กัณฑ์ที่ ๓๖๐        ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๐

 

วันแม่

 

 

 

วันนี้เป็นวันแม่ เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ  เราจึงได้มาทำสิ่งที่ดีให้กับคุณแม่และให้กับตัวเราเอง ด้วยการรำลึกถึงบุญคุณอันประเสริฐ ของคุณแม่และคุณพ่อ ผู้ให้กำเนิดกับเรา เราเกิดมาได้เพราะท่าน  ถ้าไม่มีคุณพ่อคุณแม่ ก็ไม่มีตัวเรา  พระคุณของคุณพ่อกับคุณแม่จึงยิ่งใหญ่มหาศาล  ยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทร กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่าท้องฟ้า เราจึงไม่ควรลืม กราบคุณพ่อคุณแม่ทุกๆวัน เพื่อรำลึกถึงพระคุณของท่าน ถ้าทำทุกวันก็จะไม่ลืม  ถ้าไม่ทำก็จะลืมได้ เพราะใจของเราต้องรับรู้เรื่องราวต่างๆมากมายในแต่ละวัน  เมื่อมีเรื่องต่างๆเข้ามาอยู่เรื่อยๆ เรื่องของคุณพ่อคุณแม่ก็จะถูกกลบลบหายไปได้ เราจึงต้องรำลึกถึงท่านอยู่ทุกวัน ทุกเช้าทุกเย็น ตื่นขึ้นมากราบพระแล้วก็กราบคุณพ่อคุณแม่ด้วย  ก่อนนอนก็เช่นเดียวกัน ให้รำลึกเสมอว่า  ไม่มีคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่มีตัวเรา  ถ้าทำเป็นประจำแล้วรับรองได้ว่าจะไม่ลืมพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ จะมีความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นเหมือนเมล็ดแห่งความดีงามทั้งหลาย คนเราจะดีได้  จะยิ่งใหญ่ได้ จะเจริญได้ จะสูงได้ ก็ต้องเกิดจากเมล็ดแห่งความกตัญญูกตเวทีนี่เอง ถ้าไม่มีความกตัญญูกตเวที จะเจริญจะสูงจะประเสริฐได้อย่างไร  จึงควรรำลึกถึงพระคุณของท่านอยู่เสมอ  ต้องทำหน้าที่ของลูกให้ดี ให้ความเคารพเทิดทูน เชื่อฟังท่าน ให้คิดว่ากำลังฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระอรหันต์ เพราะพระพุทธเจ้าทรงเปรียบคุณพ่อคุณแม่เป็นเหมือนพระอรหันต์ของลูกๆ  ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่จะพูดอะไร ฟังแล้วจะถูกอกถูกใจหรือไม่ก็ตาม ให้ฟังด้วยความสงบ อย่าไปโต้เถียง ถึงแม้จะพูดในสิ่งที่ไม่ถูก ก็ไม่ใช่ฐานะของลูกที่จะไปโต้เถียง 

 

เราเป็นผู้รับโดยฝ่ายเดียว รับร่างกายมาแล้ว ก็ต้องรับคำสอนของท่านด้วย เวลาท่านจากโลกนี้ไปก็รับมรดกจากท่านต่อ  เราจึงไม่มีหน้าที่ไปโต้เถียงคุณพ่อคุณแม่  ขอให้ฟังแล้วนำมาพิจารณาด้วยปัญญา ถ้าสิ่งที่ท่านสอนไม่ถูกตามหลักธรรม ก็ให้ลืมไปเสีย ต้องยอมรับว่าคุณพ่อคุณแม่ก็ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ย่อมมีความหลง มีความเห็นผิดเป็นชอบได้เหมือนกัน   แต่ท่านพูดด้วยความเมตตากรุณา ปรารถนาดีต่อลูก อยากจะให้ลูกมีความสุขความเจริญ ถ้าลูกมีสติปัญญาสูงกว่า ก็จะแยกแยะได้ ว่าสิ่งที่ท่านสอนนั้นถูกหรือไม่อย่างไร  ถ้าถูกก็น้อมเอามาปฏิบัติ  ถ้าผิดก็ปล่อยให้ผ่านไป  เพราะคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อยากจะให้เราทำผิดอยู่แล้ว ที่จะทำให้เกิดโทษกับเรา  เพียงแต่ท่านอาจจะไม่รู้ก็ได้ เช่นพระพุทธเจ้าทรงมีสติปัญญาสูงกว่าพระราชบิดา พระราชบิดาทรงมีความปรารถนาดี  อยากจะให้พระพุทธเจ้าเป็นพระมหาจักรพรรดิ ตามที่โหรได้พยากรณ์ไว้ในตอนที่ทรงประสูติมาใหม่ๆ แต่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญบุญบารมีไว้มาก เพื่อการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า ที่เหนือกว่าการเป็นพระมหาจักรพรรดิหลายล้านเท่าด้วยกัน  จึงไม่ทรงสามารถปฏิบัติตามความปรารถนาของพระราชบิดาได้ คือให้อยู่ในพระราชวังและรับพระราชมรดก แต่กลับทรงสละราชสมบัติแล้วก็ออกผนวช ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหายอย่างไร เป็นสิ่งที่ดี ดีกว่าการเป็นกษัตริย์เป็นมหาจักรพรรดิเสียอีก เพราะการเป็นปุถุชนฆราวาส ย่อมมีการกระทำผิดศีลเป็นธรรมดา ยิ่งเป็นกษัตริย์เป็นมหาจักรพรรดิ เวลาทำสงครามก็ต้องมีการฆ่ากัน  พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระปัญญาสูงกว่าพระราชบิดา จึงเห็นว่าการเป็นพระมหาจักรพรรดิไม่ได้ทำให้ประเสริฐ ไม่ได้ทำให้หลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

 

มีแต่นักบวชผู้ทรงศีลเท่านั้น ที่จะปฏิบัติตนให้เลิศให้ประเสริฐได้  เพราะผู้ทรงศีลย่อมไม่เบียดเบียนผู้อื่นนั่นเอง  ทำแต่ประโยชน์ให้กับผู้อื่นโดยถ่ายเดียว  พระพุทธเจ้าจึงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระราชบิดา ทำให้พระราชบิดาต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมาก ตอนที่ทรงเสด็จหนีออกจากพระราชวังเพื่อทรงผนวช แต่หลังจากที่ได้บำเพ็ญเพียรถึง ๖ ปี จนได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ได้กลับมาโปรดพระราชบิดาและพระวงศาคณาญาติทั้งหลายให้มีดวงตาเห็นธรรม ได้มีโอกาสบำเพ็ญให้หลุดพ้นจากความทุกข์ จากการเวียนว่ายตายเกิดได้ ซึ่งไม่มีใครจะทำให้ได้ นอกจากพระพุทธเจ้าเป็นองค์แรก หลังจากนั้นก็มีพระอรหันตสาวกทำหน้าที่ต่อ ดังนั้นเวลาที่คุณพ่อคุณแม่สั่งสอนให้ทำในสิ่งที่ไม่ดี ก็ไม่ต้องทำตาม ถ้าเห็นว่าการออกบวชเป็นสิ่งที่ดีกว่าการอยู่เป็นฆราวาส ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่อยากจะให้อยู่รับมรดก รับสมบัติต่างๆ ถ้าเห็นว่าไม่ได้พาไปสู่ความสุขความเจริญที่แท้จริง  ไปสู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  แล้วมีความปรารถนาที่จะออกบวช  ก็ทำได้ ถึงแม้จะไม่เป็นไปตามความต้องการของคุณพ่อคุณแม่ก็ตาม เช่นมีเรื่องหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีเศรษฐีมีลูกชายอยู่คนหนึ่ง  พ่อแม่ก็หวังว่าจะมอบทรัพย์สมบัติต่างๆให้กับลูก หลังจากที่ตายไปแล้ว แต่ลูกกลับมีจิตศรัทธาออกบวชตามพระพุทธเจ้า ก็ขออนุญาตบวช  แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่อนุญาต   ลูกชายก็เลยอดอาหาร ถ้าไม่ได้บวชก็ยอมตาย คุณพ่อคุณแม่ก็ไปขอร้องเพื่อนๆของลูก ให้มากล่อมให้เปลี่ยนใจ  แต่กล่อมอย่างไรก็เปลี่ยนใจลูกชายไม่ได้  เพราะมีความแน่วแน่ต่อการออกบวช   จนในที่สุดก็ต้องอนุญาตให้ลูกบวช

 

เพราะสิ่งที่ลูกทำไม่ได้เป็นสิ่งที่เสียหายอย่างไร เพียงแต่ไม่ได้เป็นไปตามความปรารถนาของคุณพ่อคุณแม่เท่านั้นเอง แต่กลับจะเป็นการดีเสียอีก เพราะเมื่อลูกได้บวชได้ปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็จะได้เป็นที่พึ่งของคุณพ่อคุณแม่ต่อไป ดังที่พระพุทธเจ้าได้ทรงช่วยให้พระราชบิดาและพระราชมารดา ได้หลุดพ้นจากกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระราชบิดาก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์  ๗ วันก่อนที่จะเสด็จสวรรคตไป ส่วนพระราชมารดาถึงแม้จะได้เสด็จสวรรคตไปตั้งแต่วันที่พระพุทธเจ้าทรงประสูติ พระพุทธเจ้าก็ทรงส่งกระแสจิตของพระองค์ไปค้นหาพระราชมารดาที่อยู่ในสวรรค์  จนได้พบ ได้อบรมสั่งสอนพระราชมารดา จนได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องไปเกิดในอบายอีกต่อไป ผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ยังต้องไปเกิดในอบาย ไปเกิดเป็นเดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง เป็นอสุรกายบ้าง เป็นสัตว์นรกบ้าง เนื่องจากบาปกรรมที่เคยทำไว้ในอดีต แต่ถ้าได้บรรลุเป็นโสดาบันแล้ว จะไม่ต้องกลับไปเกิดในอบายอีกต่อไปจะมีภพชาติเหลือไม่เกิน ๗ ชาติ ก็จะบรรลุเป็นพระอรหันต์ สิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด นี่คือสิ่งที่นักบวชในพระพุทธศาสนาจะสอนให้ผู้อื่นบำเพ็ญและบรรลุได้ การบวชจึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ถ้าคุณพ่อคุณแม่มีลูกไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย มีความปรารถนาที่จะออกบวช ก็ควรอนุโมทนา อย่าไปขัดขวาง อย่าไปเสียใจ เพราะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง  ผลที่ได้จากการบวชมีคุณค่ากว่าสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ ที่จะมอบให้กับลูกได้ เป็นการทดแทนพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างดีที่สุด พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ต่อให้เลี้ยงดูบิดามารดาอย่างดีขนาดไหนก็ตาม  จะแบกท่านไว้บนบ่าบนไหล่ทั้ง ๒ ข้าง ให้ท่านขับถ่ายรดตัวลูกมากน้อยเพียงไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถทดแทนบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ได้  มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทดแทนได้หมดเลยก็คือ  การทำให้คุณพ่อคุณแม่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันขึ้นมา ตั้งมั่นอยู่กับพระรัตนตรัย ตั้งมั่นอยู่กับการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ปฏิบัติธรรม 

 

จึงควรรำลึกถึงพระคุณของคุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอ กราบท่านอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าหรือลับหลัง ถึงแม้จะไม่ได้อยู่บ้านเดียวกันก็กราบท่านได้  รำลึกถึงท่านได้ เพราะไม่ได้ทำเพื่อเอาหน้าเอาตา แต่เป็นอุบายสอนใจให้รำลึกถึงพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบิดามารดา เพื่อจะได้ไม่ลืม จะได้ทดแทนบุญคุณในเวลาที่ทำได้ ถ้าอยู่ด้วยกันก็คอยรับใช้ท่าน  คอยดูแลท่าน คอยช่วยเหลือท่าน  ให้ความเคารพ ให้ความเชื่อฟัง ถ้าท่านตายจากเราไปแล้ว ก็ให้ทำบุญอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไป เผื่อท่านยังมีความจำเป็นที่ยังต้องอาศัยบุญอุทิศอยู่ จะได้ไปเกิดในภพต่อไปได้ นี่คือเรื่องของความกตัญญูกตเวที ที่เป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างยิ่งของผู้ที่ปรารถนาเป็นคนดี เป็นคนน่านับถือ ต้องมีความกตัญญูกตเวที ไม่ต้องอายถึงแม้พ่อแม่จะต่ำต้อย จะยากจนอย่างไร ก็ไม่ต้องอาย เพราะไม่ได้เป็นสิ่งเสียหายอย่างไร แต่ความอับอายขายหน้า ไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเป็นพ่อแม่ของตนต่างหาก ที่เป็นสิ่งที่เสียหายมากกว่า เพราะพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกๆ เป็นผู้ประเสริฐ ที่ลูกกล้าประกาศให้ผู้อื่นรู้เสมอ เช่นพระสารีบุตร ที่ไม่อับอายเลยที่จะพูดถึงคนที่มีพระคุณต่อท่าน แม้จะเคยให้ข้าวท่านเพียงทัพพีเดียว  ท่านถือว่ามีบุญคุณกับท่านอย่างยิ่งแล้ว บุคคลนี้เคยใส่บาตรให้พระสารีบุตรครั้งหนึ่ง ด้วยข้าว ๑ ทัพพี ต่อมามีความปรารถนาออกบวช ก็ไปขอบวชกับพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าก็ทรงถามสงฆ์ว่ามีใครรู้จักชายคนนี้บ้าง  พระสารีบุตรทรงกราบทูลว่าเคยตักบาตรให้ ๑ ทัพพี พระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้บวชได้ นี่แหละคือความยิ่งใหญ่ของคน อยู่ที่ความกตัญญู แม้พระสารีบุตรจะเป็นถึงอัครสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ แต่ก็ไม่ลืมบุญคุณของคนธรรมดาสามัญ ที่เคยตักข้าวให้ท่าน ๑ ทัพพี

 

แล้วกับพ่อแม่ที่มีบุญคุณอย่างมากกับเรา ทำไมจะต้องอับอายขายหน้าใครด้วย ควรภูมิใจประกาศให้ทุกคนรู้ว่า นี่คือคุณพ่อคุณแม่ของเรา  แล้วเราจะมีความสุขใจสบายใจ เป็นบุญเป็นกุศล เป็นฐานที่จะสนับสนุนให้ทำความดีต่างๆให้มากขึ้นไป  ให้มีสัมมาคารวะ เสียสละ เมตตากรุณาต่อเพื่อนร่วมโลก นี่คือธรรมะที่จะพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์ไปในที่สุด เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ได้บำเพ็ญมาในอดีต ท่านก็เริ่มต้นจากความกตัญญูกตเวทีนี้เอง รำลึกถึงบุญคุณของคุณพ่อคุณแม่ ตั้งตนอยู่ในโอวาทของคุณพ่อคุณแม่ ไม่ประพฤติตนให้เสียหาย ให้คุณพ่อคุณแม่ต้องเสียอกเสียใจ ต้องทุกข์กังวลใจ จนได้ไปถึงจุดที่สูงสุดที่จิตใจจะไปถึงได้ ก็คือพระนิพพาน เป็นรางวัลอันประเสริฐ ปรมัง สุขัง บรมสุข เป็นความสุขที่ไม่เสื่อมคลาย อยู่กับใจไปตลอดอนันตกาล นี่คือผลของความกตัญญูกตเวที  จึงขอฝากเรื่องความกตัญญูกตเวทีนี้ ให้เอาไปพินิจพิจารณา เนื่องในวันแม่แห่งชาตินี้ เพื่อประโยชน์สุขและความเจริญที่จะตามมาต่อไป การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้