กัณฑ์ที่ ๓๗     ๒๑ มกราคม ๒๕๔๔

สวากขาตธรรม

 

ตลอดระยะเวลา ๔๕ พรรษา ตั้งแต่วันที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จนถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน   พระพุทธองค์ได้ทรงอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการอบรมสั่งสอนสัตว์โลก พระพุทธองค์ทรงสอนอยู่ทุกๆวันจนได้รับพระฉายาว่า สัตถา เทวะมนุสสานัง เป็นครูของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ในช่วงบ่ายๆพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนบรรดาศรัทธาญาติโยม  ในยามค่ำทรงอบรมสั่งสอนพระเณร  ในยามดึกทรงอบรมสั่งสอนเทวดาทั้งหลาย  และในตอนเช้าก่อนที่จะเสด็จออกบิณฑบาต ทรงเล็งญาณดูว่าในวันนั้นจะมีบุคคลใดบ้าง ที่มีจิตพร้อมที่จะรับประโยชน์จากพระธรรมคำสอน ถ้ามีพระพุทธองค์ก็จะทรงเสด็จไปโปรดคนๆนั้น นี่คือกิจที่พระพุทธองค์ได้ทรงกระทำอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ๔๕ พรรษา

เมื่อใกล้เวลาที่พระพุทธองค์จะทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน  ได้มีผู้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว  พระพุทธองค์จะทรงมอบให้ใครเป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงตอบว่าธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้วนั้นแล จะเป็นศาสดาแทนเรา ขอให้พวกเธอทั้งหลายจงยึดเอาธรรมวินัยที่ตถาคตตรัสไว้ชอบแล้วนั้นแล เป็นครูเป็นอาจารย์ของพวกเธอต่อไปทำไมพระพุทธองค์จึงไม่มอบให้กับพระสาวกองค์ใดองค์หนึ่งเป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์  ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าพระพุทธองค์ทรงมีพระญาณทรงมองเห็นกาลไกล รู้ว่าบุคคลแต่ละคนนั้นมีอายุไม่ยืนยาวนาน  อายุอย่างมากแค่ ๘๐ กว่าปี ก็ต้องถึงแก่การมรณภาพ ถ้ามอบให้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใดก็จะต้องมีการมอบให้กันอยู่ต่อๆไป และบุคคลที่จะมาสืบทอดต่อไปนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นพระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลสเสมอไป

ส่วนพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสไว้ชอบแล้วนั้น เป็นที่รวมของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ที่จะเห็นธรรมเห็นตถาคตได้ต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่เรียกว่า สุปฏิปันโน   ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็ไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือพระอริยสาวกทั้งหลายนั่นเอง  ดังนั้นถ้าผู้ใดได้ศึกษาธรรมะ แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนได้บรรลุธรรม  มีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ผู้นั้นย่อมเข้าถึงพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะผู้มีดวงตาเห็นธรรม ย่อมเห็นพระพุทธเจ้า  ผู้จะเห็นพระพุทธเจ้าได้จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบสุปฏิปันโน คือพระอริยสงฆสาวกนั่นเอง

นี่คือเหตุผลที่พระพุทธองค์ไม่ทรงมอบความเป็นศาสดาให้กับบุคคลหนึ่งบุคคลใด เพราะศาสดาแทนพระพุทธเจ้านั้นมีอยู่แล้ว คือพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชอบแล้วเรียกว่า สวากขาโต ภควตาธัมโม เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้อย่างถูกต้องแม่นยำ เป็นความจริงล้วนๆ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนรกก็ดี เรื่องสวรรค์ก็ดี เรื่องบาปก็ดี เรื่องบุญก็ดี เรื่องมรรคผลนิพพานก็ดี  เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดก็ดี  สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น  ดังที่พระพุทธองค์ทรงสรุปไว้ว่า ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว  เป็นหลักตายตัว เป็นสัจธรรมความจริงของโลกนี้  ไม่มีใครลบล้างกฎแห่งกรรมนี้ได้

กรรมเป็นเหตุ วิบากเป็นผล เป็นของคู่กัน เหมือนกับความสว่างคู่กับกลางวัน ความมืดคู่กับกลางคืน กลางวันก็สว่าง  กลางคืนก็มืด  เหตุและผลก็เป็นลักษณะนั้น ทำอะไรไว้แล้วผลก็ต้องตามมา เหมือนลอยเกวียนที่ตามล้อเกวียนไป ฉันใดผลของกรรมก็เช่นกัน  เป็นเงาตามตัว   นี่เป็นสวากขาตธรรม เป็นคำสอนที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ แล้วก็นำมาสอนพวกเรา  ให้กระทำแต่ความดี ละความชั่ว ชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงให้ออกไปจากจิตจากใจ เพราะว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เป็นต้นเหตุของการกระทำความชั่วทั้งหลาย  ผู้จะละความชั่วได้อย่างถาวรจะต้องชำระความโลภ ความโกรธ ความหลงให้หมดสิ้นไปจากจิตจากใจ  ถ้ายังชำระไม่หมดก็ยังจะมีเชื้อนำพาไปทำความชั่วได้อีก  พระพุทธองค์จึงทรงสอนให้ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด

นอกจากจะเป็นสวากขาตธรรมแล้ว  พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ยังเป็น อกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลกับเวลา ไม่สูญสลายไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลตามเวลาเหมือนกับสิ่งต่างๆในโลกนี้  เช่นร่างกายของเรานี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องเสื่อม และในที่สุดก็ต้องตาย ต้องแตกสลายไป เป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอน หมดไปตามกาลตามเวลา เช่นเดียวกันกับวัตถุสิ่งของต่างๆที่อยู่ในศาลานี้หรือในโลกนี้  เมื่อเวลาผ่านไปทุกสิ่งทุกอย่างก็จะค่อยๆเสื่อมสลายไปหมด แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นกลับไม่เสื่อมไม่สลายไปตามกาลตามเวลาสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ มีอานุภาพอย่างไรในสมัยพุทธกาล  ในสมัยปัจจุบันนี้อานุภาพของพระธรรมก็ยังมีอยู่เหมือนเดิม ไม่สูญสลาย ไม่เสื่อมไป ไม่เหมือนกับยารักษาโรคในสมัยนี้ จะมีสลากกำกับไว้ว่าควรจะบริโภคก่อนวันที่เท่านั้นๆ เพราะว่าบริโภคหลังจากวันที่กำหนดไว้ประสิทธิภาพของยานั้นจะหมดไปจะเสื่อมไป ไม่สามารถใช้รักษาโรคได้ต่อไป  ดีไม่ดีอาจจะกลายเป็นยาพิษขึ้นมา แต่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านี้เป็นอกาลิโก เป็นสิ่งที่ไม่สูญสลายหมดไป มีอานุภาพอย่างไรในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนมชีพอยู่  ในสมัยนี้ก็เป็นเช่นนั้น  สามารถนำพาผู้ปฏิบัติตามให้หลุดจากความทุกข์ได้    สามารถนำความสุขมาให้กับผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบได้  นี่เป็นหลักตายตัวของพระธรรมคำสอน

พระพุทธเจ้าจึงได้ฝากพระธรรมคำสอนไว้ให้เป็นศาสดาแทนพระพุทธองค์  พวกเราชาวพุทธจึงควรมีความมั่นใจว่า การมีศรัทธา มีความเชื่อในพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะว่าพระพุทธธรรมนี่แหละเป็นสิ่งที่พึ่งได้ เป็นสิ่งที่นำพาเราไปสู่ที่ดีที่งาม พวกเราเปรียบเหมือนกับคนตาบอด  ส่วนพระธรรมคำสอนนั้นเปรียบเหมือนกับแสงสว่างหรือเปรียบเหมือนกับคนตาดี  พระธรรมคำสอนจะพาให้เราพ้นจากภัยอันตรายทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกนี้ จะพาเราไปสู่ความสุขความเจริญอย่างแท้จริง

จงน้อมจิตน้อมใจเข้าหาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเถิด  ให้เชื่ออย่าง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นความจริงล้วนๆ เป็นความจริง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์  ไม่มีความเท็จแปลกปลอมอยู่ในพระธรรมคำสอนแม้แต่น้อยนิด  สิ่งใดที่พระพุทธองค์ทรงสอน สิ่งนั้นย่อมมีอยู่ เช่นสวรรค์มี นรกมี ทำบุญขึ้นสวรรค์ ทำบาปตกนรก  อันนี้เป็นความจริง   ทำบุญแล้วจิตใจจะมีความสุข  ถ้าทำความชั่ว ไปปล้น ไปจี้ ไปโกงผู้อื่น ได้เงินมาเป็นแสนเป็นล้าน  แต่จิตใจไม่มีความสุขเพราะไปทำบาปมานั่นเอง  เมื่อทำบาปแล้วผลย่อมเกิดในจิตใจก่อน คือมีความทุกข์ใจ มีความไม่สบายใจ ถ้าตำรวจจับตัวได้ก็ต้องถูกจับเข้าคุกเข้าตะรางไป นี่เป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่  เมื่อตายไปก็จะไปสู่อบาย ไปสู่นรกต่อไป เรื่องผลของการทำความชั่วนี้มีจริง ขออย่าได้มีความเคลือบแคลงสงสัยในคำสอนของพระพุทธองค์แม้แต่น้อยเลย  เพราะว่าความเคลือบแคลงสงสัยนี้เป็นกิเลส เป็นเครื่องกีดขวางความเจริญ จึงขอให้ตัดความสงสัยออกไปเสีย แล้วพยายามน้อมใจเข้าสู่พระธรรมคำสอน เข้าหาผู้รู้ธรรมะ เข้าหาพระไตรปิฏกซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่ได้ถูกจารึกไว้และถ่ายทอดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันนี้  เพื่อนำพาไปสู่ความสุขความเจริญอย่างแท้จริง การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่า