กัณฑ์ที่ ๓๖๑       ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๐

 

 

บวชเรียน

 

 

 

เวลาทำบุญเราจะถวายสิ่งของหลายอย่างด้วยกัน โดยพื้นๆก็ถวายอาหารคาวหวาน ถวายสังฆทาน ในกรณีพิเศษก็ถวายผ้าไตร ถวายพระพุทธรูป ถ้าเป็นเทศกาลเข้าพรรษา ก็ถวายผ้าอาบน้ำฝน ถวายเทียนพรรษา เพราะเทียนเป็นสิ่งที่จำเป็น ในสมัยโบราณไม่มีไฟฟ้าใช้ ต้องอาศัยเทียนให้แสงสว่าง ในสมัยโบราณไม่มีการศึกษาเหมือนในสมัยนี้ ไม่มีโรงเรียน ไม่มีมหาวิทยาลัย จะศึกษาหาวิชาความรู้ก็ต้องบวชเรียน จึงเป็นธรรมเนียมประเพณีของชายไทย ที่มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์จะออกบวช ศึกษาหาวิชาความรู้ไว้เป็นเครื่องนำทาง พาชีวิตให้ไปสู่ความสุขความเจริญ ให้อยู่ห่างไกลจากความทุกข์และความเสื่อมเสียทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา จึงมีผู้มีจิตศรัทธาออกบวชกันเป็นจำนวนมาก จึงต้องทำเทียนถวายเป็นกรณีพิเศษ เพราะจะได้มีไว้ใช้ตลอด ๓ เดือนในยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นการไหว้พระสวดมนต์ก็ดี การศึกษาร่ำเรียนก็ดี ก็ต้องอาศัยแสงสว่าง แต่ในสมัยปัจจุบันมีไฟฟ้าแล้ว จึงไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถวายเทียนกัน เพราะเป็นธรรมเนียมที่ได้ทำกันมา จนฝังอยู่ในชีวิตจิตใจของชาวพุทธเรา ในสมัยนี้จึงถวายพวกหลอดไฟ ถวายสิ่งที่จะทำให้เกิดแสงสว่างขึ้นมาแทน

 

ในสมัยโบราณถือการบวชเรียนเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะจะทำให้ผู้บวชมีความรู้เป็นที่พึ่ง ความรู้ในทางพระพุทธศาสนา สำคัญกว่าความรู้ทางโลกมาก ความรู้ทางโลกถึงแม้จะเป็นขั้นปริญญาเอก ถ้าไม่มีความรู้ทางศาสนาเลย ก็จะเอาตัวไม่รอด ดังสุภาษิตที่ว่า ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด ไม่รอดพ้นจากความทุกข์ความวุ่นวายใจทั้งหลายนั่นเอง ต่อให้เรียนจบถึงขั้นปริญญาเอก ถ้าไม่ได้ศึกษาทางศาสนาเลย ก็จะต้องถูกความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความเดือดร้อนใจ ความกังวลใจ ความหวาดกลัว คอยรุมเร้าจิตใจอยู่ตลอดเวลา ความรู้ทางโลกนี้เป็นความรู้เพื่อใช้ประกอบอาชีพ เป็นวิชาชีพแต่ไม่เป็นวิชาธรรม ไม่ได้เป็นที่พึ่ง ไม่ได้เป็นสรณะของจิตใจ สรณะของจิตใจก็คือธัมมัง สรณัง คัจฉามิ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมคำสอน ศึกษาแต่วิชาความรู้ทางโลก ก็จะหลีกเลี่ยงหนีความทุกข์ไปไม่ได้ จะต้องร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ เวลาเกิดสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา เช่นพลัดพรากจากคนที่รักไป พลัดพรากจากสิ่งที่รักไป ถ้าไม่มีสติปัญญาพอที่จะยับยั้งความทุกข์ได้ ก็อาจจะเป็นเหตุให้ทำลายชีวิตของตน มีคนเป็นจำนวนมากที่หลังจากสูญเสียสิ่งที่รักไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือเป็นวัตถุ ก็จะมีความเสียใจจนไม่อยากจะอยู่ต่อไป อยากจะตาย ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปทำไม นี่เป็นเพราะไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ยินได้ฟัง พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าได้ยินแล้ว จะรู้จักหักห้ามจิตใจ เพราะทรงสอนให้รู้ว่า เราอยู่ในโลกของความไม่เที่ยงแท้แน่นอน ของความเกิดแก่เจ็บตาย ของการพลัดพรากจากกัน ไม่มีใครจะอยู่ไปได้ตลอด ไม่มีใครไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ทุกคนต้องแก่ ต้องเจ็บไข้ได้ป่วย ต้องตายไปสักวันหนึ่ง

 

นี่คือสิ่งที่เราควรศึกษาทำความเข้าใจ สอนใจให้รับกับความจริงนี้ให้ได้ ถ้ารับได้เราก็จะเตรียมตัวรับกับสภาพต่างๆ จะไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ เมื่อไม่ยึดติดแล้ว เวลาสิ่งต่างๆจากเราไป จะไม่ทำให้เราเสียอกเสียใจ ถ้าไม่สอนใจให้ปล่อยวาง ได้อะไรมาก็ดีอกดีใจ หลงยึดติด อยากจะให้อยู่ไปนานๆ ให้ดีไปนานๆ พอเกิดการเปลี่ยนแปลงไป เกิดการสูญเสียไป ก็จะต้องเศร้าโศกเสียใจ ถ้าไม่ยึดไม่ติดแล้ว ก็จะไม่หวังอะไรกับสิ่งที่มีอยู่กับสิ่งที่ได้มา มีก็ใช้ไป ดูแลรักษาไป ตามอัตภาพ ตามความสามารถ เมื่อถึงเวลาที่จะจากไป ก็ปล่อยให้จากไปโดยดี  ตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่ ถ้ายังต้องการอะไร ก็หาใหม่ได้ เวลามาเกิด ก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวมา มาตัวเปล่าๆ มาหาสิ่งต่างๆในภายหลัง หามาได้แล้วก็จากไป ก็หาใหม่อีก ถ้าลุ่มหลงกับสิ่งที่ได้มา อยากจะให้อยู่ไปตลอด พอจากไปก็จะทุกข์ทรมานใจ อาจจะทนอยู่ต่อไปไม่ได้ เพราะความหลงหลอกให้คิดว่า จะอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย ถ้ามีสติมีปัญญาคิดสักหน่อย ก็จะคิดว่า เราทำอะไรไม่ได้กับเรื่องของคนและสิ่งต่างๆ เขาจะมาเขาจะไปเราก็ไปห้ามเขาไม่ได้ ถ้าไม่ไปยึดไปติดก็จะไม่เดือดร้อน เช่นฝนตก เรารู้ว่าเราควบคุมบังคับฝนไม่ได้ อยากจะให้ฝนตกทุกวันไม่ได้ ฝนจะตกเมื่อไหร่ก็บังคับไม่ได้ เราก็เลยไม่ได้ไปยึดติดกับฝน ปล่อยให้ฝนเป็นไปตามเรื่องของเขา ฝนจะมาก็มา ฝนจะไปก็ไป เราก็เลยไม่เดือดร้อนกับเรื่องฝน ฉันใดถ้าสอนจิตใจไม่ให้ยึดติดกับสิ่งต่างๆแล้ว ก็จะไม่เดือดร้อนกับสิ่งต่างๆ ใครจะมาใครจะไป ใครจะเป็นใครจะตาย ก็ปล่อยให้เป็นไป เราก็อยู่ตามประสาของเรา เราอยู่ได้ มีความสุขได้ โดยไม่ต้องมีอะไรเลย

 

ไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลายก็จะอยู่ไม่ได้ แต่ท่านอยู่ได้ เพราะท่านรู้วิธีอยู่โดยไม่ต้องมีอะไรให้ความสุข ท่านหาความสุขภายในตัวของท่านได้ ด้วยการทำบุญให้ทาน รักษาศีล ภาวนา ทำจิตใจให้สงบ ให้ฉลาดรู้ทันสิ่งต่างๆ ว่าไม่เที่ยง ไม่ได้ให้ความสุข ไม่ใช่สมบัติของเรา นี่คือสิ่งที่เราสามารถทำให้กับตัวเราได้ ถ้าทำบุญให้ทานอยู่เรื่อยๆ ไม่หวงสมบัติข้าวของเงินทอง มีเกินความจำเป็นมีเหลือใช้ ก็ไม่เก็บเอาไว้ให้เป็นภาระ ต้องคอยดูแลรักษา เอาไปช่วยเหลือผู้อื่น เห็นใครตกทุกข์ได้ยากเดือดร้อน ก็เอาไปช่วยเขา ทำอย่างนี้บ่อยๆ ก็จะไม่ยึดติดกับข้าวของเงินทองต่างๆ เวลาเสียข้าวของเงินทองไป จะไม่เสียอกเสียใจ จะสบายใจเสียอีก หมดปัญหาไป ไม่ต้องคอยดูแล ถ้าไม่พอใช้ก็หาใหม่ได้ แต่จะอยู่แบบประหยัดมัธยัสถ์ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย จะไม่ซื้อของฟุ่มเฟือย เพราะไม่ได้ให้ความสุขที่แท้จริง  ให้ความสุขเพียงวันสองวัน ได้อะไรมาใหม่ๆก็ดีอกดีใจ หลังจากนั้นก็เก็บเอาไว้ในตู้ไม่สนใจกับมันอีกเลย แล้วก็อยากจะได้ใหม่อีก เสื้อผ้ารองเท้าจึงเต็มตู้ล้นตู้ แต่ใจก็ยังหิวยังอยากยังต้องการอยู่ เพราะไม่ได้ดูแลรักษาใจ วิธีที่จะดูแลรักษาใจให้อิ่มให้สุขให้พอ ก็คือเอาเงินที่จะไปซื้อของฟุ่มเฟือย ไปแจกให้ผู้อื่น เอาไปทำบุญทำทาน พอได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว จะมีความสุขใจภูมิใจอิ่มเอิบใจพอใจ ไม่เหมือนกับเวลาที่เอาเงินไปเที่ยวไปซื้อของฟุ่มเฟือย จะไม่มีความรู้สึกอย่างนี้ มีแต่ความอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว อยากจะได้อีก อยากจะออกไปเที่ยวอีก อยากจะซื้อข้าวซื้อของอีก

 

ถ้าได้ทำบุญช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว อยู่บ้านเฉยๆก็มีความสุข ไม่คิดอยากจะออกไปเที่ยว ไปซื้อของฟุ่มเฟือย มีแต่อยากจะไปช่วยเหลือผู้อื่นอีก เพราะทำให้จิตใจมีความสงบสุข นี่คือการสร้างความสุขให้กับเรา โดยไม่ต้องพึ่งพาอาศัยสิ่งภายนอก ถ้าต้องพึ่งพาอาศัยแล้ว จะเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา พอใช้เงินหมด ก็ต้องหามาใหม่ เพื่อจะได้ใช้อีก ถ้าทำบุญให้ทานหมด จะไม่เดือดร้อนไปหาเงินมาทำบุญทำทานอีก เพราะการทำบุญทำทานเป็นการปล่อยวางเงินทอง ทำให้ใจมีความสุขความอิ่มพอ นี่คือวิธีสร้างความสุขที่แท้จริง ที่ได้จากการศึกษาบวชเรียน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ อย่างที่ท่านทั้งหลายได้มาทำกันอย่างสม่ำเสมอ จะได้มีความรู้ไว้ดูแลรักษาใจ ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ปราศจากความทุกข์ความวุ่นวายทั้งหลาย นี่คือความรู้ขั้นที่ ๑ การทำบุญให้ทาน ความรู้ขั้นที่ ๒ ก็คือการไม่เบียดเบียนกัน ที่จะป้องกันไม่ให้เกิดความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ความกังวลใจ เพราะเวลาเบียดเบียนผู้อื่น จะเกิดความกังวลเกิดความกลัว ที่จะต้องถูกจับไปลงโทษ เช่นไปลักทรัพย์ก็ดี ไปฆ่าก็ดี ไปฉ้อโกงก็ดี ไปโกหกหลอกลวงก็ดี ถ้าไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็จะอยู่อย่างสบายอกสบายใจ นี่คือการรักษาตน ให้อยู่ไกลจากความทุกข์ ความวุ่นวายใจ ด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น มีศีล ๕ เป็นสมบัติประจำใจ ต้องรักษาศีล ๕ ไว้ให้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในวัดหรือนอกวัด ไม่ว่าจะสมาทานหรือไม่ การสมาทานเป็นเพียงพิธีกรรมเท่านั้นเอง ถ้ารู้แล้วว่าศีล ๕  มีคุณมีประโยชน์อย่างไร ช่วยเราได้อย่างไร ก็รักษาไปเรื่อยๆ

 

ไม่ต้องมาสมาทานในวันพระ ไม่ต้องมีพระมาให้ศีล พระเพียงแต่บอกว่าศีลมีอะไรบ้าง เช่นมีการละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดประเวณี พูดปดมดเท็จ เสพสุรายาเมา ถ้าไม่ทำทั้ง ๕ ข้อนี้แล้ว จิตใจจะสบาย ไม่วุ่นวาย ไม่มีเรื่องไม่มีปัญหาต่างๆ อยู่ที่ตัวเรา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ปัญหาต่างๆเราเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง เพราะไม่รู้จักวิธีรักษาใจ เวลาอยากจะได้อะไรมากๆ ก็พยายามหามาให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ถ้าต้องลักทรัพย์ก็จะทำ ต้องพูดปดมดเท็จโกหกหลอกลวงก็จะทำ ผลเสียหายก็ต้องตามมา ถ้าได้มาบวชเรียน ได้ยินได้ฟังพระธรรมคำสอน ก็จะรู้ว่าต้องรักษาศีล ๕  ถ้ารักษาได้แล้ว จิตใจก็จะมีความสงบความสุขความสบาย ทีนี้ก็อยากจะมีความสงบให้มากยิ่งขึ้นไปอีก ก็จะสนใจกับการภาวนา นั่งสมาธิเดินจงกรม เพราะจะทำให้มีความสงบมากยิ่งขึ้น ยิ่งกว่าการรักษาศีล จะมีความอิ่มความพอ ไม่หิวไม่อยากกับอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องไปดิ้นรนไปหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาให้ความสุข  เช่นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ทั้งหลาย ที่ได้บำเพ็ญทานศีลภาวนาจนจิตใจถึงจุดอิ่มตัวเต็มที่แล้ว ทานก็ได้บริจาคหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมบัติข้าวของเงินทองต่างๆ สามีภรรยาบุตรธิดา ก็บริจาคไปหมดแล้ว เวลาออกบวชก็ไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปเลย ไปตัวเปล่าๆ มีสมบัติเพียง ๘ ชิ้น ไว้สำหรับดูแลรักษาชีวิตเท่านั้นเอง คือผ้า ๓ ผืน บาตร ๑ ใบ มีดโกน ๑ เล่ม ประคดเอว ๑ อัน เข็มกับด้าย ๑ ชุด ที่กรองน้ำ ๑ อัน นี่คือสมบัติของพระ มีเท่านี้ก็อยู่ได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีอะไรมากมาย เพราะมีอะไรมากเท่าไหร่ ก็จะมีความทุกข์มากขึ้นไปเท่านั้น มีอะไรก็ต้องคอยห่วง คอยกังวล คอยดูแลรักษา เมื่อจากไปหายไป ก็เสียอกเสียใจร้องห่มร้องไห้

 

นักปราชญ์เช่นพระพุทธเจ้าจึงไม่สนใจมีสมบัติเกินความจำเป็น ทรงมีเท่าที่จำเป็นเท่านั้น สำหรับนักบวชมีเพียงบริขาร ๘ ที่เรียกว่าอัฐบริขาร ก็พอเพียงกับการดำรงชีพแล้ว สำหรับญาติโยมก็ให้พิจารณาดูเอา อะไรที่จำเป็นมีไว้ ไม่จำเป็นก็อย่าไปมี ต้องมีเสื้อผ้าไว้ใส่สักกี่ชุดก็พิจารณาดู ถ้าชุดไหนไม่ได้ใส่เลย ก็เอาไปแจกเป็นทานดีกว่า เป็นบุญเป็นกุศล เป็นการปล่อยวาง เป็นการทำให้ใจมีความสุขความอิ่ม จะไม่อยากจะได้ข้าวของเงินทอง ไม่ต้องดิ้นรนหามาด้วยวิธีที่มิชอบ ก็จะมีศีลไปในตัว ถ้าทำบุญให้ทานอยู่บ่อยๆแล้ว จะไม่ชอบเบียดเบียนผู้อื่น  เวลาอยากจะได้อะไรก็จะหามาด้วยความถูกต้อง ไม่ไปโกหกหลอกลวง ไม่ไปแย่งสามีแย่งภรรยาของผู้อื่น ไม่ไปลักทรัพย์ไปฉ้อโกง ทำไปก็จะมีแต่ความทุกข์ความวุ่นวายใจตามมา เมื่อมีศีลมีความสงบแล้ว ก็อยากจะบำเพ็ญภาวนา อยากทำจิตใจให้สงบมากยิ่งขึ้น ก็จะหาเวลาเข้าวัดมากขึ้น ถ้าอยู่บ้านก็จะหาเวลาภาวนา แทนที่จะดูหนังดูโทรทัศน์ฟังเพลง ก็จะสวดมนต์ จะนั่งสมาธิแทน จะอ่านหนังสือธรรมะ จะทำให้จิตใจมีความอิ่มเอิบ มีความสุข อยู่เฉยๆก็มีความสุข ไม่ต้องมีอะไรมาบำรุงบำเรอเหมือนเมื่อก่อน ที่อยู่เฉยๆไม่ได้ ต้องเปิดวิทยุฟัง ต้องเปิดโทรทัศน์ดู ต้องออกไปเที่ยว ต้องออกไปซื้อข้าวซื้อของ พอจิตใจมีความสงบ ที่เกิดจากการทำบุญให้ทานรักษาศีลภาวนาแล้ว อยู่บ้านก็มีความสุข ไม่มีที่ไหนจะมีความสุขเท่ากับบ้านของเรา เพราะมีของทุกอย่างพร้อมบริบูรณ์ มีอาหาร มีที่หลับที่นอน มีห้องน้ำห้องท่า แสนจะสบาย

 

ไม่เหมือนกับเวลาที่ออกไปข้างนอก แสนจะลำบาก ต้องแย่งกันกิน แย่งกันเข้าห้องน้ำ เพราะไม่ดูแลใจของเรา จึงทำให้ใจหิว ต้องออกไปหาความสุขภายนอกบ้าน แทนที่จะเป็นความสุข กลับเป็นความทุกข์เสียมากกว่า ไหนจะต้องไปเสี่ยงภัยกับอุบัติเหตุบนท้องถนน กับคนไม่ดี  ไปอยู่ที่เปลี่ยวก็อาจจะถูจี้ถูกปล้นถูกฆ่าตายได้ นี่คือปัญหาของคนที่ไม่ได้เข้าวัด ไม่มีความรู้ทางศาสนา มีแต่ความรู้ทางโลก สามารถหาเงินหาทองได้มาเป็นจำนวนมาก แล้วก็เอาเงินไปซื้อไปเที่ยวไปเสี่ยงภัย แทนที่มีเงินแล้วจะมีความสุข กลับต้องเสียเวลากับการใช้เงินใช้ทอง เมื่อใช้หมดไปก็ต้องไปหามาใหม่ ก็จะทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนวันตาย ก็จะหาความสุขไม่เจอ ถ้าไม่ได้เข้าวัด ไม่ได้บวชเรียน ไม่ได้ฟังเทศน์ฟังธรรม ถ้าได้ฟังแล้ว ก็จะรู้วิธีสร้างความสุข วิธีปัดเป่าป้องกันความทุกข์ต่างๆ ไม่ให้เข้ามาเหยียบย่ำทำลายจิตใจ นี่คือประโยชน์ที่จะได้รับจากการบวชเรียน จากการศึกษาพระธรรมคำสอน จากการฟังเทศน์ฟังธรรม จึงควรศึกษาวิชาทางศาสนา อย่าไปหลงกับวิชาทางโลก เพราะจะเอาตัวไม่รอด การแสดงก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา จึงขอยุติไว้เพียงเท่านี้