กัณฑ์ที่
๖๔
ภิกษุณี
หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไปแล้ว
๒ เดือน พระพุทธองค์จึงได้ประกาศพระศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรก
ในวันเพ็ญเดือน ๘
วันอาสาฬหบูชา และได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนถึงวันเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน
เป็นเวลาทั้งหมด ๔๕
ปีด้วยกัน ในระยะแรกๆของการประกาศพระพุทธศาสนา
มีผู้มีจิตศรัทธาน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์
ไปประพฤติปฏิบัติและบรรลุเป็นพระอริยบุคคล
และได้ขออุปสมบทในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าเป็นพระภิกษุเป็นจำนวนมาก
แต่ในระยะแรกๆนั้นมีแต่บุรุษที่ขออุปสมบท
ไม่มีสตรีได้ขออุปสมบทเลย
จนกระทั่งมาถึงในปีที่
๕ ของการประกาศพระพุทธศาสนา
ปีนั้นเป็นปีที่พระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาได้เสด็จสวรรคต
ก่อนที่พระเจ้าสุทโธทนะจะเสด็จสวรรคต
พระพุทธเจ้าได้เสด็จไปแสดงธรรมโปรด
ให้ได้ทรงบรรลุพระอรหัตตผล
เสวยวิมุตติสุขอยู่ ๗
วันก่อนปรินิพพาน
หลังจากการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าสุทโธทนะแล้ว พระนางมหาปชาบดีโคตมีซึ่งเป็นพระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะต่อจากพระนางสิริมหามายาพระพุทธมารดา
เป็นพระน้านางของพระพุทธเจ้า
เป็นภคินี (น้องหญิง)
ของพระนางสิริมหามายาพระพุทธมารดา
ทรงมีจิตศรัทธาอยากจะออกบวชเป็นภิกษุณี
จึงได้กราบขอประทานอนุญาตจากพระพุทธเจ้า
วันหนึ่งขณะพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นิโครธารามในเมืองกบิลพัสดุ์
พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าและทูลขออนุญาตให้สตรีสละเรือนออกบวชในพระธรรมวินัย
แต่การณ์นั้นมิใช่ง่าย
พระพุทธเจ้าตรัสห้ามเสียถึง
๓ ครั้ง ต่อมาพระพุทธเจ้าเสด็จไปยังเมืองเวสาลี
ประทับที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน
พระนางมหาปชาบดีโคตมีไม่ละความพยายาม
ถึงกับปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะเอง
ออกเดินทางพร้อมด้วยเจ้าหญิงศากยะจำนวนมาก ไปยังเมืองเวสาลีและได้มายืนกันแสงอยู่ที่ซุ้มประตูนอกกูฏาคารศาลา
พระบาทบวมพระวรกายเปรอะเปื้อนธุลี
พระอานนท์มาพบเข้า
สอบถามทราบความแล้วรีบช่วยไปกราบทูลขออนุญาตให้ แต่เมื่อพระอานนท์กราบทูลต่อพระพุทธเจ้าก็ถูกพระองค์ตรัสห้ามเสียถึง
๓ ครั้ง ในที่สุดพระอานนท์เปลี่ยนวิธีใหม่
โดยกราบทูลถามว่าสตรีออกบวชในพระธรรมวินัยแล้วจะสามารถบรรลุโสดาปัตติผลจนถึงอรหัตตผลได้หรือไม่
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่าได้
พระอานนท์จึงอ้างเหตุผลนั้นพร้อมทั้งการที่พระนางมหาปชาบดีโคตมีเป็นพระมาตุจฉาและเป็นพระมารดาเลี้ยงมีอุปการะมากต่อพระองค์
แล้วขอให้ทรงอนุญาตให้สตรีออกบวช
พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตโดยมีเงื่อนไขว่าพระนางจะต้องรับปฏิบัติตามครุธรรม
๘ ประการ คือ
๑. ภิกษุณีแม้บวชร้อยพรรษาแล้วก็ต้องกราบไหว้ภิกษุแม้บวชวันเดียว
๒. ภิกษุณีจะบวชอยู่ในวัดที่ไม่มีภิกษุไม่ได้ ๓.
ภิกษุณีต้องไปถามวันอุโบสถและเข้าไปฟังโอวาทจากภิกษุทุกกึ่งเดือน
พระนางยอมรับตามพุทธานุญาต
ที่ให้ถือว่าการรับครุธรรมนั้นเป็นการอุปสมบทของพระนาง
ส่วนเจ้าหญิงศากยะที่ตามมาทั้งหมดพระพุทธเจ้าตรัสอนุญาตให้ภิกษุสงฆ์อุปสมบทให้
ในคราวนั้นพระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่าการให้สตรีบวชจะเป็นเหตุให้พรหมจรรย์
คือพระศาสนาหรือพระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่ยั่งยืน จะมีอายุสั้นเข้า
เปรียบเหมือนตระกูลที่มีบุรุษน้อยมีสตรีมาก ถูกผู้ร้ายทำลายได้ง่าย
หรือเหมือนนาข้าวที่มีหนอนขยอกลง
หรือเหมือนไร่อ้อยที่มีเพลี้ยลง
ย่อมอยู่ได้ไม่ยืนนาน
พระองค์ทรงบัญญัติครุธรรม
๘
ประการกำกับไว้ก็เพื่อเป็นหลักคุ้มกันพระศาสนา
เหมือนสร้างคันกั้นสระใหญ่ไว้ก่อนเพื่อกันไม่ให้น้ำไหลท้นออกไป
ทำให้พระศาสนาอยู่ได้ยั่งยืนเช่นเดิม
และได้ทรงแสดงเหตุผลที่ไม่ให้ภิกษุไหว้ภิกษุณี
ให้ภิกษุณีไหว้ภิกษุโดยฝ่ายเดียวเพราะนักบวชในลัทธิศาสนาอื่นทั้งหลายไม่มีใครไหว้สตรีกันเลย
กล่าวโดยสรุปว่าหากถือเหตุผลทางด้านสภาพสังคม
ศาสนาแล้ว จะไม่ทรงอนุญาตให้สตรีบวชเลย
แต่ด้วยเหตุผลในด้านความสามารถโดยธรรมชาติจึงทรงยอมให้สตรีบวชได้
เมื่อภิกษุณีสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว
สตรีที่จะบวชต่อมาต้องเป็น
สิกขมานา รักษาสิกขาบท ๖
(คือ
๖ ข้อแรกในศีล ๑๐) ไม่ให้ขาดเลยตลอด
๒ ปีก่อนจึงขออุปสมบทได้
และต้องได้รับการอุปสมบทโดยสงฆ์สองฝ่าย
คือบวชโดยภิกษุณีสงฆ์แล้ว
ต้องบวชโดยภิกษุสงฆ์อีกชั้นหนึ่ง
เมื่อเป็นภิกษุณีแล้วต้องรักษาสิกขาบท
๓๑๑ ข้อ ภิกษุณีสงฆ์เจริญแพร่หลายในชมพูทวีปอยู่ช้านาน
เป็นแหล่งให้การศึกษาแหล่งใหญ่แก่สตรีทั้งหลาย
ภิกษุณีสงฆ์ประดิษฐานในลังกาทวีปในรัชกาลของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
โดยพระสังฆมิตตาเถรี
พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราชเดินทางจากชมพูทวีปมาประกอบอุปสมบทกรรมแก่พระนางอนุฬาเทวี
ชายาของเจ้ามหานาค อนุชาของพระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ
พร้อมด้วยสตรีอื่นอีกหนึ่งพันคน
ภิกษุณีสงฆ์เจริญรุ่งเรืองในลังกาทวีปยาวนานไม่น้อยกว่า
๑,๐๐๐
ปี แต่ในที่สุดได้สูญสิ้นไป
ด้วยเหตุใดและกาลใดไม่ปรากฏชัด
ส่วนในประเทศไทยไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้เคยมีการประดิษฐานภิกษุณีสงฆ์
นี่คือความเป็นมาของภิกษุณีสงฆ์
ซึ่งเป็นหนึ่งในพุทธบริษัท
๔ ประกอบด้วย
ภิกษุ
ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา แต่ในสมัยปัจจุบันนี้ในประเทศไทยมีอยู่เพียง
๓ คือไม่มีภิกษุณี
แต่การไม่มีภิกษุณีไม่ได้หมายความว่าสตรีผู้มีจิตศรัทธาเลื่อมใส
จะไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตน
ให้บรรลุมรรค ผล
นิพพานได้ ธรรมอันสูงสุดในพุทธศาสนาไม่อยู่สุดเอื้อมของสตรีทั้งหลาย
สตรีใดมีความปรารถนาที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้บรรลุถึง
มรรค ผล นิพพาน ก็ยังสามารถปฏิบัติได้อยู่
เพราะเหตุที่จะทำให้บรรลุมรรคผลนิพพานคือ
มรรค ๘
ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา
ทางสายกลาง
ไม่ขึ้นกับเพศกับวัย
จะเป็นสตรี บุรุษ
เด็ก ผู้ใหญ่
หนุ่ม สาว คนแก่คนชรา
เป็นนักบวชหรือไม่ก็ตาม
ก็สามารถปฏิบัติให้บรรลุถึง
มรรค ผล นิพพาน
ได้ด้วยกันทุกคน
การบวชจึงไม่ใช่เป็นประเด็นสำคัญ
เพราะการบวชเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติธรรมเท่านั้นเอง
ถ้าได้บวชแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลากับการทำมาหากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เพราะมีศรัทธาญาติโยม
อุบาสก อุบาสิกา คอยดูแลเลี้ยงดูอยู่
จึงทำให้มีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมได้มาก
สามารถบรรลุธรรมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
กว่าการเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน
เพราะการครองเรือนมีภาระมาก
มีอุปสรรคมาก
การที่จะปฏิบัติให้หลุดพ้นได้จึงเป็นเรื่องยาก
แต่ก็ไม่สุดวิสัย
อย่างพระเจ้าสุทโธทนะพระพุทธบิดาแม้ไม่ได้ออกบวช
ก็ยังสามารถประพฤติปฏิบัติ
จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้
เรื่องของการไม่ได้บวช
จึงไม่เป็นอุปสรรคขวางกั้น
มรรค ผล นิพาน
แก่ผู้ที่มีความมุ่งมั่นปรารถนา
ที่จะประพฤติปฏิบัติตนให้บรรลุถึงพระนิพพาน
จึงขอทำความเข้าใจว่า
พระพุทธเจ้าไม่ได้กีดกันสตรีไม่ให้บวชในพระพุทธศาสนา
แต่เพียงเห็นว่าสตรีเป็นเพศที่มีอุปสรรคมากในการดำรงสมณเพศ
เพราะสมณะนักบวชจะต้องแสวงหาที่สงบสงัดวิเวกตามป่าตามเขา
ซึ่งเป็นที่เปลี่ยวเป็นที่อันตรายสำหรับสตรีเพศ ไม่เหมือนกับบุรุษที่สามารถไปอยู่ตามลำพังได้ในที่เปลี่ยว
ไม่มีใครมาทำร้าย มารบกวน
แต่ถ้าสตรีเพศไปอยู่ที่เปลี่ยวตามลำพังตามป่าตามเขา
จะเป็นอันตรายต่อ
นี่คือเหตุที่พระพุทธองค์จึงต้องกำหนดครุธรรม
๘ ไว้ เพื่อป้องกันพระศาสนาไม่ให้เสื่อมสลายไปโดยเร็ว แต่ไม่ได้ป้องกัน มรรค
ผล นิพพาน สตรีทุกๆคนทั้งในอดีต
ปัจจุบัน
และในอนาคตสามารถประพฤติปฏิบัติตนให้เป็นพระอริยบุคคลได้
ไม่ว่าจะเป็นพระอริยธรรมขั้นไหนก็ตาม
สามารถบรรลุได้ด้วยกันทุกคน
ขึ้นอยู่ว่าจะมีคุณธรรมที่จะประพฤติปฏิบัติไปได้หรือเปล่า
คือมีวิริยะความอุตสาหะ
ขันติความอดทน
มีสติ
มีปัญญา หรือไม่เท่านั้นเอง
ถ้ามีคุณธรรมเหล่านี้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม
จะเป็นนักบวชหรือไม่เป็นนักบวช
ก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคล
บรรลุถึงนิพพานได้ด้วยกันทั้งนั้น
จึงขอฝากเรื่องราวของพระภิกษุณี
ให้เป็นที่เข้าใจกันและทำความเห็นให้ถูกต้องต่อไป
การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา
ขอยุติไว้เพียงเท่านี้
หมายเหตุ
ข้อมูลบางส่วนได้คัดมาจาก
พจนานุกรมพุทธศาสน์
ฉบับประมวลศัพท์
หน้า ๓๑ และ
หน้า ๒๐๔-๒๐๖
โดยพระธรรมปิฎก (ป.อ.
ปยุตโต)