กัณฑ์ที่ ๔๘     ๓ มีนาคม ๒๕๔๔

สรณะ

 

ที่พึ่งในพระพุทธศาสนามีอยู่  ๒ ลักษณะด้วยกัน   ประกอบด้วย  . ที่พึ่งที่เป็นสรณะอันสูงสุด ได้แก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์   เป็นสรณะที่พึ่งของจิตใจ   .  อัตตาหิ อัตตโน  นาโถ   ตนเป็นที่พึ่งของตน   ที่พึ่งทั้ง ๒ นี้  เป็นที่พึ่งที่ชาวพุทธทุกคนควรน้อมเข้ามาสู่ตัว เพราะถ้ามีที่พึ่งทั้ง ๒ แบบนี้แล้ว   ชีวิตย่อมเป็นไปด้วยความเจริญรุ่งเรือง   มีแต่ความสุข   ความเป็นสิริมงคล ที่พึ่งอย่างแรกคือการมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์   เป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ   เหตุใดจึงต้องมีพระพุทธ  พระธรรม   พระสงฆ์   เป็นที่พึ่ง   เพราะจิตใจของเรากับจิตใจของพระพุทธเจ้า ของพระอริยสงฆ์สาวก  มีความแตกต่างกัน   จิตใจของพวกเรา ยังมี กิเลส ตัณหา อวิชชา ความหลง ความมืดบอดครอบงำจิตใจอยู่ เหมือนคนตาบอดที่พึ่งตัวเองไม่ได้ ส่วนจิตใจของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวกนั้น  เป็นจิตใจที่ไม่มี กิเลส ตัณหา อวิชชา ความหลงปกปิดหุ้มห่อ ไม่มีความมืดบอดครอบงำ เป็นจิตใจที่มีแสงสว่างแห่งธรรม ที่รู้ทั้งเหตุและรู้ทั้งผล  รู้ว่าการกระทำทางกาย  ทางวาจา  และทางจิตใจ เป็นเหตุให้มีผลเกิดขึ้นมา  การกระทำมีทั้งดีและชั่ว   บาปและบุญ   เมื่อทำไปแล้วจะมีผลตามมา ถ้าทำบุญ  ทำความดี  ก็มีความสุข  ความเจริญตามมา ถ้าตายไปก็ได้ไปสู่สวรรค์ ถ้าทำความชั่ว ทำบาป ทำกรรม ก็จะมีแต่ความทุกข์ ความหายนะ ความเสื่อมเสียตามมา ถ้าตายไปก็ต้องไปสู่นรก ไปสู่อบาย

นี่คือสิ่งที่พระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์สาวก  เห็นแจ้งชัดเหมือนกับคนที่มีตามองเห็นสิ่งต่างๆในโลกนี้ พวกเราที่อยู่ในห้องนี้เวลาลืมตา  เราจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในห้องนี้ว่ามีอะไรบ้าง   แต่ถ้าปิดตาเราจะไม่เห็นอะไรเลย จะเห็นแต่ความมืด  ไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในห้องได้   จิตใจของปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราอย่างท่าน ก็เหมือนกับคนที่ปิดตาไว้  เหมือนกับคนตาบอด ย่อมไม่สามารถเห็นสิ่งต่างๆที่คนตาดีเห็นได้  เมื่อเป็นเช่นนั้นสิ่งต่างๆที่คนตาดีเห็น ย่อมเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อเหลือวิสัยของคนตาบอดที่จะรู้เห็นตามได้ จะทำได้อย่างเดียวก็คือจะเชื่อหรือไม่เชื่อเท่านั้น เช่น นรก สวรรค์ กรรม การเวียนว่ายตายเกิด   สิ่งเหล่านี้พระพุทธองค์ และพระอริยสงฆ์สาวก  ทรงรู้ทรงเห็นอย่างแจ้งชัด  เพราะมีตามองเห็น  แล้วก็เอามาแสดงให้พวกเราฟัง   แต่พวกเราตาบอดก็เลยไม่ทราบว่าสิ่งเหล่านี้เท็จจริงอย่างไร

สิ่งแรกที่พุทธศาสนิกชนควรจะมีคือศรัทธาความเชื่อใน พระพุทธ   พระธรรม  พระสงฆ์ หมายถึงให้เอาพระพุทธ พระธรรม  พระสงฆ์   มาเป็นผู้นำทาง คนตาบอดต้องอาศัยคนตาดีนำทาง ถ้าไม่มีคนตาดีนำทางก็ต้องเดินแบบสะเปะสะปะ เตะสิ่งนั้นบ้าง สะดุดสิ่งนี้บ้าง ตกหลุมตกบ่อบ้าง เพราะไม่มีตาเห็นสิ่งต่างๆ แต่ถ้ามีคนตาดีนำการเดินทางย่อมเป็นไปด้วยความราบรื่นดีงามมีแต่ผลดีโดยถ่ายเดียว เพราะว่าสิ่งไหนเป็นสิ่งไม่ดี ก็หลบหลีกได้ หลีกเลี่ยงได้  เมื่อทำแต่สิ่งที่ดีที่งามแล้ว  ผลที่ดีก็จะตามมา เราจึงต้องยึดพระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์เป็นสรณะ   เป็นผู้ชี้ทางให้กับเรา แต่พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ไม่สามารถที่จะปฏิบัติให้กับเราได้  เราต้องประพฤติปฏิบัติเอง  เราจึงต้องมีที่พึ่งในตัวของเราเอง   คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ   ตนเป็นที่พึ่งของตน  จะทำกรรมอันใดไว้ ดี   หรือชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น พระพุทธองค์ไม่สามารถเสกความสุขความเจริญให้กับเราได้ เราต้องประพฤติปฏิบัติด้วย กาย   วาจา  ใจ ของเรา  ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติแล้ว   ผลดีทั้งหลายจะไม่เกิดขึ้นมา ตนต้องเป็นที่พึ่งของตน พระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์สาวก ครูบาอาจารย์ บิดามารดา  ปู่ย่าตายาย  มีเพียงหน้าที่สั่งสอนอบรมให้รู้จัก ผิด  ถูก ดี ชั่ว เมื่อได้ยินได้ฟังแล้วเราควรน้อมมาประพฤติปฏิบัติ คือ  ทำแต่สิ่งที่ดี ละเว้นสิ่งที่ไม่ดี  ผลดีย่อมเกิดขึ้นตามมา

ถ้าปรารถนาให้ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีแต่ความเป็นสิริมงคล  เราต้องน้อมเอา พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  เข้าสู่จิตใจ   ให้เป็นแสงสว่างนำทาง พาเราไปสู่ที่ดีที่งาม   พระพุทธ   พระธรรม   พระสงฆ์  มีอยู่    ลักษณะด้วยกัน  คือ พระพุทธ   พระธรรม  พระสงฆ์  ที่อยู่ภายนอก และ พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  ที่อยู่ภายใน  พระพุทธที่อยู่ภายนอก  หมายถึงพระพุทธเจ้าที่ได้มาประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว เป็นผู้ประเสริฐ  ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ต่อสู้กับสิ่งชั่วร้ายต่างๆที่มีอยู่ในพระทัยของพระพุทธองค์ คือ ความโลภ ความโกรธ  ความหลง ด้วยความอุตสาหะ วิริยะ ขันติ ความอดทน จนจิตใจสะอาดบริสุทธิ์  เป็น พุทธัง  สรณัง  คัจฉามิ ของโลกขึ้นมา พระธรรมภายนอก  คือ  คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่สอน  ให้ทำแต่ความดี  ละความชั่ว และชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง  เป็น  ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ   พระสงฆ์ภายนอก คือ ผู้ที่มีศรัทธาน้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มาประพฤติปฏิบัติ  ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด ปราศจากกิเลส  ความโลภ ความโกรธ ความหลง  กลายเป็น สังฆัง สรณัง คัจฉาม   สรณะทั้ง ๓ นี้ เป็นสรณะภายนอก ยังไม่ใช่สรณะที่แท้จริง เพราะยังไม่ได้เข้ามาอยู่ภายในจิตใจ ยังไม่ได้ดับ ความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มีอยู่ในใจของเรา         

สิ่งที่จะชำระ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ในจิตใจได้นั้น  ต้องเป็นสรณะภายใน  คือ  ต้องเป็น พุทธะ ธัมมะ สังฆะ   ภายในใจ  จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติ  ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  คือ ทาน ศีล ภาวนา ทำจิตให้เป็นสมาธิ  มีความสงบ  และเจริญวิปัสสนา  เจริญปัญญาให้เห็นตามสภาพความเป็นจริงของสภาวธรรมทั้งหลาย ว่าเป็นของไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  ไม่มีตัวมีตน เรียกว่า นิจจัง ทุกขัง อนัตตา โดยอาศัยหลัก  อัตตาหิ อัตตโน นาโถ  คือ เป็นผู้ที่ปฏิบัติเอง  ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้  จิตใจไม่เหมือนกับเสื้อผ้า  เวลาสกปรกถ้าไม่มีเวลาซักเองก็ยังพอจะจ้างให้คนอื่นซักให้  เช่น ส่งเสื้อผ้าไปร้านซักรีด  ให้เขาซักฟอกให้สะอาด กับเสื้อผ้าก็พอจะทำได้  แต่กับจิตใจที่สกปรกไปด้วยกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย  ไม่มีใครจะซักฟอกชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดแทนกันได้  ต้องเป็นตัวของเราเองเท่านั้นที่จะเป็นผู้ซักฟอกให้สะอาดหมดจด  จึงต้องอาศัย อัตตาหิ อัตตโน นาโถ  คือ ตนเป็นที่พึ่งของตนเราจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติเอง   พระพุทธเจ้าไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้เราได้  พระสงฆ์สาวกก็ไม่สามารถปฏิบัติธรรมให้กับเราได้  เราต้องเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ  ด้วยศรัทธา  ความเชื่อ คือ เชื่อสิ่งต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ว่าเป็นของจริงไม่ใช่เป็นสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเสกขึ้นมา แต่งขึ้นมา เพื่อหลอกให้พวกเราทำตามโดยไม่มีผลดีตามมา  ด้วยวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร  ด้วยความอดทน  ด้วยสติ ด้วยปัญญา ไม่ช้าก็เร็ว  จิตใจก็จะค่อยๆสะอาดขึ้นมา ตามลำดับ  ความโลภ  ความโกรธ  ความหลงภายในจิตก็จะค่อยๆหมดไปๆ จนกระทั่งในที่สุดจิตก็จะเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ เพราะจิตมีธรรมเข้าไปชำระซักฟอก เป็นจิตที่เป็นธรรมล้วนๆ

นี่คือการเข้าสู่ที่พึ่งที่แท้จริง  สรณะที่แท้จริงไม่ได้อยู่ภายนอก  แต่อยู่ภายในจิตใจของเรา เพียงแต่เราต้องพยายามขุดขึ้นมา ด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม  พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ว่า  ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ใดปฏิบัติจนบรรลุธรรม   ผู้นั้นจะเห็นพระพุทธเจ้า  เพราะว่าพระพุทธเจ้าที่แท้จริงก็คือความสะอาดบริสุทธิ์ของจิตใจนั่นเอง   จิตใจของพระพุทธเจ้า  พระอรหันตสาวก สะอาดบริสุทธิ์ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงอย่างไร  จิตใจของผู้ปฏิบัติที่ได้ชำระจิตใจจนสะอาดบริสุทธิ์  หมดสิ้นจากความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ก็เป็นจิตแบบเดียวกัน เหมือนกับเสื้อผ้าที่ส่งไปซักที่ร้านซักรีด เมื่อได้ซักทำความสะอาดแล้ว ก็เป็นเสื้อผ้าที่สะอาดเหมือนกันหมด เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติ   จนจิตใจสะอาดหมดจดแล้ว จิตใจของบุคคลคนนั้นก็เหมือนกับจิตใจของพระพุทธเจ้า  เป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนกัน ผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์แล้วย่อมรู้ว่าจิตใจของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร ดังที่พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงไว้ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต  ผู้ที่จะเห็นธรรมได้  เห็นพระพุทธเจ้าได้ก็ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สุปฏิปันโน  ก็คือพระอริยสงฆ์สาวกนั่นเอง  ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็คือพวกเราทั้งหลายที่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอน  จนกระทั่งจิตใจสะอาดหมดจด  ผู้ปฏิบัติเท่านั้นที่จะบรรลุธรรมได้  กลายเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา   กลายเป็นผู้มีพระรัตนตรัยครบถ้วนบริบูรณ์อยู่ภายในจิตใจ   คือมี พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์ สรณะที่สูงสุดอยู่ภายในจิตใจ

พระรัตนตรัยที่อยู่ในจิตใจไม่มีใครสามารถทำลายล้างได้  ไม่เหมือนกับพระรัตนตรัยที่อยู่ภายนอก  เช่น  พระพุทธรูปก็ต้องเสื่อมไปตามกาลตามเวลา  ผุกร่อนไป ถูกบุคคลหนึ่งบุคคลใดทำลายไป ทุบทิ้งไปก็ได้  ดังที่เราได้ยินได้ฟังข่าวว่ามีประเทศหนึ่งไม่ปรารถนาที่จะให้มีพระพุทธรูปอยู่ในประเทศของเขา  เรื่องอย่างนี้เราไปห้ามไม่ได้  เพราะอยู่ภายใต้กฎของอนิจจัง  ของอนัตตา  อนิจจังคือความไม่เที่ยงแท้แน่นอน  ต้องแปรปรวนไป หมดสิ้นไปในที่สุด  อนัตตาคือความไม่เป็นสมบัติที่แท้จริงของผู้หนึ่งผู้ใด  ธรรมชาติที่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย  มีเหตุปัจจัยให้ตั้งอยู่  ก็จะตั้งอยู่   ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยให้อยู่ต่อไป  ก็ไม่ได้อยู่ต่อไป  ชาวพุทธเราที่มีปัญญา  จะไม่โกรธ  จะไม่วิตก  จะไม่เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีกับเรื่องเหล่านี้  เพราะถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารทั้งหลายที่จะต้องเสื่อมสลายหมดไป ถึงแม้พระพุทธรูปจะมีความสำคัญต่อจิตใจของชาวพุทธทั้งหลาย   แต่พระพุทธรูปไม่ใช่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด  เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดนั้น อยู่ภายในจิตใจ  คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมนั่นเอง 

พระพุทธ   พระธรรม   พระสงฆ์  ที่อยู่ภายนอกเป็นเพียงเครื่องเตือนสติ  ให้ระลึกถึงการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระพุทธรูปเป็นพุทธานุสสติ   พระคุณอันประเสริฐของพระพุทธเจ้า พระธรรมคำสอนเป็นธัมมานุสสติ   พระคุณอันประเสริฐของพระธรรมคำสอน พระอริยสงฆ์สาวก พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นสังฆานุสสติ พระคุณอันประเสริฐของพระอริยสงฆ์สาวก  สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องเตือนสติ   ให้รู้ว่าจะต้องทำอะไร   เตือนให้ปฏิบัติหน้าที่ให้สมบูรณ์นั่นเอง   ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ไว้เตือนสติแล้ว  จะไม่ลุ่มหลงไปกับความโลภ  ความโกรธ  ความหลง    พระพุทธ   พระธรรม   พระสงฆ์  จึงเป็นสิ่งสำคัญ  มีความจำเป็นที่พุทธศาสนิกชนจะต้องมีไว้เป็นเครื่องเตือนสติ     เช่น มีพระพุทธรูป   มีหนังสือธรรมะ มีการแสดงและการฟังพระธรรมเทศนา  มีพระอริยสงฆ์ เป็นเครื่องเตือนใจ  เป็นเครื่องปลุกใจให้เกิด ศรัทธา ความเชื่อ วิริยะ ความขยันหมั่นเพียร  ที่จะประพฤติปฏิบัติ  ประกอบคุณงามความดี  ละเว้นความชั่ว  ชำระจิตใจให้สะอาดหมดจด  ปราศจากความโลภ  ความโกรธ  ความหลง   แต่ไม่ต้องเสียใจ   ถ้าสรณะที่อยู่ภายนอกถูกทำลายไป  เพราะหามาทดแทนกันได้  หาใหม่ได้  สร้างขึ้นมาใหม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสร้างจากการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะได้ไม่ต้องกลัวว่าศาสนาจะสูญหายไป เพราะเป็นศาสนาภายในใจที่ไม่มีใครทำลายได้  ศาสนวัตถุไม่ใช่ศาสนาที่แท้จริง  ศาสนธรรมที่อยู่ในจิตใจต่างหากที่เป็นศาสนาที่แท้จริง    ที่จะเป็นผู้สืบทอดพระศาสนาได้อย่างแท้จริง

พุทธศาสนิกชนจึงควรยึดมั่นในพระรัตนตรัย พระพุทธ  พระธรรม พระสงฆ์ที่เป็นสรณะอยู่ภายนอก แล้วน้อมเข้ามาด้วยการประพฤติปฏิบัติ  จนเกิดเป็นพระรัตนตรัยขึ้นมาภายในใจ  ด้วย อัตตาหิ  อัตตโน นาโถ  คือ  ด้วยการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจนบรรลุธรรมขึ้นมา   กลายเป็นผู้ที่มีสรณะพร้อมสมบูรณ์ในตัวของเรา เป็นพระรัตนตรัยที่ไม่มีใครทำลายได้ หรือพรากไปจากตัวเราได้ เป็นสมบัติที่แท้จริงของเรา   เป็นสมบัติที่ทำให้เราอยู่ได้ด้วยความร่มเย็นเป็นสุข  ปราศจากทุกข์ภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้