กัณฑ์ที่ ๔๔     ๑๗ กุมภาพันธ์  ๒๕๔๔

พุทธคุณ

 

ประเพณีอันดีงามที่พุทธศาสนิกชนปฏิบัติกันทุกครั้งเมื่อมาวัด คือการไหว้พระด้วยการจุดธูปเทียน แล้วก็กราบสามครั้ง เป็นการนำความเป็นสิริมงคลมาให้กับชีวิต  ดังในพระบาลีที่แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง  การได้บูชาบุคคลสมควรแก่การบูชา เป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง บุคคลที่ควรแก่การบูชาก็คือพระพุทธเจ้า  การบูชาพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้อยู่สองลักษณะด้วยกัน คือ อามิสบูชา และปฏิบัติบูชา  อามิสบูชาคือการบูชาด้วยเครื่องสักการบูชา ด้วยดอกไม้ธูปเทียน  ปฏิบัติบูชา คือการบูชาด้วยการประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ  พระพุทธองค์ทรงยกย่องการปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่เลิศที่สุด

การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการปฏิบัติบูชา  คือการเจริญพุทธานุสติ การระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า มีอยู่ ๙ ประการด้วยกัน  การระลึกถึงพระพุทธคุณอย่างต่อเนื่อง  จะทำให้จิตใจมีความยินดี มีความรัก มีความชอบ ที่จะคิดแต่สิ่งที่ดีที่งาม  ที่จะทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม และจะพูดแต่สิ่งที่ดีที่งาม  เมื่อคิดดี ทำดี พูดดี ผลที่จะตามมาย่อมเป็นความสุขความเจริญ  เพราะเหตุและผลเป็นของต่อเนื่องกัน เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ เช่นแสงสว่างเกิดจากพระอาทิตย์  ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ก็จะมีแต่ความมืด ฉันใดความสุขความเจริญก็เป็นผลที่เกิดจากการคิดดี พูดดี ทำดี ทุกๆครั้งที่กราบพระจึงควรเจริญพุทธานุสติ  คือพระพุทธคุณอันประเสริฐทั้ง ๙ ประการ  คือ   . อรหัง พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลส   . สัมมาสัมพุทโธ  ผู้ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ   . วิชชา จรณะ สัมปันโน ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ   . สุคโต   เป็นผู้ไปดีแล้ว   .โลกวิทู  ผู้รู้แจ้งโลก   . อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ   เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า   ๗.   สััตถา เทวมนุสสานัง เป็นศาสดาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย   . พุทโธ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน   . ภควา  ผู้มีโชค

. อรหัง พระอรหันต์ผู้สิ้นกิเลส  คือผู้ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลงอยู่ในจิตใจ  บรรลุถึงพระนิพพานแดนเกษมสันต์ เป็นปรมังสุขัง  สุดยอดของความสุข คือพระนิพพาน ไม่ต้องมาเกิดอีกต่อไป  เมื่อไม่เกิดก็ไม่มีการแก่ การเจ็บ การตาย  ตราบใดยังเกิดอยู่ ตราบนั้นก็ยังมีการแก่ การเจ็บ การตาย ตามมาเสมอ  ผู้ไม่ปรารถนาความทุกข์จึงต้องเป็นผู้ไม่เกิด เพราะว่าทุกข์ย่อมไม่มีกับผู้ไม่เกิดนั่นเอง  ตราบใดที่ยังมีการเกิดอยู่ ตราบนั้นย่อมมีการแก่ การเจ็บ การตาย ตามมาเป็นธรรมดา เป็นเหมือนเงาตามตัว

. สัมมาสัมพุทโธ   คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ตรัสรู้ธรรมบรรลุเป็นพระอรหันต์ด้วยตนเอง ไม่มีครูบาอาจารย์คอยสั่งสอน เป็นผู้ศึกษาหาวิถีทางที่จะทำให้จิตใจสะอาดหมดจด  ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง  ด้วยตนเอง ไม่มีใครสอน ไม่มีใครแนะวิธี  เป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ พระอรหันตสาวกคือผู้ที่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์โดยอาศัยการสั่งสอนจากผู้อื่น คือจากพระพุทธเจ้าหรือจากพระธรรมคำสอน   สาวกแปลว่าผู้ฟัง ผู้ได้ยินได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า แล้วก็เอามาประพฤติปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระอรหันต์  

. วิชชา จรณะ สัมปันโน  คือผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ     วิชาที่วิเศษที่ผู้ปฏิบัติธรรมจะบรรลุได้ เช่น ๑. การระลึกชาติได้   . รู้การเกิดการดับของสัตว์ทั้งหลาย ๓. รู้การสิ้นของอาสวะทั้งหลาย ๔. รู้จิตใจของผู้อื่น รู้ความคิดของผู้อื่น เช่นในขณะที่ญาติโยมกำลังคิดอะไรอยู่ บุคคลที่มีวิชาวิเศษนี้ก็จะอ่านความคิดของญาติโยมได้  . ตาทิพย์  สามารถเห็นรูปทิพย์ต่างๆเช่นบรรดาทวยเทพทั้งหลายที่คนธรรมดาสามัญมองไม่เห็น ๖. หูทิพย์ ได้ยินเสียงทิพย์ที่คนธรรมดาสามัญไม่ได้ยินกัน คือเสียงของเทวดาทั้งหลาย  . รู้ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา   . อิทธิฤทธิ์ ดำดิน เหาะเหินเดินอากาศ   จรณะคือความประพฤติที่ดีงาม  มีศีล มีธรรม

. สุคโต   เป็นผู้ไปดีแล้ว  ไปที่ปลอดภัย ไปที่ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความแก่ ไม่มีความเจ็บ ไม่มีความตาย  คือพระนิพพานนั่นเอง

.โลกวิทู  ผู้รู้แจ้งโลก   คือผู้รู้โลกธรรม ๘ ได้แก่ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์  เป็นธรรมที่สัตว์โลกทั้งหลายจะต้องประสบกัน  ผู้รู้แจ้งโลกย่อมไม่ยึดไม่ติดกับธรรมเหล่านี้ เพราะรู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นของไม่เที่ยง มีความเจริญกับความเสื่อมควบคู่กันไป  พวกที่ยังไม่รู้แจ้งโลก ย่อมหลงติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  เมื่อเกิดการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ มีนินทา มีทุกข์ตามมา  ย่อมทำใจไม่ได้ เมื่อทำใจไม่ได้ก็มีความทุกข์  เศร้าโศกเสียใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ ผู้รู้แจ้งในโลกธรรม ๘ ย่อมไม่ยึดไม่ติดในธรรมเหล่านี้ เมื่อไม่ยึดติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  เวลาเกิดการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ขึ้นมา ก็ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์ ไม่เศร้าโศก ไม่เสียใจ ไม่เสียดายในสิ่งเหล่านี้ มีก็มีไป ไม่มีก็ไม่เดือดร้อน  นี่คือลักษณะของผู้ที่รู้แจ้งในโลกนี้  เป็นโลกวิทู  ไม่ยึดไม่ติดในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข  เมื่อไม่ยึด ไม่ติด ก็จะไม่ทุกข์กับสิ่งเหล่านี้

. อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ  เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า   พระพุทธองค์ทรงสามารถฝึกมหาโจรให้กลายเป็นพระอรหันต์ได้  เช่นองคุลิมาล  เป็นมหาโจร ฆ่าคนให้ครบหนึ่งพันคนแล้วเอานิ้วมือของคนที่ถูกฆ่าตายมาร้อยเป็นพวงมาลัย เพราะอาจารย์สั่งสอนว่าถ้าอยากจะได้วิชาวิเศษ จะต้องฆ่าคนให้ครบ ๑๐๐๐ คน  องคุลิมาลได้ฆ่าคนมาแล้ว ๙๙๙ คน ขาดอยู่เพียงคนเดียวก็จะได้วิชาวิเศษจากอาจารย์  เมื่อมาพบพระพุทธองค์ก็เลยพยายามจะฆ่าให้ได้ แต่พยายามไล่พระพุทธองค์เท่าไรก็ไล่ไม่ทัน ยิ่งวิ่งเร็วขนาดไหนพระพุทธเจ้าก็วิ่งเร็วกว่า  องคุลิมาลวิ่งไล่ตามไม่ทันจึงร้องให้พระพุทธองค์ให้ทรงหยุดเถิด  ข้าพเจ้าตามท่านไม่ทัน  พระพุทธองค์ทรงตอบองคุลิมาลว่าเราได้หยุดแล้ว เธอต่างหากที่ยังไม่ได้หยุด  องคุลิมาลก็แปลกใจ  จึงทูลถามพระพุทธองค์ว่าได้หยุดอย่างไร  ข้าพเจ้าพยายามวิ่งตามพระพุทธองค์แทบเป็นแทบตายก็ยังวิ่งตามไม่ทัน  พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบไปว่า เราได้หยุดแล้วจากความโลภ ความโกรธ ความหลง พอพระพุทธองค์ทรงตรัสอย่างนี้  องคุลิมาลก็ได้สติขึ้นมา  รู้สึกตัวขึ้นมาว่าตัวเองกำลังหลง เพราะการที่จะเป็นผู้วิเศษนั้นไม่ได้เกิดจากการฆ่าฟันกัน  การฆ่าฟันกันไม่ใช่บุญไม่ใช่กุศล  เมื่อได้ฟังว่าพระพุทธองค์ทรงหยุดแล้ว จากความโลภ ความโกรธ ความหลง  องคุลิมาลจึงได้สติ ก็เลยขอพระพุทธเจ้าบวชเป็นพระ หลังจากนั้นไม่นาน ได้ปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สิ้นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง  นี่คือการเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า

สัตถา เทวมนุสสานัง เป็นศาสดาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย       พระพุทธองค์ทรงสามารถสั่งสอนได้ทั้งมนุษย์และเทวดา  เพราะพระพุทธองค์นอกจากจะมีหูตาธรรมดาแล้ว พระพุทธองค์ยังมีหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถติดต่อกับเทวดาพวกกายทิพย์ทั้งหลายได้  ในพุทธกิจ ๕ กิจวัตรประจำวันของพระพุทธองค์ประกอบไปด้วย     . เวลาเช้าเสด็จออกบิณฑบาต          .ในเวลาเย็นจะทรงสั่งสอนศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย   . ในยามค่ำจะทรงสอนพระภิกษุ      .ในยามดึกจะตอบปัญหาของเทวดา  .จวนสว่างจะทรงเล็งญาณดูว่าบุคคลใดสมควรแก่การสั่งสอนและการบรรลุธรรม ก็จะทรงเสด็จไปโปรดบุคคลนั้นต่อไป   นี่คือความเป็นศาสดาของมนุษย์และเทวดาทั้งหลายของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่ง สำหรับพวกเราเองขนาดสอนมนุษย์ด้วยกันยังสอนไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับการสอนเทวดา เลยทำให้คิดกันไปเองว่าเรื่องเทวดา เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาเพื่อให้พระพุทธเจ้าดูเป็นผู้วิเศษเหนือมนุษย์ทั้งหลาย แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งนั้น ไม่มีพระอรหันต์สาวกแม้แต่รูปเดียวที่จะปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้ ที่จะปฏิเสธว่าเทวดาไม่มีในโลกนี้  นี่เป็นเรื่องของคนที่มีตาทิพย์หูทิพย์เท่านั้นจึงจะรู้ได้ 

คนที่ไม่มีตาทิพย์ หูทิพย์นั้นเปรียบเหมือนกับคนตาบอด  คนตาบอดหรือคนหลับตาจะไปปฏิเสธสิ่งที่คนตาดีมองเห็นย่อมเป็นไปไม่ได้  ทำอย่างไรก็ปฏิเสธไม่ได้ คนที่มีตาทิพย์หูทิพย์เหมือนกับคนตาดีที่สามารถมองเห็นสิ่งที่คนตาบอดมองไม่เห็น  คนตาบอดจะปฏิเสธว่า สิ่งที่คนตาดีเห็นนั้นไม่มี ย่อมไม่ใช่ฐานะ พูดไปก็ไร้ความหมาย คนตาดีย่อมเข้าใจ แล้วก็เกิดความสมเพชเวทนากับคนตาบอดนั้นที่ไปปฏิเสธสิ่งที่คนตาดีมองเห็น ฉันใดการที่ปุถุชนคนมีกิเลสอย่างเราอย่างท่านไปปฏิเสธในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นก็เท่ากับการอวดความโง่เขลาเบาปัญญาของเราเท่านั้นเอง จึงอย่าไปปฏิเสธในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็นเป็นอันขาด  ถ้ายังไม่สามารถพิสูจน์ได้  อย่างน้อยที่สุดก็อยู่เฉยๆไว้จะดีกว่า แต่อย่าไปปฏิเสธ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร อย่าไปลบหลู่  เพราะยังไม่รู้ไม่เห็น แต่อย่าไปปฏิเสธเป็นอันขาดเพราะจะปิดกั้นทางที่นำไปสู่ความเจริญ

. พุทโธ  ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน  ตื่นจากอะไร ก็ตื่นจากความหลง  ตื่นจากความมืดบอด  ตื่นจากการเห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว    เช่นเห็นการโกหกกันเล็กๆน้อยๆว่าไม่เป็นไร  การโกงกันเล็กๆน้อยๆก็ไม่เป็นไร  การเสพสุรายาเมาก็ไม่เป็นไร    การเล่นการพนันก็ไม่เป็นไร   แล้วผลเป็นอย่างไร  ก็มีแต่ความทุกข์ความเสื่อมเสียตามมา  แต่ก็ทำสิ่งเหล่านี้กันเสมอมา ถ้าเป็นผู้ตื่นย่อมเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งไม่ดี  ควรเลิกเสีย  ย่อมตื่นจากความลุ่มหลง จากความเห็นผิดเป็นชอบ  ย่อมเห็นกงจักรเป็นกงจักร เห็นดอกบัวเป็นดอกบัว เห็นผิดเป็นผิด  เห็นชอบเป็นชอบ  เห็นว่าการพูดปดมดเท็จ การเสพสุรายาเมา การเล่นการพนัน การเที่ยวเตร่กลางค่ำกลางคืนไม่ดี  ควรละเว้น  ถ้าต้องการความสุขที่แท้จริง

. ภควา  ผู้มีโชค  พระพุทธองค์เป็นผู้มีโชค เหมือนกับคนที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง ในสลากล้านฉบับจะมีฉบับเดียวที่จะถูกรางวัลที่หนึ่งได้  ผู้ที่ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่งจึงเป็นผู้มีโชคที่สุด ฉันใดผู้ที่สามารถปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าขึ้นมาได้ก็ฉันนั้น  เป็นสิ่งที่ยากเย็นอย่างยิ่ง  การปรากฎขึ้นของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์เป็นสิ่งที่ยากมาก ต้องใช้เวลายาวนานเป็นกัปเป็นกัลป์ในการบำเพ็ญบารมี  ผู้ที่ได้สร้างบุญบารมีจนตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้  จึงเป็นผู้มีโชคอย่างยิ่ง

เช่นเดียวกับผู้ที่ได้พบพระพุทธเจ้าหรือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็เป็นผู้มีโชคเช่นกัน  เช่นพวกเราทั้งหลายถึงแม้พระพุทธองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วถึง ๒๕๐๐ กว่าปีก็ตาม  แต่ศาสดาที่เป็นองค์แทนพระพุทธองค์นั้นยังมีอยู่ คือพระธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ชอบแล้ว  พระธรรมคำสอนที่ตรัสไว้ดีแล้วยังมีอยู่  ยังมีพระไตรปิฏก ยังมีพระธรรมคำสอน  ยังมีพระอริยสงฆสาวกสั่งสอนพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่  พวกเราจึงเป็นผู้ที่โชคดีเช่นกัน ที่ยังอยู่ในยุคที่มีคำสอนอยู่  ยังมีแสงสว่างอยู่ ยังสามารถพออาศัยแสงสว่างนี้พาเราไปสู่สุคติ ที่ดีที่งามได้

นี่คือพระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ  ทุกครั้งที่กราบไหว้พระควรกราบพระด้วยอามิสบูชา  คือจุดธูปเทียนและดอกไม้ถวายพระ แล้วก็ปฏิบัติบูชาคือเจริญพุทธานุสติ  เจริญพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้คือ อรหัง สัมมาสัมพุทโธ  วิชชาจรณะสัมปันโน สุคโต โลกวิทู อนุตตโร ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานัง พุทโธ ภควา นี่คือพุทธคุณ ๙ ที่ควรระลึกในจิตใจ ควรเข้าใจความหมายด้วย  จะทำให้มีความรัก มีความยินดีในพระพุทธองค์ ในการประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธองค์  เอาพระพุทธองค์เป็นเยี่ยงอย่าง จะคิดแต่สิ่งที่ดี จะพูดแต่สิ่งที่ดี และจะทำแต่สิ่งที่ดี  ถ้าคิดดี พูดดี ทำดีแล้ว ผลคือความสุขความเจริญย่อมตามมาอย่างแน่นอน ดังพระบาลีได้แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง  การได้บูชาบุคคลสมควรแก่การบูชา เป็นมงคลอย่างยิ่ง การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้