กัณฑ์ที่ ๕๖     ๗ เมษายน ๒๕๔๔

บูชา

 

การได้เข้าวัดในเวลาที่ว่างเว้นจากภารกิจการงานเช่นวันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการ เป็นการเสริมความเป็นสิริมงคลให้แก่ชีวิต เพราะจะได้ประกอบศาสนกิจต่างๆที่เป็นเหตุของความสิริมงคลทั้งหลาย เช่นการกราบพระ บูชาพระด้วยดอกไม้ ธูป เทียน  ดังในพุทธภาษิตที่แสดงไว้ว่า ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมังการได้บูชาสิ่งที่สมควรแก่การบูชาเป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง การบูชาพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยดอกไม้ ธูป เทียน เป็นได้ทั้งอามิสบูชาและปฏิบัติบูชา  อามิสบูชาเป็นการบูชาด้วยเครื่องสักการะเช่นดอกไม้ ธูป เทียน   ส่วนปฏิบัติบูชาคือการพัฒนาจิตใจด้วยการเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณดอกไม้ ธูป เทียน เป็นเครื่องระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ อย่างธูป ๓ ดอก หมายถึงพระพุทธคุณ ๓ ประการ ได้แก่ พระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ

พระกรุณาคุณคือความสงสารที่พระพุทธองค์ทรงมีแก่สัตว์โลกทั้งหลายที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้ธรรมและหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว พระองค์ไม่ได้ทรงเก็บพระธรรมที่ทรงรู้ทรงเห็นไว้ตามลำพัง  แต่ทรงอุทิศเวลาตลอด ๔๕พรรษา คือตลอดเวลาของพระชนมายุที่เหลืออยู่ตั้งแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน  พระพุทธองค์ทรงใช้เวลานี้สั่งสอนสัตว์โลกให้รู้จักเรื่องบาปบุญ คุณโทษ เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ มรรค ผล นิพพาน   เรื่องการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าพระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสั่งสอนแล้ว สัตว์โลกทั้งหลายก็ยังจะต้องจมอยู่ในกองทุกข์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุดเพราะไม่รู้จักทางออก เป็นเหมือนคนตาบอด ไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุที่จะนำมาซึ่งความสุข  อะไรคือเหตุที่จะนำมาซึ่งความทุกข์ อะไรคือผลของการกระทำดีและชั่ว  ไม่มีใครรู้กัน 

แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และประกาศพระธรรมคำสอนแล้วจึงได้รู้กัน เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมแล้วนำเอาไปปฏิบัติก็สามารถหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้ หลุดพ้นจากทุกข์ได้ ดังที่พระอริยสงฆสาวกได้น้อมเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติจนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ  พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เปรียบเหมือนยารักษาโรค สัตว์โลกทั้งหลายเปรียบเหมือนคนไข้  ถ้าไม่มียารักษาโรค  ย่อมไม่หายจากโรคภัยไข้เจ็บ จึงต้องอาศัยหมอที่มีความกรุณาอย่างพระพุทธองค์ประทานธรรมโอสถมาให้ เมื่อรับประทานแล้วก็จะหายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย  นี่คือพระกรุณาคุณของพระพุทธเจ้า

พระปัญญาคุณหมายถึงความรู้ความฉลาดของพระพุทธเจ้าที่สามารถแหวกว่ายให้พ้นจากกองเพลิงกองไฟแห่งการเวียนว่ายตายเกิดได้  ซึ่งไม่มีใครสามารถทำได้แม้แต่คนเดียวในโลกนี้  มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่มีปัญญามีความรู้ความฉลาดที่สามารถนำพาพระองค์ให้พ้นจากกองทุกข์นี้ได้   ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงตรัสรู้  พระพุทธองค์ก็ทรงแสวงหาครูอาจารย์ผู้รู้ต่างๆ เพื่อที่จะได้สอนท่านให้รู้จักวิธีการหลุดพ้นจากกองทุกข์  แต่ก็ไม่มีใครรู้เลยในโลกนี้แม้แต่คนเดียว  พระพุทธองค์จึงต้องใช้ความอุตสาหะความพยายาม ขันติความอดทน ทดลองไปเรื่อยๆ โดยอาศัยใช้เหตุใช้ผลใช้สติปัญญาอันแหลมของพระองค์ ลองผิดลองถูกไปจนกระทั่งในที่สุดก็พบทางที่จะนำพาไปสู่ความสงบสุข  ทางที่จะนำพาไปสู่ความสิ้นทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดได้อย่างสิ้นเชิง

พระวิสุทธิคุณ หมายถึงพระทัยของพระพุทธเจ้าที่สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง กิเลสตัณหาทั้งหลาย  ที่เกิดจากการประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยสติด้วยปัญญา พระทัยของพระพุทธองค์ทรงเต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตากรุณา ทรงปรารถนาที่จะให้ผู้อื่นที่ยังอยู่ในกองทุกข์หลุดพ้นจากทุกข์ไป ทรงอุทิศเวลาและสติปัญญาสั่งสอนสัตว์โลกโดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ จากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว การสั่งสอนของพระพุทธองค์แต่ละครั้งจะไม่มีบาตรวางไว้ข้างหน้าเพื่อเรี่ยไรกัณฑ์เทศน์เอาเงินเอาทองจากญาติโยม  นี่ไม่ใช่เป็นวิสัยของพระพุทธเจ้า  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนธรรมโดยไม่คิดเงินคิดทอง ไม่เรี่ยไรเงินทองจากผู้ฟัง  เพราะพระองค์มีพร้อมอยู่แล้วในพระทัยของพระองค์  พระพุทธองค์ทรงร่ำรวยด้วยพระอริยทรัพย์ ไม่มีทรัพย์อะไรจะเท่าเทียมกับพระอริยทรัพย์ที่มีอยู่ในจิตใจ  เพราะผู้ใดมีพระอริยทรัพย์อยู่ในจิตใจแล้วย่อมมีแต่ความอิ่มเอิบใจ มีแต่ความพอ เปรียบเหมือนกับตุ่มน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแล้ว  จะใส่น้ำเข้าไปเท่าไรน้ำก็จะล้นออกมา  นี่คือพระทัยของพระพุทธเจ้าผู้ที่มีความบริสุทธิ์ในจิตใจ  สั่งสอนสัตว์โลกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ปรารถนาแม้แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากผู้ที่พระพุทธองค์ทรงช่วยเหลือ  แม้กระทั่งคำว่าขอบอกขอบใจหรือความสำนึกในบุญคุณพระพุทธองค์ก็ไม่เคยปรารถนา ไม่เคยหวังอะไรจากสัตว์โลกแม้แต่นิดเดียว

แต่สำหรับสัตบุรุษคนดี เมื่อได้รับความช่วยเหลือแล้วย่อมสำนึกในพระคุณของผู้ให้  ดังที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆครั้งที่ได้พบเห็นพระพุทธรูป  ด้วยการน้อมจิตน้อมใจกราบนมัสการในองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ด้วยความสำนึกในพระคุณอันใหญ่หลวงที่พระพุทธองค์ทรงได้มอบให้กับสัตว์โลกทั้งหลาย  แม้ในพระทัยของพระพุทธองค์จะไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่จะคิดถึงสิ่งตอบแทนจากสัตว์โลกทั้งหลาย  พระโอวาทของพระพุทธองค์ทุกๆบท ทุกๆบาทเป็นไปเพื่อประโยชน์ของผู้ฟังโดยถ่ายเดียว  ไม่มีประโยชน์ของผู้แสดงอยู่แม้แต่น้อยนิด  นี่คือลักษณะของวิสุทธิคุณ คือจิตที่ชำระแล้ว ไม่มีความโลภ ความอยาก นี่คือการเจริญพระพุทธคุณที่เรียกว่าพุทธานุสติ  ทุกครั้งที่จุดธูป ๓ ดอก ขอให้ระลึกถึงพระกรุณาคุณ พระปัญญาคุณ และ พระวิสุทธิคุณ  เพราะเมื่อระลึกถึงแล้ว  จะทำให้เกิดปัญญานำพาไปสู่การดับทุกข์ได้  แต่ถ้าจุดธูปไปโดยที่ไม่ได้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว  ไม่ระลึกถึงพระคุณอันประเสริฐ ๓ ประการ  ก็จะไม่ได้ปฏิบัติบูชา  จะได้แต่เพียงอามิสบูชา  

ส่วนการจุดธูปแล้วก็ขอพรให้พระทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ เป็นสิ่งที่ไม่อยู่ในคำสอนของพระพุทธองค์  พระพุทธองค์ทรงสอนให้เราเป็นที่พึ่งของตัวเราเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติตนทางกายวาจาใจ ตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไม่ได้สอนแม้แต่คำเดียวว่า เวลาจุดธูปเทียนแล้วขอให้ร่ำให้รวย ขอให้เรียนจบ หรือขอให้มีลูกมีเต้า หรือขอให้ได้ตำแหน่งต่างๆ พระพุทธองค์ไม่เคยสอนให้ขอ  แต่พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทำ ให้มีความอุตสาหะวิริยะ ความขยันหมั่นเพียร อยากได้อะไรก็พยายามหามาด้วยลำแข้งลำขาด้วยสติปัญญาของตน อย่ารอพึ่งคนอื่น  ถ้ารอพึ่งคนอื่นก็จะกลายเป็นขอทานไป  ก็ต้องขอไปตลอดชีวิต  แต่ถ้าหามาได้ด้วยสติปัญญา ด้วยความขยันหมั่นเพียรของตนแล้ว  ต่อไปจะต้องการอะไรในโลกนี้ก็จะสามารถหามาได้ด้วยตนเอง  เพราะพึ่งตนเองได้  มีตนเป็นที่พึ่งของตน  ไม่ต้องพึ่งผู้อื่น 

แสงเทียนหมายถึงแสงสว่างแห่งธรรม จิตใจของปุถุชนอย่างเราอย่างท่านยังต้องอาศัยแสงสว่างแห่งธรรม  เพราะยังมืดบอดอยู่ มีความหลง มีอวิชชาครอบงำทำให้เห็นผิดเป็นชอบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นสุขเป็นทุกข์ เห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง  เห็นสิ่งที่ไม่เป็นตัวตนว่าเป็นตัวตน  นี่คือความหลง  ถ้าตราบใดยังคิดว่ามีตัวตนอยู่  นั่นแหละคือความหลง  ถ้าตราบใดยังคิดว่าโลกนี้มีความสุขที่ยังแสวงหาได้อยู่ นั่นก็คือความหลง  ถ้ายังคิดว่ายังมีสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอนอยู่ในโลกนี้ นี่ก็คือความหลง  เพราะตามความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เที่ยงแท้แน่นอน  ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่ให้ความสุขที่แท้จริง ไม่มีอะไรที่จะเป็นของๆเราอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องหมดสิ้นไป  ต้องมีการพลัดพรากจากทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจากไปหรือหมดไป  เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เป็นเราเป็นของของเรา  ดังที่ได้ทรงแสดงไว้ว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา  ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตน ไม่ใช่ของๆตน

เราจึงต้องอาศัยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นแสงสว่างชี้ทางให้เห็นสิ่งต่างๆตามความเป็นจริง เช่นเดียวกับเวลาที่อยู่ในที่มืด ไม่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าเป็นแมวหรือสุนัข ถ้าไม่มีแสงสว่างจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร  แต่ถ้ามีแสงไฟก็จะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างฉันใด  แสงสว่างแห่งธรรมก็เช่นกัน เป็นแสงสว่างที่ทำให้เห็นว่าอะไรเป็นอะไร อะไรคือบาป อะไรคือบุญ อะไรคือเหตุ อะไรคือผล อะไรคือนรก อะไรคือสวรรค์  สิ่งเหล่านี้เป็นของจริงที่มีอยู่ แต่จิตใจมืดบอดจึงไม่เห็นสิ่งเหล่านี้  เมื่อไม่เห็นจึงไปเถียงพระพุทธเจ้า ไปปฏิเสธคำสอนของพระพุทธเจ้า หาว่าพระพุทธเจ้าสอนให้คนงมงาย สอนให้คนเชื่อ ไม่ให้คนคิด

ความจริงแล้ว  พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อ และทรงสอนให้คิดด้วย  สิ่งที่ยังไม่รู้ยังไม่เห็นก็ต้องเชื่อไปก่อน  สิ่งที่ต้องคิดก็ต้องคิด เหมือนกับพ่อแม่สอนลูก  เมื่อลูกยังเด็กอยู่ ยังคิดเองไม่ได้ก็ต้องเชื่อไปก่อน ไม่มีพ่อแม่คนไหนที่ใจคอโหดร้ายพอที่จะสอนให้ลูกไปทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม  พ่อแม่ทุกคนอยากให้ลูกมีความสุขความเจริญทั้งนั้น  ลูกๆจึงเชื่อพ่อแม่ได้อย่างตายใจ  ในเบื้องต้นจึงควรเชื่อพ่อแม่ไปก่อนเพราะยังคิดไม่เป็น เมื่อโตแล้วคิดเป็นแล้วก็จะรู้ดีรู้ชั่วเอง

ชาวพุทธก็เหมือนกัน  ในเบื้องต้นยังไม่มีสติปัญญาพอที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรคืออะไร  ก็ต้องเชื่อไปก่อน  เชื่อคำสอนของพระพุทธเจ้า เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรก เชื่อสวรรค์ แล้วประพฤติปฏิบัติตามจนเห็นเช่นเดียวกับที่พระพุทธเจ้าทรงรู้ทรงเห็น  เมื่อเห็นแล้วจะไม่เชื่อก็ได้  อย่างพระ สารีบุตร หลังจากที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว  พระสารีบุตรได้เปล่งอุทานว่า  บัดนี้เราไม่ต้องเชื่อพระพุทธเจ้าอีกต่อไป เพราะสามารถมองเห็นได้ด้วยตนเอง  เหมือนกับคนตาบอดที่รักษาตาให้ดีแล้ว ไม่ต้องให้คนอื่นนำทางอีกต่อไป  นี่คือ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ต้องพึ่งอะไรอีกต่อไปแล้ว  พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันตสาวกทั้งหลายก็ดี ท่านไม่ต้องพึ่งอะไรแล้ว เพราะท่านมีสรณะในตัวของท่านแล้ว  คือมี พุทธะ ธรรมะ สังฆะ อยู่ในใจ  นี่คือเรื่องของการจุดเทียนบูชาพระ คือการจุดแสงสว่างแห่งธรรมให้สว่างไสวขึ้นมาภายในใจด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม 

ส่วนดอกไม้ที่ใช้บูชาพระที่มีสีต่างๆ เช่น สีขาว สีเหลือง สีแดง ก็หมายถึงพระอริยบุคคลทั้งหลาย ที่มาจากทุกเพศทุกวัย มีทั้งหญิงทั้งชาย นักบวช ฆราวาส เด็ก และ ผู้ใหญ่  เพราะการบรรลุเป็นพระอริยบุคคลไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศกับวัย  แต่ขึ้นอยู่กับสุปฏิปันโน คือการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ  ผู้ใดสามารถประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ได้ ผู้นั้นก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ ดอกไม้มีความสวยงามด้วยสีสัน พระอริยบุคคลก็มีความสวยงามด้วยความประพฤติ 

ทุกครั้งที่บูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ ธูป เทียน ก็ขอให้บูชาทั้งอามิสบูชา และ ปฏิบัติบูชา  คือบูชาด้วยดอกไม้ ธูป เทียน และบูชาด้วยการระลึกถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ  ด้วยการเจริญ พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ เป็นการตัดทุกข์  ตัดภพตัดชาติให้น้อยลงไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่มีเหลืออยู่อีกต่อไป การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอยุติไว้เพียงเท่านี้