข นอกจากการให้แล้ว การไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็เป็นการสร้างความสุขและความเจริญให้กับเราเช่นเดียวกัน เวลาที่เราไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ฆ่าผู้อื่น ไม่เอาทรัพย์ของผู้อื่นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสามีภรรยาบุตรธิดาของผู้อื่น  ไม่พูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวง ไม่เสพสุรายาเมา จะมีความสบายใจ ไม่วุ่นวายกังวลใจ  ต่างกับเวลาที่ไปเบียดเบียนผู้อื่น จะมีความวุ่นวาย ความหวาดกลัว ความกังวล  กลัวถูกจับไปลงโทษ ไปใช้เวรใช้กรรม ไม่ได้รับการยกย่องนับถือ ไม่เหมือนกับผู้ที่ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น จะได้รับการยกย่องนับถือ  ถ้าบวชเป็นพระ เพียงแต่โกนหัวห่มผ้าเหลืองพอออกมาจากโบสถ์ ก็มีคนกราบไหว้แล้ว  เพราะเชื่อว่าเป็นคนดีมีศีล แม้แต่พ่อแม่ยังกราบลูกเลย เพราะเป็นการสร้างความสุขและความเจริญที่แท้จริง จึงไม่ควรมองข้ามการรักษาศีลเป็นอันขาด ถ้าอยากจะเป็นคนดี น่าเคารพนับถือ มีความสุขสบายใจ รักษาศีล ๕ ให้ได้ อย่าหลงไปตามกระแสของโลก  ซึ่งเป็นกระแสของคนมืดบอด ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว เห็นกลับตาลปัตร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความเสื่อมเป็นความเจริญ

 

เช่นผู้ที่ไปเกี่ยวข้องกับอบายมุขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสพสุรายาเมา  เล่นการพนัน  เที่ยวกลางคืน ประพฤติผิดประเวณี ไปแย่งสามีภรรยาของผู้อื่น  คิดว่าตนเก่งและฉลาด แต่ไม่รู้ถึงผลที่จะตามมาต่อไป  เพราะใจมืดบอดขาดแสงสว่างแห่งธรรม  ไม่เหมือนกับใจของพระพุทธเจ้าและของพระอรหันต์ ที่มีแสงสว่าง สามารถมองเห็นสิ่งที่ตาเนื้อไม่สามารถมองเห็นได้ สามารถมองเห็นใจของสัตว์โลกและใจของท่านเองได้ ว่านอกจากมีร่างกายแล้วยังมีใจด้วย เหมือนกับต้นไม้ นอกจากมีลำต้นมีใบมีกิ่งก้านแล้ว ก็ยังมีรากด้วย แต่คนส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นรากกัน ถ้าไม่ถอนต้นไม้ออกจากดินก็จะไม่เห็นราก ฉันใดคนที่มีความมืดบอดทางธรรมะก็จะไม่เห็นใจ ไม่เห็นตัวจิต หลังจากที่ร่างกายตายไปแล้ว ตัวจิตนี้ยังต้องเดินทางไปต่อ  ต้องไปเกิดใหม่ ต้องไปมีร่างกายใหม่ ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขต่างๆ แล้วก็ไปทำผิดศีลผิดธรรม ตายไปก็จะต้องไปอบาย  คำว่าอบายมุขนี้แปลว่าทวารสู่อบาย ประตูสู่อบาย   ผู้ที่ไปเกี่ยวข้องไปยุ่งกับการเสพสุรายาเมา เล่นการพนัน เที่ยวกลางคืน  มีความเกียจคร้าน  คบคนชั่วเป็นมิตรแล้ว ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องไปทำบาปทำกรรม  เช่นไปเล่นการพนันจนหมดเงินหมดทอง   ก็ต้องไปหาเงินมาโดยวิธีมิชอบ ไปลักเล็กขโมยน้อย ไปปล้น ไปจี้ ไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น ขอยืมเงินทองแล้วก็ไม่ใช้คืน ไปปล้นไปจี้แล้วมีการต่อสู้กันก็ต้องฆ่าผู้อื่น เมื่อได้ทำบาปทำกรรมแล้ว ใจก็ต้องไปสู่อบาย ที่อยู่ของสัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย  เช่นสุนัขแมวเป็นต้น หรือไปนรก คือสภาพของใจที่มีความรุ่มร้อนอยู่ตลอดเวลา  เหมือนกำลังถูกไฟเผา เช่นเวลาที่มีความเคียดแค้น ความโกรธ ความทุกข์ 

 

เมื่อได้ทำบาปทำกรรมแล้ว ใจจะมีความรุ่มร้อน เมื่อตายไปความรุ่มร้อนก็จะติดไปกับใจ กลายเป็นนรกขึ้นมา  นรกไม่ได้เป็นสถานที่เหมือนวัดญาณฯ ที่เดินทางมาถึงได้โดยรถยนต์ แต่นรกคือสภาพจิตใจของเรา   ถ้ามีความรุ่มร้อนใจก็กำลังตกนรก ถ้ามีความสุขความอิ่มเอิบใจ เช่นวันนี้เรามาทำบุญ เรามีความสุขมีความอิ่มเอิบใจ ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสวรรค์ ใจของเรากำลังอยู่ในสวรรค์ เพราะสวรรค์หรือนรกไม่ได้เป็นสถานที่ แต่เป็นสภาวะใจของเราที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามบุญตามบาปกรรมที่ได้ทำไว้  ในขณะที่เราเป็นมนุษย์ เราจะขึ้นสวรรค์หรือตกนรกอยู่เป็นประจำ แต่ขึ้นไม่นานและตกไม่นาน เพราะเราดีใจมีความสุขเดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็มีความทุกข์มีความวุ่นวายใจ เนื่องจากมีสิ่งต่างๆมาคอยกระทบอยู่เรื่อยๆ  ทำให้เราทำบุญทำบาปสลับกันไป จึงมีความสุขมีความทุกข์สลับกันไปเรื่อยๆ ถ้าฉลาดรู้จักทำบุญละบาปให้กับใจ ก็จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ถ้าไม่ฉลาดก็จะสร้างความทุกข์มากกว่าความสุข  เพราะว่าความสุขและความทุกข์เกิดจากการกระทำของใจ ถ้าใจคิดดี เช่นวันนี้ คิดมาทำบุญทำทาน มารักษาศีล มาฟังเทศน์ฟังธรรม ใจก็มีความสุข ถ้าใจคิดไม่ดี คิดไปเล่นการพนัน  ไปเสพสุรายาเมา ก็ต้องเกิดความทุกข์ตามมา  เวลาเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว หรือไปเสพสุรายาเมาแล้วไปทะเลาะวิวาท ไปทุบไปทำลายสิ่งของของผู้อื่น ขับรถยนต์ไปชนผู้อื่น ไปประสบกับอุบัติเหตุ ใจก็จะต้องวุ่นวายมีความทุกข์ เกิดจากการกระทำของใจทั้งนั้น ไม่ได้เกิดจากใครเลย เนื่องจากไม่มีปัญญา ไม่ฉลาด ที่จะดูแลรักษาใจให้มีความสุข ให้อยู่ในสวรรค์นั่นเอง ใจจึงตกนรกอยู่เรื่อยๆ

 

เวลาที่ใจไม่มีร่างกายแล้ว ตอนนั้นจะไม่มีอะไรมากระทบ ให้ไปทำบาปหรือบุญ  ถ้าใจมีความทุกข์ก็จะทุกข์ไปเรื่อยๆ จนกว่าความทุกข์จะหมดไป เป็นเหมือนไฟกับเชื้อไฟ  ถ้ายังมีเชื้อไฟอยู่ไฟก็จะไหม้ไปเรื่อยๆ   จนกว่าเชื้อไฟจะหมด ใจที่ตกนรกก็จะเป็นอย่างนั้น จะมีความทุกข์ไปจนกว่าบาปกรรมที่ได้ทำไว้จะหมดไป เมื่อหมดไปแล้วก็จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก อาจจะต้องไปใช้กรรมอย่างอื่นต่อก่อน อาจจะต้องไปเป็นเปรตก่อน จึงจะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ มาสร้างบาปสร้างบุญใหม่ ขึ้นอยู่ว่าจะฉลาดหรือโง่  ถ้าได้อยู่ใกล้คนฉลาดก็จะคอยสอนให้ทำบุญ ทำความดี ละบาป  ถ้าอยู่กับคนโง่ ก็จะสอนให้ทำบาป ไม่ให้ทำบุญ ถ้าเชื่อก็จะทำตาม ถ้าสอนให้ทำดีก็จะได้ไปที่ดี เช่นพวกเรามาวัดกัน เพราะมีคนสอน  ถ้าไม่ใช่พ่อแม่ก็อาจจะเป็นพี่น้อง เป็นญาติสนิทมิตรสหาย อาจจะเป็นธรรมะที่ได้ยินได้ฟังมา ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นบุญเก่าที่ได้สะสมไว้ ที่ยังมีเหลืออยู่ในใจ ก็จะชักจูงหรือผลักดันให้ทำบุญต่อ เช่นเดียวกับบาปที่ยังมีเหลืออยู่ในใจ ก็จะชักจูงหรือผลักดันให้ไปทำบาปต่อ  บุญและบาปนี้เราสามารถเลือกทำได้ ขณะใดที่จิตคิดจะทำบาปเราก็ยับยั้งได้ อยากจะเสพสุรายาเมาก็ยับยั้งได้ อยากจะเล่นการพนันก็ยับยั้งได้ อยู่ที่เรา ไม่มีใครบังคับเราได้  เช่นเดียวกับการทำบุญทำความดี  ถ้าอยากจะทำ แต่ไม่ได้ทำ ก็จะไม่ได้บุญ  เวลาอยากทำอะไร ต้องใช้ปัญญาแยกแยะดูว่าเป็นบุญหรือเป็นบาป ถ้าเป็นบุญก็รีบทำเลย พอคิดอยากจะทำบุญก็ทำทันทีเลย คิดอยากจะทำบาปก็รีบระงับทันที อย่าไปคิดว่าไม่เป็นไร เล็กๆน้อยๆ  ทำแล้วไม่เกิดอะไร ครั้งนี้ทำไปแล้วอาจจะไม่เกิดอะไร แต่ครั้งต่อไปจะทำมากขึ้น จะทำหนักขึ้นไปเรื่อยๆ

 

พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ระมัดระวังกับเรื่องบาปกรรมทั้งหลาย แม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่าผงธุลีก็ตาม  ก็อย่าไปทำมัน ทำแล้วจะติดเป็นนิสัย จะทำง่ายขึ้นทำบ่อยขึ้นทำมากขึ้น จะกลายเป็นกรรมใหญ่เป็นบาปใหญ่ขึ้นมา  เช่นเดียวกับการทำบุญ ถึงแม้จะเป็นการทำบุญเล็กๆน้อยๆ ก็ให้รีบทำเสีย อย่าไปคิดว่าทำได้นิดเดียว สู้คนอื่นไม่ได้ รอให้รวยก่อนค่อยทำ  ก็จะไม่ได้ทำเลย เพราะเมื่อรวยแล้วก็จะเสียดายจะหวงเงินทอง  ก็จะไม่อยากทำอยู่ดี ดังนั้นเมื่อเราอยากจะทำบุญ ถึงแม้จะมีเพียงแต่ข้าวเปล่าๆ ก็ขอให้ทำไป จะได้ติดเป็นนิสัย ต่อไปถ้ามีเงินมาก ก็จะซื้อกับข้าวกับปลาใส่บาตรได้ ซื้อจีวร ซื้อยา ซื้อเครื่องสังฆทานถวายได้   อย่าไปมองคนอื่น ให้มองตัวเรา  เพราะคนเราสร้างบุญสร้างกุศลมาไม่เท่ากัน คนที่ได้สร้างบุญสร้างกุศลมามาก ก็เป็นเหมือนคนที่เรียนหนังสือมามาก  เวลาเข้าโรงเรียนก็ได้เรียนชั้นสูงต่อเลย  ถ้ายังไม่ได้เรียนมาเลยก็ต้องเริ่มต้นที่ชั้นอนุบาลก่อน  ฉันใดการสร้างบุญสร้างกุศลก็เป็นอย่างนั้น  ทำมาไม่เท่ากัน อานิสงส์ของบุญจึงปรากฏไม่เท่ากัน  ทำให้พวกเรามีความแตกต่างกัน มีความสุขความเจริญ มีรูปร่างหน้าตา มีอายุมีสุขภาพต่างกัน  คนที่ทำบุญมากกว่าย่อมได้มากกว่า คนที่ทำน้อยกว่า ย่อมได้น้อยกว่า เป็นเรื่องธรรมดา เพราะบุญบารมีแข่งกันไม่ได้ มีสุภาษิตที่ว่า แข่งรถแข่งเรือพอแข่งกันได้ แต่บุญบารมีแข่งกันไม่ได้ มีแต่จะต้องทำกัน ของใครของมัน ทำให้มาก เมื่อถึงเวลาที่อานิสงส์ของบุญบารมีจะส่งผล ก็จะทำให้เราได้ความสุขความเจริญ  ในปัจจุบันนี้ถึงแม้อยากจะสุขอยากจะเจริญเพียงไร ถ้าไม่ได้สร้างบุญสร้างบารมีมาในอดีต ต่อให้อยากไปจนวันตายก็จะไม่ได้มา  จึงควรเชื่อว่าการสร้างบุญสร้างกุศล  เป็นการสร้างความสุขสร้างความเจริญที่แท้จริง เป็นทางที่ถูกต้อง ทางที่ดีที่สุด  ดีกว่าการสร้างความสุขความเจริญที่ไม่ถาวร คือความสุขความเจริญทางลาภยศสรรเสริญสุข อย่าหลงไปติดกับดักนี้ เพราะจะทำให้ทุกข์ในภายหลัง จะต้องไปเกิดในที่ต่ำ ในที่ไม่ดี  ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วหมั่นสร้างบุญสร้างกุศลกันเทอญ แล้วความสุขและความเจริญที่แท้จริง จะเป็นสมบัติของพวกเราอย่างแน่นอน  การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้