กัณฑ์ที่ ๗๐     ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๔๔

พระไตรปิฎก

พระพุทธศาสนาเป็นสมบัติอันล้ำค่าของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย แต่ความล้ำค่าของพระพุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่โบสถ์  ที่พระพุทธรูป    ที่เจดีย์       ที่ศาสนวัตถุต่างๆ  ซึ่งไม่ใช่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญ  ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่แท้จริง  สิ่งที่มีคุณค่าอย่างแท้จริงคือพระศาสนธรรม พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  และศาสนบุคคล คือบุคคลที่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอนแล้วนำเอาไปประพฤติปฏิบัติจนได้บรรลุเป็นพระอริยบุบคลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์  นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง  เป็นสิ่งที่ประเสริฐเลิศโลก  เพราะเป็นผู้ที่อยู่เหนือความทุกข์ อยู่ไกลจากความทุกข์  โดยเฉพาะพระอรหันต์ เป็นผู้ที่อยู่เหนือความทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง  นี่แหละคือความประเสริฐของพระศาสนา  อยู่ที่ศาสนธรรม  อยู่ที่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า  ซึ่งเปรียบเหมือนกับแสงสว่างที่จะนำพาผู้ศึกษาประพฤติปฏิบัติไปสู่ที่ดีที่งาม  ไปสู่การสิ้นสุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด  การสิ้นสุดของความทุกข์ทั้งหลาย เป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกยุคทุกสมัยได้ถ่ายทอดสืบทอดกันมา  ด้วย ปริยัติธรรม และ ปฏิบัติธรรม

ปริยัติธรรมคือการศึกษาพระธรรมคำสอนที่ได้มีการจดจำกันมา จากปากต่อปาก  ได้ยินได้ฟังมาก็จดจำกันมา  แล้วก็เอามาถ่ายทอดให้กับผู้อื่นต่อไป ทุกยุคทุกสมัย  เป็นส่วนหนึ่งของการถ่ายทอดพระธรรมคำสอน จากปากต่อปาก จากการจดจำ  จากการได้ยินได้ฟัง และต่อมาก็ได้มีการบรรจุไว้ในใบลาน ในกระดาษ เป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก ในปัจจุบันมีการบรรจุไว้ในแผ่นซีดี-รอม  ปฏิบัติธรรมคือการนำเอาพระธรรมคำสอนที่ได้ศึกษามาประพฤติปฏิบัติจนบรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์  เมื่อได้บรรลุแล้วก็จะเป็นผู้ที่ยืนยันว่า พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้จดจำกันมา  ได้สืบทอดกันมา ได้จารึกไว้ในพระไตรปิฎกนั้น  เป็นพระธรรมคำสอนที่ถูกต้องแม่นยำ  สามารถยังประโยชน์อันสูงสุดให้แก่ผู้ที่นำเอาไปประพฤติปฏิบัติได้

การสืบทอดพระพุทธศาสนาจึงต้องมีทั้งปริยัติธรรมและปฏิบัติธรรม  เพราะเป็นธรรมที่สนับสนุนกัน  จะปฏิบัติโดยไม่ศึกษาเลยก็จะไม่รู้ทิศทาง ไม่รู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรบ้าง  แต่ถ้าศึกษาอย่างเดียวแล้วไม่นำไปปฏิบัติก็จะไม่บรรลุผล จะไม่เป็นพระอริยบุคคล  ไม่ได้เป็นพระอรหันต์  เมื่อเป็นเช่นนั้นเวลาถ่ายทอด  ก็จะเป็นการถ่ายทอดแบบไม่มีความมั่นใจว่า  มีความถูกต้องมากน้อยแค่ไหน  แต่ถ้าได้ปฏิบัติแล้ว  ก็จะสามารถยืนยันได้อย่างเต็มที่ว่าสิ่งต่างๆที่ได้ยินได้ฟังมานั้น เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นความจริง นี่คือการถ่ายทอดสืบทอดพระศาสนา  ตั้งแต่วันแรกที่พระพุทธองค์ทรงประกาศพระศาสนา  แสดงธรรมครั้งแรกให้กับพระปัญจวัคคีย์   หลังจากนั้น  เมื่อพระปัญจวัคคีย์ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว  ท่านก็ไปสั่งสอนผู้อื่นต่อไป  มีการศึกษาเล่าเรียน ท่องจำกันมา จารึกกันมา  แล้วนำไปปฏิบัติ จนปรากฏเป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระอริยบุคคลขึ้นมา มีการสืบทอดพระศาสนาเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ พุทธศาสนิกชนที่มีความเลื่อมใสศรัทธา เคารพ รัก หวงแหน พระพุทธศาสนา  จึงควรศึกษาพระธรรมคำสอนที่มีจารึกไว้ในพระไตรปิฎกเป็นเบื้องต้น  แล้วจึงนำเอาไปประพฤติปฏิบัติต่อไป  ถึงจะเป็นพุทธศาสนิกชนที่แท้จริง 

แต่ทุกวันนี้รู้สึกว่า  พุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่  จะไม่รู้เรื่องราวของพระศาสนา  เรื่องราวของพระธรรมคำสอนว่า  พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้พุทธศาสนิกชนปฏิบัติอะไรกันบ้าง  กระทำอะไรกันบ้าง  เลยเกิดความงมงายต่างๆขึ้นมาในศาสนา  ทำให้ศาสนาเสื่อมลงเพราะปฏิบัติกันแบบผิดๆถูกๆ  แล้วก็ไม่เกิดผลขึ้นมา จึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัย  เกิดการทะเลาะถกเถียงกัน ทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในพระศาสนา  ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นเพราะว่าพุทธศาสนิกชน ไม่ได้ให้ความสนใจต่อการศึกษาและการปฏิบัติธรรมเท่าที่ควรนั่นเอง  ถ้าพุทธศาสนิกชนทุกๆคนได้ศึกษาพระธรรมคำสอน  แล้วนำเอาไปประพฤติปฏิบัติ ปฏิเวธธรรมคือการบรรลุธรรมขั้นต่างๆย่อมเป็นผลที่ตามมา  เป็นสันทิฏฐิโก ซึ่งผู้ปฏิบัติจะรู้เห็นได้ด้วยตนเอง  ว่าสิ่งต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนนั้นเป็นอย่างไร  เท็จจริงอย่างไร  จะรู้กันได้ด้วยการประพฤติปฏิบัติ

ในเบื้องต้นจึงควรทำความรู้จักกับพระไตรปิฎกว่า  คัมภีร์ที่บรรจุพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า มีอะไรบ้าง  ทำไมจึงเรียกว่าพระไตรปิฎก  คำว่าไตรหมายถึง ๓ ปิฎกแปลว่าตะกร้า  พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ถูกจำแนกแบ่งไว้เป็น ๓ ส่วนด้วยกัน ใส่ไว้ใน ๓ ตะกร้า  ได้แก่  . พระวินัยปิฎก   . พระสุตตันตปิฎก   . พระอภิธรรมปิฎก

พระวินัยปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระวินัย คือพระพุทธบัญญัติเกี่ยวกับการประพฤติ ความเป็นอยู่ ขนบธรรมเนียม และ การดำเนินกิจการต่างๆ ของพระภิกษุสงฆ์ และ พระภิกษุณีสงฆ์  พระสุตตันตปิฎก  ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระสูตร คือ พระธรรมเทศนา คำบรรยายธรรมต่างๆ ที่ตรัสให้เหมาะกับบุคคลและโอกาส ตลอดจนบทประพันธ์ เรื่องเล่า และเรื่องราวทั้งหลายที่เป็นชั้นเดิมในพระพุทธศาสนา พระอภิธรรมปิฎก ประมวลพระพุทธพจน์หมวดพระอภิธรรม คือ หลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับบุคคลหรือเหตุการณ์

นี่คือพระไตรปิฎกที่พุทธศาสนิกชนควรศึกษา เป็นหนังสือที่น่าอ่านน่าศึกษาอย่างยิ่ง  เพราะจะทำให้เข้าใจพระพุทธศาสนา   เข้าใจถึงทางดำเนินของชาวพุทธที่แท้จริงว่า  ควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไร    ทุกวันนี้จะหลงอยู่กับศาสนพิธีกับศาสนวัตถุ  มากกว่าจะอยู่กับศาสนธรรม  จะรู้แต่พิธีต่างๆเช่น  พิธีขอศีล  พิธีถวายสังฆทาน เป็นต้น  จะรู้จักโบสถ์  เจดีย์  พระพุทธรูปปางต่างๆ  ซึ่งไม่ใช่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของพระศาสนาเลย ส่วนสำคัญของพระศาสนากลับไม่ค่อยรู้จักกัน  ไม่รู้จักพระธรรมคำสอนที่จะนำพาไปสู่ความสุขความเจริญที่แท้จริง ไปสู่ความหมดทุกข์อย่างสิ้นเชิง เพราะมัวไปเป็นติดอยู่กับศาสนพิธี  ศาสนวัตถุ  จึงไม่ได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนาเท่าที่ควร 

ต้องทำความเข้าใจว่าศาสนพิธีกับศาสนวัตถุเป็นเพียงส่วนประกอบของพระศาสนาเท่านั้น ในสมัยพุทธกาลจะไม่ค่อยมีเรื่องศาสนพิธีกับศาสนวัตถุ มีก็น้อยมาก  เวลาพระพุทธเจ้าจะทรงบวชพระก็ง่ายมาก  ทรงเพียงแต่เปล่งวาจาว่า เอหิภิกขุอุปสัมปทา  ท่านจงมาเป็นภิกษุเถิด  ธรรมอันเรากล่าวดีแล้ว  ท่านจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบเถิด    ก็ถือว่าบวชเสร็จแล้ว ได้เป็นพระแล้ว  ส่วนศาสนวัตถุก็ไม่มีอะไรมาก  โบสถ์  เจดีย์ วิหาร กุฏิก็มีน้อยมาก  พระส่วนใหญ่จะอยู่ตามโคนไม้  อยู่ตามถ้ำ  ตามป่า ตามเขากัน แสวงหาที่สงบสงัดวิเวกประพฤติปฏิบัติธรรม  ที่มีมากคือศาสนบุคคล คือพระอริยบุคคล

ในสมัยพุทธกาลจะมีพระอรหันต์มาก  เช่นในวันเพ็ญเดือน ๓   ในโอกาสวันประชุมใหญ่แห่งพระสาวก ซึ่งเรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ณ พระเวฬุวันวิหาร หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน ที่เรียกกันต่อมาว่าวันมาฆบูชา มีพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยไม่ได้นัดหมายกันมาก่อน  เพื่อเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น  ในสมัยพุทธกาลมีพระอรหันต์มาก  มีพระอริยบุคคลมาก ต่างกับสมัยนี้ที่มีศาสนวัตถุมาก มีศาสนพิธีมาก  แต่ศาสนบุคคลคือพระอริยบุคคลกลับมีน้อยมาก  เพราะขาดความสนใจในศาสนธรรมนั่นเอง  ไม่สนใจในเรื่องการศึกษาพระธรรมคำสอน  เวลาพระแสดงธรรมเทศนาจะไม่ค่อยมีคนฟังกันเท่าไร  ส่วนใหญ่จะชอบทำบุญกัน เวลาทำบุญตักบาตรจะมีคนทำกันมาก  ตอนเวียนเทียนก็จะมาก  แต่ที่จะอยู่ฟังเทศน์ฟังธรรมปฏิบัติธรรมกันหลังจากเวียนเทียนแล้วจะมีน้อยมาก ส่วนใหญ่จะกลับบ้านกัน จึงไม่ค่อยได้รับประโยชน์จากพระศาสนาเท่าที่ควร

ประโยชน์ที่ได้รับจากพระศาสนาจะเป็นประโยชน์ส่วนย่อย  เป็นการทำบุญให้เกิดความสบายอกสบายใจไประยะหนึ่ง  ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง    แต่ยังไม่เข้าไปรื้อถอนต้นเหตุที่สร้างความทุกข์ใจ  ความกังวลใจให้ได้เลย  ต้นเหตุของความทุกข์ใจ  ความไม่สบายใจไม่ใช่อะไรที่ไหนก็คือกิเลส  ตัณหา  อวิชชา  โมหะ  อุปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่น ที่มีอยู่ภายในจิตใจของสัตว์โลกทั้งหลายนั่นเอง  สิ่งเหล่านี้จะไม่หลุดออกไปจากจิตจากใจ  โดยลำพังของมันเอง  ถ้าไม่มีศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเข้าไปขับไล่ เข้าไปชำระแล้ว สิ่งเหล่านี้จะไม่หลุดออกไปจากจิตจากใจของสัตว์โลกเลย

จึงควรให้ความสนใจในพระศาสนธรรมเป็นอย่างยิ่ง  ควรขวนขวายศึกษาพระธรรมคำสอนต่างๆของพระพุทธเจ้า  ด้วยการอ่านพระไตรปิฎกก็ได้  หนังสือที่คัดมาจากพระไตรปิฎกก็ได้   หนังสือธรรมะของพระเกจิอาจารย์ทั้งหลายก็ได้   ฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระเกจิอาจารย์ที่เป็นพระสุปฏิปันโนทั้งหลายก็ได้ ท่านก็ไม่ได้เอาธรรมมาจากที่ไหน  ท่านก็เอามาจากพระไตรปิฎก  และมาจากการปฏิบัติของท่าน  ขั้นต้นท่านก็ศึกษาจากพระไตรปิฏก  แล้วก็เอาไปประพฤติปฏิบัติจนบรรลุธรรมขึ้นมา  แล้วท่านจึงมาสั่งสอน   โดยเอาการปฏิบัติของท่านนี่แหละมายืนยันพระไตรปิฎก คำสอนของพระพุทธองค์ว่าเป็นความจริง  ผู้ใดปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนด้วยมรรคที่มีองค์ ๘ ได้  ผู้นั้นย่อมบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ ผู้ที่ได้ปฏิบัติแล้วจะยืนยันอย่างมั่นใจ 

ถ้าอยากจะได้รับประโยชน์จากพระพุทธศาสนา  ซึ่งเป็นสมบัติอันล้ำค่า  จึงต้องให้ความสนใจศาสนธรรมคือพระธรรมคำสอน  ต้องขวนขวายศึกษา  เข้าหาผู้รู้ ฟังเทศน์ฟังธรรมจากท่านเหล่านั้น  เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว  ก็นำเอาไปปฏิบัติ  ชำระ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ตัดตัณหาทั้ง ๓ คือ กามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา  ทำลาย โมหะ ความหลง  อวิชชา ความไม่รู้  ละอุปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายเสีย  นี่คือสิ่งที่จะต้องทำ ต้องกำจัดให้ออกไปจากจิตจากใจให้ได้  ถ้าตราบใดยังมีสิ่งเหล่านี้อยู่ในจิตใจแล้ว จะหาความสุขภายในจิตใจไม่ได้เลย ถ้าถูกทำลายหมดไปหมดจากจิตจากใจแล้ว  อยู่ที่ไหนจะมีแต่ความสุข  อยู่ในวังก็มีความสุข  อยู่ในกระต๊อบก็มีความสุข  ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น เพราะต้นเหตุของปัญหาถูกทำลายไปหมดแล้ว  หมดไปจากจิตจากใจ    

จึงต้องศึกษาธรรมแล้วเอาไปปฏิบัติ  ศึกษาพระไตรปิฎกแล้วเอาไปปฏิบัติ  เอาไปชำระกิเลส  ตัณหา  อวิชชา  อุปาทานให้ออกไปจากจิตจากใจ  นี่แหละคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนา  ในการประกาศเผยแผ่ศาสนาแก่สัตว์โลก  พระพุทธองค์ไม่ต้องการอะไรจากสัตว์โลกเลย  ไม่ต้องการอะไรจากพุทธศาสนิกชนแม้แต่นิดเดียว  แม้แต่เงินบาทเดียวก็ไม่ต้องการ  แม้แต่คำขอบอกขอบใจก็ไม่ต้องการ  หรือการกราบไหว้บูชาก็ไม่ต้องการ สิ่งที่พระพุทธองค์ต้องการก็คือ  การเห็นสัตว์โลกทั้งหลายพ้นจากความทุกข์เท่านั้นเอง  พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด  ซึ่งการที่จะพ้นได้ ก็ต้องน้อมเอาพระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงมีพระกรุณา วิริยะ อุตสาหะ ถ่ายทอดสั่งสอน  ให้นำเอาไปประพฤติปฏิบัติ  ด้วย ศรัทธา  วิริยะ  สติ  สมาธิ ปัญญา  ซึ่งเป็นธรรมที่จำเป็นต่อการดำเนินตามทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนไว้  ถ้ามีธรรมเหล่านี้แล้ว  กิเลสทั้งหลายคือ ความโลภ  ความโกรธ  ความหลง  ตัณหาทั้งหลาย คือ กามตัณหา  ภวตัณหา  วิภวตัณหา โมหะ  ความหลง   อวิชชา ความไม่รู้ อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น จะหลุดลอยออกไปจากจิตจากใจอย่างแน่นอน 

ขอให้ท่านทั้งหลายจงตั้งศรัทธาไว้ให้มั่น ให้เชื่อในพระไตรปิฎก  เชื่อในพระธรรมคำสอน  เชื่อในสิ่งต่างๆที่บรรดาเกจิอาจารย์  พระสุปฏิปันโนทั้งหลายสั่งสอน  เมื่อเชื่อแล้วก็ให้นำเอามาประพฤติปฏิบัติ ด้วยการเจริญสติให้เกิดสมาธิ  ให้เกิดปัญญา ด้วยวิริยะความขยันหมั่นเพียร  อุตสาหะพยายาม  แล้วผลที่พระพุทธองค์ได้ทรงบรรลุถึง  ผลที่พระอรหันตสาวกทั้งหลายได้บรรลุถึง    ก็จะเป็นผลอันเดียวกับที่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบจะได้บรรลุถึงกัน  เพราะว่าธรรมของพระพุทธองค์เป็น อกาลิโก ไม่ขึ้นกับกาลกับเวลา  ในสมัยพุทธกาล  ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบบรรลุธรรมได้อย่างไร  ในสมัยนี้ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ  ก็สามารถบรรลุธรรมได้เช่นเดียวกัน  อย่างนี้ไม่ต้องสงสัย  เมื่อปฏิบัติไปก็จะรู้เอง  จะเห็นเอง  เพราะธรรมเป็น สันทิฏฐิโก  เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้  รู้ได้ เห็นได้ด้วยตนเอง แล้วจะหมดความสงสัยไปในตัว จะเป็นผู้สืบทอดพระพุทธศาสนา  รักษาพระพุทธศาสนาให้อยู่ต่อไปได้อีกยาวนาน  การแสดงเห็นว่าสมควรแก่เวลา  ขอยุติไว้เพียงเท่านี้